ใจ อึ๊งภากรณ์
[ท่านใดที่อ่านผ่าน Facebook อาจอ่านได้ง่ายขึ้นถ้าเข้าไปอ่านในบล็อก ]
การรวม “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน” กับ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” ภายใต้ชื่อของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ไม่ใช่การรวบ “สมบัติของชาติ” มาเป็นของนายวชิราลงกรณ์ เพราะการปล้นสมบัติแห่งชาติเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายปี แต่มาตรการนี้แสดงถึงความโลภของกษัตริย์รัชกาลที่ ๑๐
[ดู https://bit.ly/2ykQJNs , https://bbc.in/2LTUvPN ]
ทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ไทย มาจากการใช้อำนาจบังคับด้วยความรุนแรงมาตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ คือกษัตริย์ศักดินาใช้แรงงานบังคับและการผูกขาดผลประโยชน์การค้าเพื่อสะสมความร่ำรวยบนสันหลังประชาชน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่๕ มีการล้มระบบศักดินาและเปลี่ยนไปเป็นระบบทุนนิยมแทน ทรัพย์สินของกษัตริย์ หรือ “กรมพระคลังข้างที่” ก็แปรไปเป็นลักษณะธุรกิจแบบทุนนิยมที่ขูดรีดประชาชนในรูปแบบใหม่ พร้อมกับการรีดไถภาษีอีกด้วย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทรัพย์สมบัติของกษัตริย์เกิดหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ เพราะ “กรมพระคลังข้างที่” ถูกลดบทบาทมาเป็น “สำนักงานพระคลังข้างที่” และอยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง คือกลายเป็นหน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่สมบัติของกษัตริย์
แต่สภาพเช่นนี้อยู่ได้ไม่นาน เพราะในปี ๒๔๙๑ รัฐบาลของควง อภัยวงศ์ จากพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มนิยมเจ้า ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้เป็นองค์กรนิติบุคคล คือปล้นโอนจากทรัพย์สมบัติของชาติกลับไปเป็นของกษัตริย์ อย่างไรก็ตามมีการสร้างภาพหลอกลวงว่า “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” อิสระจากสมบัติส่วนตัวของกษัตริย์และไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
ในปีค.ศ. 2012 Simon Montlake ในนิตยสาร Forbes ได้ตั้งคำถามว่า “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” คืออะไรกันแน่? มันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสำนักพระราชวัง มันไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ และมันไม่ใช่บริษัทเอกชน แต่มันมีลักษณะพิเศษ Montlake สรุปว่า “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” คือธุรกิจของราชวงศ์เพื่อสืบทอดสมบัติสู่สมาชิกรุ่นต่อไปของครอบครัวในอนาคต [ดู https://bit.ly/2yknoCQ ]
ในความเป็นจริงตั้งแต่สมัยกษัตริย์ภูมิพล การบริหาร “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” อยู่ในมือของกษัตริย์อย่างผูกขาด เพราะกษัตริย์แต่งตั้งผู้บริหารทั้งหมดยกเว้นรัฐมนตรีคลังที่เข้ามานั่งเป็นประธานแต่ไม่มีอำนาจอะไร และกำไรต่างๆ ไม่ได้กลับเข้าคลังแต่อย่างใด แต่อยู่กับกษัตริย์โดยที่การบริหารสำนักงานมักจะปิดลับ พูดง่ายๆ “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ถือได้ว่าเป็นสมบัติของกษัตริย์ นี่คือสาเหตุที่นิตยสาร Forbes คำนวณความร่ำรวยของภูมิพลโดยบวก “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์”
นอกจากนี้ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน” ที่บริหารและเป็นเจ้าของวังบางแห่ง ก็ไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริงอีกด้วย
ดังนั้นการรวม “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” และ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน” กับ “ทรัพย์สินส่วนพระองค์” ภายใต้ชื่อของวชิราลงกรณ์ไม่ใช่การรวบ “สมบัติของชาติ” มาเป็นของนายวชิราลงกรณ์แต่อย่างใด
แต่มันเป็นการคุมสมบัติทั้งหมดโดยวชิราลงกรณ์ เพื่อกีดกันอิทธิพลของคนรุ่นก่อนที่เคยบริหารทรัพย์สินเหล่านี้และจงรักภักดีต่อภูมิพล ซึ่งวชิราลงกรณ์ไม่ไว้ใจพวกนี้เท่าไร นอกจากนี้มันเป็นการกีดกันผลประโยชน์ของคนอื่นในครอบครัวหรือในเครือข่ายราชวงศ์เพื่อไม่ให้เข้ามาแย่งส่วนแบ่ง
แน่นอนมันบ่งบอกถึงความโลภทรัพย์ของกาฝากกษัตริย์วชิราลงกรณ์ แน่นอนมันแสดงให้เห็นว่าวชิราลงกรณ์ไม่สนใจวิธีการเนียนๆ ที่ภูมิพลเคยใช้ในการคุมทรัพย์ แน่นอนวชิราลงกรณ์มีนิสัยส่วนตัวที่น่ารังเกียจ แต่มันไม่ได้เป็นการปล้นสิ่งที่เคยเป็นของส่วนรวมเพราะมันถูกปล้นมาตั้งแต่ยุคก่อน และเราไม่ควรนำประเด็นนี้มาผูกกับความเพ้อฝันของบางคนที่มองว่าวชิราลงกรณ์เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศอีกด้วย วชิราลงกรณ์เป็นแค่ประมุขที่ไร้อำนาจ อำนาจแท้อยู่ที่ทหารและนายทุน แต่วชิราลงกรณ์เป็นประมุขราคาแพง เป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศ เป็นกษัตริย์ที่รวยเป็นอันดับต้นๆของโลก ทั้งๆ ที่ตอนนี้เริ่มยอมจ่ายภาษีในทุกส่วนของสมบัติ เพราะเมื่อก่อน “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ไม่ต้องจ่ายภาษีเลย
เผด็จการทหารและการสืบทอดอำนาจเผด็จการ 20 ปีผ่านยุทธศาสตร์แห่งชาติ คืออุปสรรคหลักในการสร้างประชาธิปไตย
มันมีบทสรุปเดียวจากปรากฏการณ์เรื่อง “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” คือในอนาคตเราจะต้องยกเลิกสถาบันกษัตริย์ และยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดกลับมาเป็นของประชาชน เพื่อสร้างชีวิตที่ดีสำหรับพลเมืองทุกคน