Tag Archives: มวลชน

ปัจเจกหรือมวลชน?

คนที่ออกมาสู้แบบปัจเจกมีความจริงใจ กล้าหาญ และเสียสละจริง แต่การต่อสู้แบบปัจเจกมีปัญหาที่เราต้องวิจารณ์ มันเป็นการเอาตัวเองมาแทนมวลชน ในที่สุดจะล้มเหลว ทำแบบมหาตมา คานธี  ที่อดอาหารแทนการปลุกพลังมวลชน คิดว่าความชอบธรรมมีพลัง แต่หันหลังให้พลังแท้ของกรรมาชีพที่จะไล่เจ้าอาณานิคมหรือล้มเผด็จการได้ มันเป็นกลยุทธ์ที่หลงคิดว่าการกระทำที่สร้างข่าวจะปลุกกระแสมวลชนโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องทำงานจัดตั้ง

ถ้าเราเห็นใจและอยากสมานฉันท์กับผู้ที่สู้แบบปัจเจก เราต้องกลับมาพิจารณาการสร้างขบวนการมวลชนที่มีพลัง ขบวนการคนหนุ่มสาวที่ต่อสู้มาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เป็นตัวอย่างการปลุกระดมมวลชนเป็นแสน มันเกิดขึ้นท่ามกลางความไม่พอใจต่อสภาพสังคม แต่การต่อสู้ครั้งนั้น ไม่สนใจจัดตั้งพลังกรรมาชีพ เน้นความชอบธรรม เน้นสัญลักษณ์ เน้นการสร้างเครือข่ายหลวมๆ และชูตัวบุคคลที่เป็นแกนนำ ทั้งๆ ที่ประกาศว่าไร้ผู้นำ

แค่ชื่นชมการต่อสู้ จิตใจกล้าหาญ ของนักสู้ปัจเจก ไม่พอ ต้องหาทางฟื้นขบวนการมวลชน และต้องเดินออกห่างจากการเน้นการต่อสู้แบบปัจเจกชน บางครั้งอาจจะปลุกระดมคนได้บ้างชั่วคราว แต่พอกระแสลง จะไม่เหลือองค์กรที่สามารถรักษาระดับการต่อสู้ระยะยาวได้ต่อไป นั้นคือสาเหตุที่เราเน้นการจัดตั้งพรรคฝ่ายซ้ายพร้อมกับการสร้างมวลชนเสมอ

เราต้องลดความโรแมนติกในการต่อสู้แบบปัจเจกลง และเลิกการออกมาแสดง “ความเคารพ” เฉยๆ ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมของนักต่อสู้กล้าหาญที่เลือกแนวทางปัจเจกเพราะมองไม่ออกว่าจะเดินหน้าอย่างไร

ใจ อึ๊งภากรณ์

มาร์คซิสต์กับ “ความรุนแรง”

เมื่อพูดถึง “ความรุนแรง” สิ่งแรกที่นักมาร์คซิสต์ต้องย้ำเสมอคือ ความรุนแรงของพวกที่กดขี่เรา (เช่น รัฐ ทหาร ตำรวจ ศาล) ไม่เหมือนความรุนแรงของคนที่ถูกกดขี่ปราบปราม ในเรื่องนี้พวก “สันติวิธี” แบบหอคอยงาช้างมักจะละเลยเสมอด้วยคำพูดในเชิง “ขอให้ทุกฝ่ายปฏิเสธความรุนแรง”

คำพูดแบบนั้นเรามักได้ยินในเรื่องความขัดแย้งในปาตานี หรือการชุมนุมของประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตย สิ่งที่พวกสันติวิธีแบบหอคอยงาช้างมองข้ามเสมอคือ ฝ่ายรัฐมีกองกำลังติดอาวุธและพร้อมที่จะใช้อาวุธเหล่านั้นเสมอ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การที่เขาถืออาวุธไว้ปราบประชาชนเป็นการประกาศตั้งแต่แรกว่ารัฐพร้อมจะใช้ความรุนแรงเสมอ ดังนั้นข้อเรียกร้องว่า “ขอให้ทุกฝ่ายปฏิเสธความรุนแรง” ไม่มีผลกับรัฐ แต่กลับกลายเป็นคำวิจารณ์คนที่ถูกกดขี่ปราบปรามที่พยายามป้องกันตัวเท่านั้น

คนที่อยู่ในไทยที่นั่งอยู่บ้านไม่ทำอะไร แต่วิจารณ์ผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย หรือประกาศว่า “เป็นห่วงน้องๆ” ที่ออกมาชุมนุม เป็นพวกมือถือสากปากถือศีล เพราะถ้าเขาไม่อยากเห็นความรุนแรงเขาจะต้องมาร่วมชุมนุม ในหลายๆ กรณีมวลชนยิ่งมากเท่าไร รัฐยิ่งไม่กล้าปราบ

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การกดขี่ชาวมาเลย์มุสลิมที่ปาตานี เราจะเห็นว่าขบวนการติดอาวุธสู้กับรัฐไทย เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐไทยใช้ความรุนแรงเสมอ เช่นหลังจากที่หะยีสุหลงถูกรัฐไทยอุ้มฆ่าในปี ๒๔๙๗  โดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ หรือหลังจากการลงมือฆ่าชาวมาเลย์มุสลิมไร้อาวุธที่ตากใบในปี ๒๕๔๗ โดยรัฐบาลทักษิณ

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์การจับอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เราจะเข้าใจว่าการจับอาวุธเป็นปฏิกิริยาต่อการที่รัฐไทยเข้ามาปราบปรามด้วยความรุนแรง เช่นการจับขังหรือการฆ่าเป็นต้น

ในปัจจุบัน เมื่อเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของ กลุ่มเยาวชนปลดแอก คณะราษฏร์ หรือ REDEM ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ไร้อาวุธ เราจะเห็นว่ากลุ่มคนที่เตรียมอาวุธมาทำร้ายคนอื่นคือตำรวจกับทหาร และอันธพาลของฝ่ายคลั่งเจ้า การที่ตำรวจและทหารสลายการชุมนุมของผู้ที่ต้องการประชาธิปไตยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นด้วยการฉีดน้ำใส่สารเคมี การใช้ก๊าซน้ำตา การใช้กระสุนยาง หรือการใช้กระสุนจริง (อันหลังนี้โดยเฉพาะในกรณีเสื้อแดง) ถือว่าเป็นการจงใจใช้ความรุนแรงของฝ่ายรัฐ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ฝ่ายรัฐปกครองด้วยอำนาจเผด็จการที่มาจากการใช้ความรุนแรงในการทำรัฐประหารแต่แรก

การที่แกนนำผู้ชุมนุมหลายๆ คนถูกรัฐจับกุมและขังในคุกด้วยกฏหมายเถื่อน112 ถือว่าเป็นการใช้ความรุนแรงโดยรัฐเพื่อปิดปากประชาชนและห้ามไม่ให้มีการแสดงออกอย่างเสรี อย่าลืมว่าคนที่กำลังโดน 112 แค่ใช้คำพูดในการเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความชอบธรรมสูงตามหลักประชาธิปไตย เขาไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ไม่เหมือนนายกรัฐมนตรีมือเปื้อนเลือดประยุทธ์ที่เคยสั่งฆ่าเสื้อแดง และต้องรับผิดชอบกับการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่างในยุคนี้

ดังนั้นถ้าฝ่ายผู้ชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตยพยายามป้องกันตัวหรือโกรธแค้นขึ้นมา และใช้ความรุนแรงโต้ตอบตำรวจหรือทหารมันเป็นเรื่องที่ไม่ผิด เข้าใจได้ และมาร์คซิสต์จะไม่มีวันวิจารณ์ เราจะพุ่งเป้าการวิจารณ์ไปที่รัฐบาลเผด็จการกับตำรวจทหาร

ในกรณีที่ผู้ชุมนุมชาวอเมริกันลุกขึ้นมาประท้วงในขบวนการ “Black Lives Matter” และไปเผาโรงพักที่ส่งตำรวจออกไปฆ่าคนผิวดำ เราจะไม่มีวันวิจารณ์

แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าภายในขบวนการเคลื่อนไหว มวลชนจะไม่มีการถกเถียงกันเรื่องความฉลาดในการใช้ความรุนแรงหรือวิธีการที่จะไม่ทำให้การเคลื่อนไหวเสียการเมือง

ในเรื่องการใช้ความรุนแรงเราพูดแค่นี้ไม่ได้ มีอีกสองประเด็นสำคัญที่เราต้องพิจารณา

ประเด็นแรกคือยุทธวิธีการจับอาวุธ ที่เคยใช้โดยพรรคคอมมิวนิสต์ หรือที่ BRN ใช้ในปาตานีตอนนี้ ไม่สามารถเอาชนะรัฐไทยได้ เพราะกองกำลังของรัฐไทยมีอาวุธและจำนวนคนมากกว่า ยิ่งกว่านั้นการใช้แนวจับอาวุธมีผลทำให้มวลชนคนธรรมดาไม่มีบทบาทอะไรเลย และไม่มีส่วนในการกำหนดแนวทางต่อสู้เคลื่อนไหว เพราะพวกจับอาวุธย่อมปิดลับเสมอ มาร์คซิสต์มองว่าถ้าเราจะล้มเผด็จการหรือเปลี่ยนสังคม เราต้องอาศัยขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน ซึ่งไม่ได้แปลว่าเมื่อใกล้ชนะแล้วมวลชนจะไม่ติดอาวุธเพื่อป้องกันตัวจากฝ่ายรัฐเก่าที่พร้อมจะฆ่าคนจำนวนมากในการรักษาอำนาจอันไม่ชอบธรรม แต่ในกรณีนั้นแนวทางจะเน้นมวลชนเหนือการจับอาวุธ

ถ้าจะเปรียบเทียบแนวจับอาวุธกับแนวมวลชน เรามีบทเรียนสำคัญจาก Arab Spring เพราะในกรณีอียิปต์ หรือตูนิเซีย มีการเคลื่อนไหวของมวลชนที่ล้มผู้นำเผด็จการได้ แต่ในกรณีซิเรีย การใช้แนวจับอาวุธนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ล้มผู้นำเผด็จการไม่ได้ และแถมเปิดช่องให้ประเทศอื่นๆ เข้ามาร่วมในสงคราม จนสังคมซิเรียพังทะลาย

ประเด็นที่สองคือเรื่องการปก้องกันตัวจากความรุนแรงของฝ่ายรัฐ มาร์คซิสต์จะมองว่าถ้าเราสู้ด้วยอาวุธชนิดเดียวกับที่ผู้กดขี่เราใช้ จะไม่ได้ผลเท่าไร แต่ถ้าเราใช้พลังของมวลชนในการนัดหยุดงาน มันเป็นอาวุธที่ฝ่ายรัฐมีความลำบากมากในการปราบหรือโต้ตอบ เพราะกรรมาชีพผู้ทำงานมีความสำคัญอย่างยิ่งกับเศรษฐกิจ การนัดหยุดงานจึงเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่มีพลัง และสามารถใช้ล้มเผด็จการได้

อ่านเพิ่ม

ถ้าจะไล่เผด็จการทหารต้องปลุกระดมการนัดหยุดงาน http://bit.ly/2Oh1mJz

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

มาร์คซิสต์ กับการต่อสู้ในยุคคนหนุ่มสาว http://bit.ly/3iBPzAO

แนวคิดมาร์คซิสต์คืออะไร https://bit.ly/3s5eu42

ใจ อึ๊งภากรณ์

เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากการลุกฮือของมวลชนทั่วโลก

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในรอบเดือนที่ผ่านมามีการประท้วงของมวลชนในหลายประเทศของโลก ในทุกกรณีประเด็นลึกๆ ที่สร้างความโกรธแค้นของมวลชนมีจุดร่วม ทั้งๆ ที่ประกายไฟที่นำไปสู่การประท้วงอาจแตกต่างกัน และไม่มีการประสานกันระหว่างผู้ชุมนุมในประเทศต่างๆ แต่อย่างใด

8c28952358d6402da804eb83814f4f27_18
ฮ่องกง

ในฮ่องกง การประท้วงรอบปัจจุบันมาจากความไม่พอใจกับกฏหมายส่ง “คนร้าย” ข้ามพรมแดน ซึ่งคนจำนวนมากมองว่าจะถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการปราบปรามคนที่ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการจีนในฮ่องกง แต่ถ้าเราสำรวจภาพกว้างและประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่าความไม่พอใจในการปกครองที่ไร้ประชาธิปไตยในฮ่องกง ที่ออกแบบมาโดยรัฐบาลอังกฤษกับจีน เป็นกระแสมานานตั้งแต่เหตุการณ์ฆ่าผู้ประท้วงจีนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และกระแสนี้ก่อให้เกิดขบวนการประชาธิปไตยที่ใช้ร่ม เป็นสัญลักษณ์ ความไร้ประชาธิปไตยในฮ่องกง ตั้งแต่สมัยอังกฤษมาถึงยุคปัจจุบัน เกี่ยวข้องโดยตรงกับการพยายามกดขี่ประชาชนให้สงบท่ามกลางความยากจนและความเหลื่อมล้ำเพื่อขูดรีดส่วนเกินจากกรรมาชีพ และมันสอดคล้องกับเป้าหมายในการขูดรีดแรงงานของเผด็จการจีนด้วย การเมืองกับเศรษฐกิจแยกออกจากกันไม่ได้ [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2qB7h0l ]

72453624_10156651317591966_7480245532409987072_o
ชิลี

ในชิลี การประท้วงไล่รัฐบาลของนายทุนในปัจจุบัน เป็นการต่อยอดกระแสการประท้วงของนักศึกษาในสมัยรัฐบาลพรรคสังคมนิยม สิ่งที่จุดประกายการประท้วงรอบนี้คือการขึ้นค่าโดยสารในระบบขนส่งมวลชน แต่ประเด็นลึกๆ ที่สร้างความไม่พอใจในหมู่พลเมืองมานานคือนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด ที่เพิ่มความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยเผด็จการทหารมหาโหดของนายพลพิโนเช รัฐบาลปัจจุบันของฝ่ายขวา และรัฐบาลชุดก่อนของพรรคสังคมนิยม ล้วนแต่ใช้นโยบายแบบนี้ ดังนั้นเวลาประชาชนมากกว่าหนึ่งล้านคนประท้วงกลางเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้ และสหภาพแรงงานมีบทบาทสำคัญในการประท้วงด้วย ประเด็นหลักคือการต่อต้านนโยบายรัดเข็มขัดที่มาจากลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาด และผลพวงจากเผด็จการนายพลพิโนเชในอดีต [อ่านเพิ่มเรื่องเผด็จการในชิลี https://bit.ly/2NZAF8i ]

f7ef7923de30459bba3228c2f8a88069_18
เลบานอน

ในเลบานอน การประท้วงเพื่อขับไล่รัฐบาล เริ่มจากการค้านข้อเสนอของรัฐบาลที่จะเก็บภาษีจากการใช้วอตส์แอปป์ แต่ประเด็นลึกๆ ที่สร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชนคือนโยบายรัดเข็มขัดที่มาจากลัทธิเสรีนิยมกลไกตลาด บวกกับการที่ระบบการเมืองเลบานอนถูกพรรคการเมืองกระแสหลักแช่แข็งในระบบการเมืองที่แบ่งแยกตามเชื้อชาติศาสนา จนประชาชนธรรมดารู้สึกว่าไม่มีเสรีภาพจริงเพราะผู้นำทางการเมืองจากซีกเชื้อชาติศาสนาต่างๆ ฮั้วกันกดขี่ประชาชนธรรมดา และ 1% ของคนที่รวยที่สุดคุม 50.5% ของทรัพย์สินทั้งหมดของประเทศ

000_1LL3RJ-e1571596008689-640x400

ปรากฏการณ์ในเลบอนอนในขณะนี้ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์สำคัญ เพราะมวลชนออกมาประท้วงท่ามกลางความสามัคคีข้ามเชื้อชาติศาสนา และมีการเน้นประเด็นชนชั้น ในอดีตผู้นำทางการเมืองที่เน้นเชื้อชาติศาสนา และมหาอำนาจต่างชาติ สามารถสร้างความแตกแยกระหว่างพลเมืองกลุ่มต่างๆ ได้ ทั้งนี้เพื่อผลประโยชน์ตนเองเท่านั้น

นอกจากตัวอย่างที่พึ่งกล่าวถึง ในรอบเดือนที่ผ่านมามีการประท้วงของมวลชนเพื่อขับไล่รัฐบาลใน ปวยร์โตรีโก กินี เอกวาดอร์ เฮติ อิรัก กับแอลจีเรีย และมีการรื้อฟื้นการประท้วงใน อียิปต์ กับซูดาน นอกจากนี้ใน กาตาลุญญา มีการประท้วงของมวลชนที่แสวงหาเสรีภาพจากสเปนเพื่อปกครองตนเอง ในกรณีหลังมวลชนไม่พอใจกับรัฐธรรมนูญยุคเผด็จการที่ยังใช้อยู่และเป็นเครื่องมือในการปราบปรามผู้ที่ต้องการแยกตัวออกจากรัฐสเปน

711aa2a618878ae58d6ab1984c2c1c4fd0ae40f6
กินี

จุดร่วมของการประท้วงที่เกิดขึ้นในยุคนี้ที่พึ่งกล่าวถึง คือการที่ระบบทุนนิยมที่ยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนธรรมดาที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ และพรรคการเมืองกระแสหลัก ทั้งขวาและซ้ายปฏิรูป ไม่ยอมคัดค้านนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดที่สร้างความเหลื่อมล้ำมหาศาล บ่อยครั้งสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในระบบการเมืองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือมีลักษณะกึ่งเผด็จการ หรือยังมีผลพวงของเผด็จการฝังลึกอยู่ในสังคม

Haiti
เฮติ

การลุกฮือของมวลชนอาจเกิดในลักษณะที่ไร้การนำทางการเมืองจากฝ่ายซ้าย เช่นในชิลี เพราะพรรคสังคมนิยมปฏิรูปต่างๆ ที่เคยเป็นรัฐบาลไม่ยอมท้าทายโครงสร้างของทุนนิยม และในกรณี บราซิล กับ เวเนสเวลา อาศัยราคาทรัพยากรธรรมชาติเช่นน้ำมันหรือแร่ธาตุที่ขึ้นสูงแบบชั่วคราว เพื่อพยายามแก้ปัญหาความยากจน แต่พอราคาสินค้าส่งออกตกต่ำก็หันไปใช้นโยบายรัดเข็มขัด

บางครั้งในสถานการณ์แบบนี้พรรคการเมืองฝ่ายขวาสุดขั้วสามารถฉวยโอกาสได้ เช่นใน บราซิล กับ อินเดีย แต่การฉวยโอกาสของฝ่ายขวาทำได้ยากเมื่อมวลชนคนธรรมดาออกมาประท้วง เพราะท่ามกลางวิกฤตของทุนนิยมโลก ชนชั้นกรรมาชีพโลกขยายตัวไปเป็นคนส่วนใหญ่ไปแล้วและมีส่วนร่วมในการประท้วง

72369120_2608381949211853_1324092946538037248_o
กาตาลุญญา

งานวิจัยชิ้นใหญ่โดยนักวิชาการชาวนอร์เวย์เกี่ยวกับการประท้วงของมวลชนในรอบ 100 ปีถึงยุคปัจจุบันค้นพบว่าการประท้วงที่มีส่วนร่วมหรือนำโดยสหภาพแรงงานและมวลชนกรรมาชีพมักจะมีประสิทธิภาพสูงสุดในการล้มรัฐบาล ผลักดันการปฏิรูปเปลี่ยนแปลง และขยายพื้นที่ประชาธิปไตย พูดง่ายๆ มันมีพลังมากกว่าการประท้วงของเกษตรกรหรือชนชั้นกลาง

ผลงานจากการวิจัยนี้ช่วยพิสูจน์ความล้มเหลวของทฤษฏีรัฐศาสตร์กระแสหลักที่ผมเคยวิจารณ์ [ดู https://bit.ly/33yfdhj ]

สิ่งที่เราเห็นในยุคปัจจุบันคือการประท้วงใหญ่ของมวลชน บ่อยครั้งมีส่วนร่วมโดยกรรมาชีพและสหภาพแรงงาน แต่ขาดการนำทางการเมืองของพรรคซ้ายปฏิวัติที่เสนอแนวทางที่จะล้มรัฐทุนนิยม และข้ามพ้นทุนนิยมไปสู่ระบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ได้

อ่านเพิ่ม:

ลาตินอเมริกา https://bit.ly/2DlwMsp

บราซิล https://bit.ly/36XfDA6

ซูดานกับแอลจีเรีย https://bit.ly/36SxEj5

อียิปต์ ประชาชนเริ่มหายกลัว https://bit.ly/36NCEoO

อียิปต์ ประชาชนเริ่มหายกลัว

ใจ อึ๊งภากรณ์

การประท้วงเพื่อขับไล่ประธานาธิบดีนายพล เอล์ซิซี ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาในเมืองไคโร อะเล็กซานเดรีย และสุเอซ เป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมัวที่ปกคลุมประเทศอียิปต์มาตั้งแต่ปี 2013 หลังจากที่การปฏิวัติลุกฮือ “อาหรับสปริง” ถูกทำลายโดยกองทัพ

7431bdc60584405eafdb3b144857fc1c_18

ในเมืองมาฮาลา ซึ่งเป็นเมืองที่มีย่านอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ก็มีการประท้วงเช่นกัน มาฮาลา เคยเป็นศูนย์กลางการประท้วงของกรรมาชีพที่ล้มมูบารัคใน“อาหรับสปริง”

ตั้งแต่กรกฏาคมปี 2013 เมื่อกองทัพไฮแจ๊กการประท้วงที่ต่อต้านประธานาธิบดี มูรซี่ จากพรรคมุสลิม และก่อรัฐประหารเพื่อตั้งคณะทหารเผด็จการ ตามด้วยการเลือกตั้งนายพล เอล์ซิซี หัวหน้ากองทัพ เป็นประธานาธิบดีท่ามกลางความสับสนของประชาชน รัฐบาลได้จับนักโทษการเมืองเข้าคุก 40,000 คน และฆ่าประชาชนกว่า 3000 คน นอกจากนี้ประชาชนหลายร้อยคนก็ “หายไป”

77937380100387640360no
ทรราชอียิปต์ได้รับคำชมจากประธานาธิบดีสหรัฐ

ปัจจุบันนี้อียิปต์มีรัฐบาล “เผด็จการรัฐสภา” ไม่ต่างจากไทย เพราะกองทัพใช้กลไกต่างๆ เพื่อโกงการเลือกตั้ง แต่ข้อแตกต่างจากไทยคือตอนนี้เริ่มมีการชุมนุมของมวลชนบนท้องถนนท่ามกลางการปราบปรามอย่างโหดร้ายของทหาร ที่ใช้ทั้งก๊าซน้ำตา กระสุนยาง และกระสุนจริง

combo-egypt-protest-politics_9c9ab2e4-ddea-11e9-a910-fb95b571a1f5

สิ่งที่จุดประกายการลุกฮือครั้งนี้ในอียิปต์ คือการใช้อินเตอร์เน็ดและโซเชียลมีเดีย เพื่อเปิดโปงการคอรรับชั่นของประธานาธิบดีนายพล เอล์ซิซี  โดยนักธุรกิจชื่อ มูฮัมหมัด อาลี ที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ มีการปลุกระดมให้คนออกมาประท้วง

แต่เบื้องหลังความโกรธแค้นของประชาชนที่นำไปสู่การลุกฮือครั้งนี้คือสภาพเศรษฐกิจ และการขาดสิทธิเสรีภาพโดยสิ้นเชิง

Protests-break-out-in-Egypt-calling-for-Sisis-removal

รัฐบาล “เผด็จการรัฐสภา” ของทหารอียิปต์ ได้ใช้นโยบายรัดเข็มขัดตามแนวเสรีนิยมสุดขั้วขององค์กร ไอเอ็มเอฟ มาตั้งแต่ปี 2016 ผลคือประชาชนหนึ่งในสามมีสถานภาพต่ำกว่าเส้นความยากจน คือมีรายได้น้อยกว่า US$1.40 ต่อวัน

เนื่องจาก มูฮัมหมัด อาลี เคยเป็นนักธุรกิจที่ร่วมมือกับเผด็จการทหารแล้วแตกแยกกับพวกนั้น วัตถุประสงค์ของเขาคงจะไม่ใช่เพื่อสร้างประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพให้กับคนส่วนใหญ่ แต่วิดีโอที่เขาโพสต์ในอินเตอร์เน็ด กลายเป็นชนวนที่ทำให้คนตัดสินใจที่จะออกมาประท้วง

5f9e5-revsoa2statement

“องค์กรสังคมนิยมปฎิวัติอียิปต์” ได้ออกแถลงการณ์ชื่นชมความกล้าหาญของประชาชนที่ออกมาประท้วง และตั้งข้อสังเกตว่าประชาชนเริ่มหายกลัว แต่ที่สำคัญคือประชาชนจะต้องจดจำบทเรียนจากการลุกฮือคราวที่แล้ว โดยเฉพาะตอนที่มีการขับไล่ประธานาธิบดี มูรซี่ เพราะในสถานการณ์แบบนี้มักจะมีคนฉวยโอกาสยึดอำนาจ แทนที่อำนาจจะตกอยู่ในมือประชาชน สิ่งที่ควรจะเป็นเป้าหมายสำคัญในการประท้วงครั้งนี้คือการผลักดันให้ทหารออกจากรัฐบาลและการเมืองโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่ขับไล่นายพล เอล์ซิซี คนเดียว

สองปีหลังการลุกฮือ “อาหรับสปริง” ประธานาธิบดี มูรซี่ จากพรรคมุสลิม ปกครองประเทศแต่ไม่ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนระบบ และหันไปจับมือกับทหารและสหรัฐอเมริกา ประชาชนจำนวนมากจึงออกมาแสดงความไม่พอใจกับรัฐบาลในปี 2013 แต่ในยุคนั้นประชาชนจำนวนมากถูกหลอกให้ไว้ใจกองทัพ ซึ่งในที่สุดก็ยึดอำนาจและหมุนนาฬิกากลับไปสู่ยุคเผด็จการก่อนปี 2011

คราวนี้มวลชนไม่ควรไว้ใจใครที่มาจากกลุ่มอำนาจเก่าหรือกลุ่มนักธุรกิจ ประชาชนต้องนำตนเองจากรากหญ้า แต่ต้องมีการจัดตั้งทางการเมืองเพื่อสร้างการนำและเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่ปล่อยให้มีแต่การลุกฮือตามธรรมชาติที่ไร้การจัดตั้ง

พวกเราในประเทศไทยที่กำลังต้านเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ควรศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์และที่อื่นอย่างดี และไม่หลงเชื่อว่าการค้านรัฐบาลในรัฐสภา หรือการตั้งความหวังกับ “ผู้ใหญ่” หรือนักธุกิจ จะนำไปสู่การสร้างสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย

อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2m88j1w  และ  https://bit.ly/2l6NZgJ

อย่าฝันเลยว่าเราจะแก้รัฐธรรมนูญ สร้างประชาธิปไตย หรือสร้างความยุติธรรม ถ้าไม่มีขบวนการมวลชน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกวันนี้เราเห็นกระบวนการของ “รัฐประหารยาว” ที่ประยุทธ์และแก๊งโจรเริ่มลงมือทำตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ การร่วมมือกับสลิ่ม ม็อบสุเทพ และพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อล้มการเลือก ตั้งเปิดประตูให้มีการทำรัฐประหารโดยประยุทธ์ แต่การทำลายประชาธิปไตยครั้งนั้นมันเป็นเพียงการต่อยอดสิ่งที่ทหารเผด็จการ ศาลเตี้ย และพวกสลิ่มเสื้อเหลือง รวมถึงเอ็นจีโอ ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา และ “รัฐประหารยาว” ครั้งนี้ไม่ได้จบลงด้วยการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ เพราะมีการวางกติกาการเลือกตั้ง และสร้างสถาบันของเผด็จการเพิ่มขึ้นให้มีลักษณะถาวร เช่นการแต่งตั้งวุฒิสภากับศาล การออกกฏหมายเพื่อโกงการเลือกตั้ง และการประกาศใช้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ ๒๐ ปี

ทั้งหมดนี้ทำให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาเพียงแต่เป็นการเล่นละครของเผด็จการ จะมีหรือไม่มีรัฐบาลใหม่ก็ไม่สำคัญเพราะ คสช. ก็ยังอยู่และปฏิบัติเหมือนเดิม แถมจอมเผด็จการประยุทธ์ก็ออกมาขู่ว่าถ้าไม่พอใจเมื่อไร มันพร้อมจะนำรถถังออกมาเพื่อล้มประดานอีก

423027

จริงๆ แล้วเราไม่ต้องอธิบายให้ใครฟังว่าสภาพการเมืองไทยแย่แค่ไหน เพราะมันเห็นชัด นอกจากการที่แก๊งประยุทธ์ยังครองอำนาจเหมือนเดิมแล้ว เราเห็นจากการทำร้ายคนอย่างจ่านิว หรือการเข่นฆ่าหรือไล่ขู่ฆ่าคนอย่างอาจารย์สุรชัยและผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อบ้าน

คนที่มองไม่ออกว่านี่คือเผด็จการ เป็นคนที่เลือกจะไม่มอง เพราะชื่นชมเผด็จการอยู่แล้ว

แต่ประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยเข้าใจดีว่าเรายังอยู่ภายใต้เผด็จการ ทั้งๆ ที่บางคนเคยปิดหูปิดตาถึงความจริงและเคยฝันว่าการเลือกตั้งจะนำประชาธิปไตยกลับมา

ประเด็นที่เราควรจะคุยกันอย่างจริงจังคือเราจะทำอย่างไร อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประชาชนมีอำนาจในแผ่นดินแทนคณะทหาร

เวลาเราพิจารณาเส้นทางต่อสู้ เราควรจะคำนึงถึงวิธีการที่ฝ่ายเผด็จการทำลายประชาธิปไตยมาตั้งแต่การชุมนุมของเสื้อเหลืองและการทำรัฐประหาร ๑๙ กันยา

สิ่งที่ชัดเจนคือการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง และการทำลายรัฐธรรมนูญปี ๔๐ ไม่ได้ทำผ่านรัฐสภา หรือผ่านการใช้กลไกของกฏหมาย หรือกติกาของระบบประชาธิปไตยแต่อย่างใด

ดังนั้นการลบผลพวงของเผด็จการจะอาศัยการใช้ระบบรัฐสภาหรือกฏหมายหรือกติกาที่ฝ่ายเผด็จการออกแบบมาใช้ได้อย่างไร?

มีนักกิจกรรมและนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยไม่น้อย ที่มองว่าเราขาดประชาธิปไตย เสรีภาพ หรือความยุติธรรม แต่พูดเป็นนามธรรมอย่างเดียวว่าจะต้อง “แก้รัฐธรรมนูญ” หรือ “ปฏิรูปกองทัพ” โดยที่ไม่เสนอวิธีการอย่างชัดเจนที่ตรงกับโลกจริง

แล้วจะทำได้อย่างไรถ้าแค่อาศัยสส. ในรัฐสภา และกติกาของเผด็จการ?

คำตอบคือทำไม่ได้ ใครๆ ที่เคยฝันว่าการเลือกตั้งภายใต้กติกาเผด็จการจะเปลี่ยนอะไร ควรจะยอมรับได้แล้วว่ามันถึงทางตันในการใช้รัฐสภาหรือกฏหมายกติกาโจรมาล้มเผด็จการ ควรจะมีการสรุปกันแล้วว่าต้องสร้างพลังนอกรัฐสภาของมวลชนจำนวนมาก

บางคนพูดถึง “ภาคประชาชน” แต่เราต้องชัดเจนว่า “ภาคประชาชน” คือใครและคืออะไร เพราะที่แล้วมาพวกเอ็นจีโอที่เคยช่วยโบกมือเรียกเผด็จการก็ชอบเรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน”

ควรจะพูดให้ชัดว่าต้องมีการลงมือสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยที่มีมวลชน ตัวอย่างที่ดีในอดีตคือขบวนการเลื้อแดง แต่รอบนี้เราต้องสร้างให้ดีกว่าและไปไกลกว่าเสื้อแดง คือต้องอิสระจากพรรคการเมืองกระแสหลักประเภทที่ต้องการประนีประนอมหรือคอยชะลอการต่อสู้ และต้องเชื่อมโยงกับขบวนการแรงงานและคนรุ่นใหม่ มันควรมีหน้าตาคล้ายๆ ขบวนการประท้วงที่ฮ่องกง (ดูภาพ)

8c28952358d6402da804eb83814f4f27_18

ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแบบนี้มันไม่เกิดขึ้นเอง มันไม่เกิดขึ้นจากความหวังของผม มันไม่เกิดขึ้นจากบทความที่พวกเราเขียน และมันไม่เกิดจากคำประกาศหรือการถกเถียงในโซเชียลมีเดีย มันต้องมีคนตัวจริงคุยกับคนตัวจริงต่อหน้าต่อตา มันต้องมีการประชุม และมันต้องมีการจัดตั้ง

อ่านเพิ่ม “เราจะสู้อย่างไร?” https://bit.ly/2RQWYP4

เราจะสู้อย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในยุคการโกงการเลือกตั้งโดยเผด็จการทหาร และการสืบทอดอำนาจผ่านการสร้างภาพความเป็น “ประชาธิปไตย” เราจะเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ไม่ยอมสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อต่อสู้กับอิทธิพลของเผด็จการ มีแต่การพึ่งพาศาลลำเอียง และกระบวนการในรัฐสภาเท่านั้น ในรูปธรรมมันเป็นการยอมจำนนต่อแผนของเผด็จการ

โกงเลือกตั้ง

แต่เมื่อนักประชาธิปไตยบางคนเสนอว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะลงถนน” ก็มีพวกหดหู่ยอมจำนนออกมาวิจารณ์ว่าการลงถนนหรือการประท้วงจะนำไปสู่การปราบปรามโดยฝ่ายตรงข้าม ตกลงถ้าเราฟังพวกนี้เราก็ควรกลับบ้านไปมุดหัวและยอมจำนนเท่านั้น

แน่นอนการออกมาค้านเผด็จการเป็นสิ่งที่อาจมีความเสี่ยงอยู่ มันขึ้นอยู่กับวิธีการต่อสู้ ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะสู้อย่างไรต้องมาจากการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่นักกิจกรรมที่อยู่ในประเทศไทย แต่ที่สำคัญคือ การออกมาคัดค้านเผด็จการไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงเสมอ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่แน่นอนคือ การเลือกที่จะไม่สู้จะไม่มีวันสร้างประชาธิปไตยและทำลายเผด็จการ

การสร้างประชาธิปไตยแท้ในไทย ย่อมอาศัยทั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีมวลชนจำนวนมาก และพรรคการเมืองแบบสังคมนิยมของคนชั้นล่าง ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เราคงจะไม่สำเร็จ

พรรคซ้ายหรือพรรคสังคมนิยมของคนชั้นล่างจำเป็นต้องสร้าง เพราะพรรคของนายทุนไม่สนใจสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม

ข้อสรุปจากความล้มเหลวของฝ่ายประชาธิปไตยตอนนี้คือ เราต้องเน้นการนำร่วมกันจากล่างสู่บนที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่การนำของผู้ใหญ่ที่มีผลประโยชน์ที่ต่างกับมวลชน และเราควรดึงขบวนการกรรมาชีพและคนหนุ่มสาวมาร่วมด้วย

เราไม่ควรสู้แบบยึดถนนตั้งหลักเป็นเดือน แต่ควรประท้วงใหญ่สั้นๆ และควรมีการสร้างความเข้มแข็งในการนัดหยุดงาน เพื่อใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือเราต้องชัดเจนว่าเราต้องการเห็นสังคมแบบไหน

ในยุคหลังเสื้อแดงมีคนหนุ่มสาวและคนอื่นจำนวนหนึ่ง ที่กล้าหาญออกมาสู้กับเผด็จการประยุทธ์ แต่บ่อยครั้งพวกเขาหันหลังให้กับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวมวลชน และไปเน้นการสู้แบบปัจเจก และอาศัยการทำข่าวเท่านั้น ผลที่น่าสลดใจคือคนดีๆ ก็ไปติดคุกและปัจเจกคนอื่นโดนกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่อง

เราจำการลุกฮือ ๑๔ ตุลาได้ไหม? มวลชนครึ่งล้านคนออกมาชุมนุมหลังจากที่นักกิจกรรมโดนเผด็จการจับ และในที่สุดเผด็จการก็ถูกล้มไป ถ้าคนไทยเคยทำได้ในอดีต ตอนนี้ก็ยังทำได้ แต่ต้องมีการวางแผนและการจัดตั้ง

FI-fists_0

การเคลื่อนไหวที่จะมีพลัง ไม่สามารถจัดได้ถ้าเราเพียงแต่ประกาศชวนเชิญประชาชนมาร่วมผ่านสื่อมวลชนหรือโซเชียลมีเดีย ถ้าในอนาคตจะมีการจัดให้มีพลังมากขึ้น คือมีคนมาร่วมจำนวนมาก ควรจะมีการจงใจสร้างเครือข่ายและแนวร่วมอย่างจริงจังกับกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆ กัน

ต้องมีการใช้เวลาเพื่อไปคุยกับคนที่มีประวัติในการค้านเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นอดีตคนเสื้อแดง กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันที่หลากหลาย และควรมีการนัดคุยกันหลายรอบ เพื่อร่วมกันตกลงว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันอย่างไร และเมื่อไร นอกจากนี้ตัวแทนของทุกกลุ่มที่ร่วมกันควรจะถือว่าเป็นแกนนำของแนวร่วมใหม่อันนี้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การจัดตั้งแบบประชาธิปไตย”

แน่นอนการทำงานแนวร่วมแบบนี้ต้องมีการประนีประนอมกันในการวางแผนแนวปฏิบัติ แต่นั้นไม่ได้แปลว่าจะมีมุมมองในหลายแง่ของการเมืองที่ต่างกันไม่ได้ จริงๆ แล้วการมีหลากหลายมุมมองทางการเมืองเป็นเรื่องดี เพราะจะนำไปสู่การถกเถียงเรื่องการเมืองภาพกว้าง ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเมืองแบบนี้และช่วยให้ทุกคนมีความคิดที่ชัดเจนมากขึ้น

เราไม่ควรลืมว่าประชาธิปไตยควรจะรวมไปถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิที่จะมีค่าแรงที่เลี้ยงชีพได้ สิทธิของทุกเพศรวมถึงเกย์ ทอม ดี้ กะเทย ฯลฯ สิทธิของชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี สิทธิของแรงงานข้ามชาติ สิทธิในการนับถือศาสนาตามที่ปัจเจกเลือกที่จะนับถือ หรือสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลและการศึกษาคุณภาพดีอย่างถ้วนหน้าฯลฯ

ฝังอยู่ในข้อเสนอของการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของผม คือความสำคัญของการสร้างพรรคของคนชั้นล่าง ซึ่งผมเขียนเรื่องนี้บ่อย หาอ่านได้ที่นี่ http://bit.ly/2nfpcVA

แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยที่เราควรจะมี จะต้องไม่จำกัดไว้ในแวดวงคนที่อยากสร้างพรรคเท่านั้น ต้องกว้างกว่านั้นอีกมาก

การนัดหยุดงานกับพลังในการสร้างเสรีภาพ

ท่ามกลางความมืดมนของเผด็จการที่วางแผนคุมสังคมเราในระยะยาว เราต้องตั้งคำถามว่าพลังไหนในสังคมจะปลดแอกประชาชนและสร้างเสรีภาพ?

การสร้างพลังของขบวนการสหภาพแรงงานในไทย มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างเสรีภาพ สังคมเราจะได้ไม่ต้องวนเวียนอยู่กับเผด็จการ การทำรัฐประหาร  และสภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างต่อเนื่องเหมือนไม่มีจุดจบ นี่คือบทเรียนจากประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก เกาหลีใต้ ลาตินอเมริกา อียิปต์ ซูดาน และแอลจีเรีย

การลงถนนเพื่อประท้วงของมวลชน จะมีพลังมากขึ้นถ้ามีการนัดหยุดงาน การปราบปรามด้วยความรุนแรงของฝ่ายเผด็จการทำได้ยากขึ้นเมื่อเน้นการนัดหยุดงานด้วย

อย่างไรก็ตามขบวนการแรงงานไทยตอนนี้อ่อนแอเกินไป ไร้ประสิทธิภาพในการนำตนเองเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งถูกฝ่ายปฏิกิริยาแทรกแซง และเกือบจะไม่มีการจัดตั้งทางการเมือง บางส่วนของขบวนการมองรัฐบาลทหารว่าเป็น “ผู้อุปถัมภ์” อีกด้วย ที่สำคัญคือควบคู่กับการสร้างพลังของกรรมาชีพ เราไม่สามารถละเว้นการสร้างพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพด้วย ดังนั้นภารกิจสำคัญของเราควรจะเป็นการสร้างพรรคสังคมนิยมของคนหนุ่มสาวมีไฟที่ลงไปทำงานกับขบวนการสหภาพแรงงาน

ทำไมกรรมาชีพมีบทบาทชี้ขาดในการสร้างประชาธิปไตย เสรีภาพ และสังคมนิยม?

ชนชั้นกรรมาชีพตามนิยมของนักมาร์คซิสต์ คือ ทุกคนที่ไร้ปัจจัยการผลิต ดังนั้นลูกจ้างทุกคนที่ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษถือว่าเป็นกรรมาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรโรงงาน พนักงานปกคอขาว คนขับรถเมล์ พนักงานในภาคบริการ พยาบาล หรือครูบาอาจารย์

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ เป็นเพราะชนชั้นกรรมาชีพมีอำนาจซ่อนเร้นอยู่สูง เนื่องจากกรรมาชีพเป็นชนชั้นใหม่ที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้นมาในใจกลางของระบบ เศรษฐกิจทุนนิยมต้องอาศัยการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพทั้งสิ้น นายทุนนายจ้างและเครื่องจักรต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานแทนชนชั้นกรรมาชีพได้ เมื่อกรรมาชีพนัดหยุดงานทั่วประเทศ ทหารและตำรวจปราบยากกว่าการชุมนุมบนท้องถนน

stop dictatorship

สรุปแล้วสิ่งที่เราน่าจะทำตอนนี้คือ

  1. ตั้งวงคุยอย่างจริงจังเพื่อทบทวนแนวการต่อสู้ที่ผ่านมา และถกเถียงแลกเปลี่ยนว่าเราต้องการสังคมแบบไหน โดยใช้ประสบการณ์จากโลกจริงมาเป็นตัวอย่าง
  2. ต้องมีการใช้เวลาเพื่อสร้างเครือข่ายการเคลื่อนไหว และควรมีการนัดคุยกันหลายรอบ เพื่อร่วมกันตกลงว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันอย่างไร และเมื่อไร
  3. ควรเริ่มเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จากเล็กไปใหญ่ โดยเน้นการดึงมวลชนเข้ามาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เน้นการลงถนนเป็นครั้งๆ ไม่ใช่ชุมนุมยืดเยื้อ และควรตั้งเป้าให้มีการหยุดงานด้วย
  4. ควรพยายามสร้างพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพ แทนที่จะตั้งความหวังกับพรรคการเมืองของนายทุน

เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันมันไม่ยากเกินความสามารถของคนธรรมดาด้วย ใครที่บอกว่า “มันยากแต่ฉันจะพยายามทำ” คือคนที่ไม่ต้องการเป็นทาส

บทเรียนสำคัญจากการปฏิวัติในซูดานกับแอลจีเรีย

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้นักข่าวหนังสือพิมพ์ Financial Times ซึ่งเป็นปากเสียงของนายทุนอังกฤษ ได้เสนอว่าการปฏิวัติในประเทศซูดานมีบรรยากาศคล้ายกับการปฏิวัติรัสเซีย 1917 ในยุคเลนิน ประโยคแบบนี้ทำให้เรารู้ว่าการปฏิวัติในซูดานมีความสำคัญยิ่ง และทำให้เราเข้าใจว่าการปฏิวัติในแอลจีเรีย ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับซูดาน มีความสำคัญพอๆ กัน

Photo-creditL--750x400

สำหรับนักมาร์คซิสต์สังคมนิยม การต่อสู้ในทั้งสองประเทศ ต้องขยับจากการลุกฮือเพื่อประชาธิปไตยทุนนิยม ไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม สาเหตุที่เรามีมุมมองแบบนี้ก็เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมปัจจุบัน ข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาของประชาชนจะประสบความล้มเหลวถ้าไม่ปฏิวัติต่อไป ซึ่งจะอธิบายเหตุผลในท้ายบทความนี้

เรื่องนีเกี่ยวข้องโดยตรงกับทฤษฏี “การปฏิวัติถาวร” ของ ลีออน ตรอทสกี้ [ดู https://bit.ly/2zCPB5h ]

การลุกฮือของชาวซูดาน เพื่อโค่นล้มระบบเผด็จการของประธานาธิบดี อัล บาเชียร์ ระเบิดขึ้นเนื่องจากนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลภายใต้คำแนะนำของไอเอ็มเอฟ ประชาชนธรรมดาเดือดร้อนมากเพราะราคาข้าวของเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นราคาขนมปัง ที่เพิ่มขึ้นสามเท่าตัว

อัล บาร์เชียร์ เป็นทหารที่ขึ้นสู่อำนาจผ่านการทำรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองอิสลามสุดขั้วในปี 1989 หลังจากนั้นก็มีการจัดการเลือกตั้งปลอมเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป พร้อมกันนั้นมีการปราบปรามผู้เห็นต่างอย่างหนัก

20101218101053872360_20
อัล บาเชียร์

ในการต่อสู้ครั้งนี้มีมวลชนหลายแสนออกมาประท้วง จนนายทหารคนอื่นในชนชั้นปกครองซูดานมองว่ารัฐบาลคงไปต่อไม่ไหว ทหารจึงเขี่ย อัล บาเชียร์ ออกจากตำแหน่งและตั้งคณะทหารมาปกครองประเทศเพื่อเอาตัวรอด วิธีแบบนี้เคยถูกใช้ในการปฏิวัติอียิปต์ ในช่วง “อาหรับสปริง” และประชาชนไม่น้อยถูกหลอกให้ไว้ใจทหาร แต่คราวนี้ในซูดาน มวลชนไม่พอใจและชุมนุมต่อไป โดยเฉพาะหลังจากที่คณะทหารแจ้งว่าจะปกครองประเทศต่ออีกสองปี การต่อสู้ของมวลชนบังคับให้หัวหน้าคณะทหารคนแรกต้องลาออกหลังดำรงตำแหน่งได้เพียงหนึ่งวัน (ภาพข้างล่าง)

sudan-spring-uprising-ibn-auf

แต่มวลชนยังต้องต่อสู้ต่อไปกับคณะทหาร โดยชุมนุมต่อเนื่องหน้ากองบัญชาการทหาร

SUDAN

ที่น่าทึ่งคือ พลังมวลชนในซูดานมาจากบทบาทของการนัดหยุดงานและเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานคอปกขาว พวกนี้เป็นแกนนำของแนวร่วมที่มีชื่อว่า “พลังเพื่อประกาศอิสรภาพและการเปลี่ยนแปลง” นอกจากนี้อีกเรื่องหนึ่งที่น่าทึ่งคือบทบาทสำคัญของสตรีในการนำม็อบ

นอกจากกรรมาชีพคอปกขาวแล้ว คนงานในองค์กรไฟฟ้า องค์กรโทรคมนาคม ท่าเรือ และโรงสี ก็นัดหยุดงานด้วย

ภายในม็อบมีการจัดการอะไรเองหลายอย่าง เช่นความปลอดภัย การทำอาหารเลี้ยงผู้ชุมนุมและเด็กยากจนที่ไร้ที่อยู่อาศัย การบันเทิงซึ่งประกอบไปด้วยการร้องเพลงและการจัดจอโทรทัศน์เพื่อดูฟุตบอล์ นอกจากนี้มีศูนย์พยาบาลอีกด้วย ภายในที่ชุมนุมมีความสามัคคีระหว่างคนต่างศาสนาต่างเชื้อชาติ มันสะท้อนหน่ออ่อนของสังคมใหม่ที่อาจเป็นไปได้ถ้าประชาชนมีอำนาจในการปกครองตนเอง

ข้อเรียกร้องหลักของขบวนการผู้ชุมนุมคือ ทหารต้องออกจากการเมือง พลเรือนต้องตั้งรัฐบาลชั่วคราว ซึ่งต้องประกอบไปด้วยสตรีเกือบครึ่งหนึ่งและคนจากหลากหลายศาสนาเชื้อชาติ แน่นอนมันมีการถกเถียงกันระหว่างคนที่อยากประนีประนอมกับอำนาจรัฐ และคนที่อยากปฏิวัติโค่นรัฐเก่า แต่ทุกคนเข้าใจว่าการนัดหยุดงานและการชุมนุมเป็นหลักประกันสำคัญของชัยชนะ

อย่างไรก็ตามการต่อสู้ของชาวซูดานถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะคณะทหารทำเหมือนจะตกลงกับแกนนำ “พลังเพื่อประกาศอิสรภาพและการเปลี่ยนแปลง” เสร็จแล้วก็พยายามใช้ความรุนแรงในการปราบปรามม็อบ แต่ยังไม่สำเร็จ ข้อตกลงกับทหารครั้งนี้เป็นแผนซื้อเวลาของทหาร และอันตรายอย่างยิ่งกับฝ่ายปฏิวัติ เพราะไม่มีความชัดเจนว่าทหารจะลงจากอำนาจในคณะปกครองประเทศชั่วคราว และมีการยืดเวลากำหนดเลือกตั้งออกไปสามปี

petroleum_workers_protest2_WEB_OK
คนงานน้ำมันประท้วง

ล่าสุดมีการประกาศนัดหยุดงานทั่วไปเพื่อกดดันทหาร

การลุกฮือในแอลจีเรีย มาจากการต่อสู้เพื่อกีดกันการสืบทอดอำนาจของผู้นำประเทศที่หมดสภาพเพราะความชราที่ชื่อ บูเตฟลิกา ผู้นำคนนี้ประกาศว่าอยากอยู่ต่ออีก 4 ปีทั้งๆ ที่ครองอำนาจมาเกือบยี่สิบปีผ่านการใช้อำนาจกึ่งเผด็จการ บูเตฟลิกา ขึ้นมามีอำนาจหลังจากสงครามกลางเมืองอันโหดร้ายทารุณระหว่างกองทัพกับพรรคอิสลามที่เคยชนะการเลือกตั้ง “ยุคสิบปีแห่งความมืด” นี้เกิดขึ้นระหว่าง 1992-2002 และก่อนที่จะมีการลุกฮือปีนี้มันมีกฏหมายห้ามการชุมนุมที่ตกค้างจากยุคมืดเผด็จการ

FILE PHOTO: Algeria's President  Abdelaziz Bouteflika gestures during a graduation ceremony of the 40th class of the trainee army officers at a Military Academy in Cherchell
บูเตฟลิกา กับนายทหารชั้นสูง

รัฐบาลของบูเตฟลิกา ใช้งบประมาณจากการขายน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เพื่อพยุงความเป็นอยู่ของประชาชน แต่พอราคาทรัพยากรเหล่านี้ตกต่ำในตลาดทุนนิยมโลก การว่างงานก็เพิ่มขึ้น

637762f3753486aa1c8f735d7ac11c1e_w771_h422

หลังจากมวลชนออกมาประท้วงและมีการนัดหยุดงานทั่วไปของกรรมาชีพ โดยเฉพาะกรรมาชีพในภาครัฐ ซึ่งรวมอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ชนชั้นปกครองแอลจีเรียก็ใช้วิธีการเดียวกับที่ซูดาน คือเขี่ยผู้นำที่ประชาชนเกลียดชังออกจากตำแหน่งเพื่อเอาตัวรอด หลังจากนั้นก็สัญญาว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ขบวนการประท้วงไม่ยอมหยุด มีการยึดมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งโดยนักศึกษาและอาจารย์

la-1555182630-o77bgwl898-snap-image

ประเด็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมในแอลจีเรียไม่ต่างจากซูดานคือ มวลชนคนธรรมดาต้องกำหนดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไม่ใช่ปล่อยให้แกนนำรัฐเก่ากำหนด

นักสังคมนิยมมาร์คซิสต์จากประเทศอียิปต์ ได้ตั้งข้อสังเกตเรื่อง ซูดานและแอลจีเรีย ไว้ 5 ข้อคือ

  1. เหตุการณ์ในสองประเทศแสดงให้เห็นว่าการปฏิวัติยังเป็นไปได้ในโลกสมัยใหม่ และอาหรับสปริงยังไม่ตาย ทั้งๆ ที่มีชัยชนะตามด้วยความพ่ายแพ้ การปฏิวัติล้มรัฐเก่าและทุนนิยมเป็นเรื่องจำเป็นถ้าจะแก้ไขความทุกข์ยากของประชาชนที่เกิดจากนโยบายเสรีนิยมและระบบตลาดโลก
  2. เราเห็นประกายไฟที่ก่อให้เกิดการลุกฮือสองรูปแบบคือ ประเด็นเศรษฐกิจในซูดาน กับประเด็นการเมืองในแอลจีเรีย แต่อย่างที่โรซา ลัคแซมเบอร์ค เคยเสนอในหนังสือ “การนัดหยุดงานทั่วไป” การต่อสู้ทางเศรษฐกิจ กับการต่อสู้ทางการเมือง มันย่อมเชื่อมโยงกัน เศรษฐกิจนำไปสู่การเมือง การเมืองนำไปสู่เศรษฐกิจ นักสังคมนิยมมีหน้าที่เชื่อมการต่อสู้สองซีกนี้ให้เป็นเนื้อเดียวกัน [ดู https://bit.ly/2DtwQWo ]
  3. มวลชนต้องไม่หลงเชื่อทหารหรือสมาชิกเก่าของชนชั้นปกครองที่ต้องการสลายการชุมนุมด้วยการยอมเขี่ยผู้นำเก่าออกจากตำแหน่ง บทเรียนจากอียิปต์สอนให้เรารู้ว่าการประนีประนอมของฝ่ายเราจะนำไปสู่การถูกปราบปรามในอนาคตและการกลับมาของเผด็จการ นอกจากนี้จะมีการหันหลังกับการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน
  4. การลุกฮือเกิดขึ้นหลังจากที่มีการปูพื้นจัดตั้งการต่อสู้หลายปี โดยเฉพาะในชนชั้นกรรมาชีพการลุกฮือและการนัดหยุดงานเกิดขึ้นหลายครั้งในแอลจีเรียแต่พึ่งมาก่อตัวเป็นการปฏิวัติในรอบนี้ ในซูดานก็มีการต่อสู้กับรัฐบาลโดยหลายกลุ่มก่อนหน้านี้
  1. บทบาทการนัดหยุดงานและการประท้วงของสหภาพแรงงานร่วมกับมวลชนอื่นๆ เป็นเรื่องชี้ขาด เพราะกรรมาชีพมีพลังทางเศรษฐกิจสูง

แนวคิดปฏิวัติถาวร ของลีออน ตรอทสกี มีความสำคัญในการเสนอว่ากรรมาชีพต้องมีบทบาทนำในการปฏิวัติเพื่อปลดแอกชีวิตของคนธรรมดา การหยุดอยู่แค่การเลือกตั้งภายใต้ระบบและรัฐเก่าย่อมแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในระยะยาวไม่ได้ และการปล่อยให้ชนชั้นปกครองเก่าถืออำนาจต่อไปภายใต้บุคคลหน้าใหม่จะนำไปสู่การถูกปราบปราม นอกจากนี้การปฏิวัติที่จะได้รับชัยชนะต้องขยายไปในระดับสากล ตอนนี้มีการลุกฮือในหลายประเทศของอัฟริกาเหนือและตะวันออกกลางนอกเหนือจาก ซูดานและแอจีเรีย คือที่ตูนิเซีย โมรอคโค เลบานอน และจอร์แดน ถ้าการปฏิวัติในซูดาน หรือแอจีเรีย ได้รับชัยชนะ การปฏิวัติจะลามไปสู่ประเทศอื่นและจะเสริมพลังของการปฏิวัติให้แรงขึ้น

5de501ab4504740c7f82a59c54b7bd43_w582_h482

กระบวนการปฏิวัติที่ยังไม่จบที่ ซูดาน และ แอลจีเรีย ทำให้เราเห็นว่า “รัฐ” ไม่ใช่อะไรที่เป็นกลาง เราต้องโค่นมันเพื่อให้ประชาชนมีอำนาจ หน่ออ่อนของสังคมใหม่ย่อมเกิดขึ้นท่ามกลางการชุมนุมใหญ่ และชนชั้นกรรมาชีพและพรรคปฏิวัติของกรรมาชีพมีความสำคัญในการนำการปฏิวัติไปสู่จุดหมายแทนที่จะประนีประนอม การศึกษาการปฏิวัติรัสเซีย 1917 ที่มีการขยับจากการลุกฮือเพื่อประชาธิปไตยทุนนิยม ไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยมยังมีความสำคัญในยุคปัจจุบัน

ข่าวล่าสุด 7 มิย. 2019

การปฎิวัติในซูดานถึงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลังการปราบปรามการชุมนุมโดยกองทัพ มีการนัดหยุดงานที่กดดันให้ผู้นำกองทัพเสนอให้รื้อฟื้นการเขรจากับฝ่ายประท้วง ถ้าประชาชนจะชนะจะต้องขยายการนัดหยุดงานและกดดันให้ทหารรากหญ้าที่สนับสนุนการประท้วงกบฏต่อผู้บังคับบัญชา

คลื่นการต่อสู้สากลยุค 1968 และความสำคัญของมวลชน

ใจ อึ๊งภากรณ์

[ท่านใดที่อ่านผ่าน Facebook อาจอ่านได้ง่ายขึ้นถ้าเข้าไปอ่านในบล็อก ]

ในบทความก่อนหน้านี้ผมเขียนถึงเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 1968 ที่เริ่มต้นในฝรั่งเศส และการหักหลังการต่อสู้โดยพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และสภาแรงงาน ในบทความนี้ผมอยากจะเพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับคลื่นการต่อสู้สากลที่เกิดขึ้น และความสำคัญของการสามัคคีมวลชนนักศึกษากับกรรมาชีพ

ช่วงนี้เป็นช่วงครบรอบ 50 ปี แห่งคลื่นการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนโลกเรา ส่วนหนึ่งของคลื่นนี้คือการล้มเผด็จการทหารไทยในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖

      นักปฏิวัติมารคซิสต์หญิงจากเยอรมันชื่อ โรซา ลัคแซมเบอร์ค เคยเสนอว่า “การปฏิวัติครั้งก่อน มักกำหนดกรอบการต่อสู้เพื่อการปฏิรูปยุคต่อไป”

ถ้าเราย้อนกลับไปคิดถึงคลื่นการปฏิวัติสมัยปฏิวัติรัสเซีย 1917 เราจะเห็นว่ามันเปิดประเด็นการปฏิรูปเรื่อง รัฐสวัสดิการ และการปฏิรูปสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตย ผ่านการยกเลิกระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือผ่านการปลดแอกประเทศจากการเป็นอาณานิคม และที่สำคัญคือมันนำไปสู่การสร้างขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก

ในกรณีคลื่นปฏิวัติ 1968 มันนำไปสู่การต่อสู้เพื่อสิทธิทางเพศและสิทธิเชื้อชาติสีผิว เช่นสิทธิทำแท้งเสรี สิทธิคนรักเพศเดียวกัน สิทธิในการแต่งกายและเพศสัมพันธ์ของเยาวชน และสิทธิของคนเพื่อที่จะไม่ได้รับการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานสีผิวหรือชาติพันธ์ นอกจากนี้มันเปิดประเด็นการต่อสู้กับเผด็จการทหารในรัฐสมัยใหม่ และการต่อสู้กับจักรวรรดินิยมยุคใหม่ที่ไม่ใช่ระบบอาณานิคม และที่น่าตื่นเต้นอีกคือการต่อสู้ที่เกิดขึ้นกับระบบอาวุโสที่ผู้ใหญ่ควบคุมค่านิยมและกติกาของสังคม

1968 สำคัญเพราะ เป็นการกบฏของคนชั้นล่างและคนหนุ่มสาวในโลกตะวันตกและในโลกคอมมิวนิสต์พร้อมกัน เป็นการเปิดโปงพิสูจน์ธาตุแท้ของการประนีประนอม ทรยศ หักหลังของพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลิน ซึ่งนำไปสู่การสร้างซ้ายใหม่ตามแนวตรอทสกี เหมา และอนาธิปไตยในหลายประเทศ

ปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิด “1968” คือ

  1. การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว การขยายจำนวนนักศึกษาภายใต้สถานการณ์ที่คนรุ่นใหม่ไม่พอใจกับการควบคุมสังคมแบบเดิม และชนชั้นกรรมาชีพไม่พอใจที่จะเสียสละต่อไป  พวกเขาต้องการส่วนแบ่งเพิ่มอย่างเป็นธรรม  ในไทยการต่อสู้ของกรรมกรเพื่อขึ้นค่าแรงหลังจากที่แช่แข็งไว้สิบกว่าปี ช่วยให้เกิด ๑๔ ตุลา ในฝรั่งเศสประเด็นแบบนี้ทำให้นักศึกษาและกรรมาชีพเป็นแนวร่วมที่มีพลัง
  2. การต่อต้านการทำสงครามของสหรัฐในเวียดนาม โดยที่นักศึกษาไม่พอใจความป่าเถื่อนของสหรัฐ และเคารพความกล้าหาญของนักรบเวียดนาม
  3. สงครามเวียดนาม และภาระการสร้างอาวุธในสงครามเย็น เริ่มทำลายเศรษฐกิจสหรัฐ และนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศ ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่ประชาชน

ในประเทศ เชคโกสโลวาเกีย นักศึกษาและปัญญาชน เป็นหัวหอกในการประท้วงระบบการปกครองเผด็จการแนว “สตาลิน” ของพรรคคอมมิวนิสต์ มีการบังคับให้เปลี่ยนผู้นำประเทศ โดยเอา “Dubcek”  ขึ้นมาแทนผู้นำเก่า มีการขยายสิทธิเสรีภาพ   แต่ก่อนที่ขบวนการจะสุกงอม รัสเซียส่งกองทัพและรถถังเข้ามาปราบปราม

ใน โปแลนด์ นักศึกษาประท้วงการเซนเซอร์สื่อ  มีการปิดทุกมหาวิทยาลัยโดยนักศึกษา และร้องเพลงอินเตอร์เนเชนัล พร้อมกับตะโกนว่า “เชคโกสโลวาเกีย จงเจริญ!!!”  นักศึกษาต้องรบกับตำรวจ  ในที่สุดสามารถกดดันให้รัฐบาลต้องปฏิรูปบ้าง และในระยะยาวนำไปสู่การต่อสู้ของกรรมกรในปี 1970 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดสหภาพแรงงานอิสระ Solidarity

ในญี่ปุ่น  นักศึกษาเป็นแสนประท้วงทั่วประเทศหลายเดือน  คนหนุ่มสาวไม่พอใจกับความคับแคบ และระบบอาวุโสในสังคมญี่ปุ่น  หลายคนตื่นเต้นกับ “การปฏิวัติวัฒนธรรม” ในจีน  มีการจับฝ่ายบริหารในมหาวิทยาลัยมาขังหลายวันเพื่อ “สอบสวน”  มีการใช้ไม้กระบองและท่อเหล็กตีกับตำรวจ  และนักศึกษาแพทย์เรียกร้องให้ตัวเองมีสิทธิ์ในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอน

JapStud1

     ในมหาวิทยาลัย Berkeley ที่สหรัฐ นักศึกษาเสนอหลักสูตรใหม่ที่ไม่มีการสอบ เพราะอยากเรียนเพื่อรู้ ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบ

ในประเทศจีน คนหนุ่มสาวตื่นตัว ไม่พอใจกับการคอร์รัปชั่นของผู้ใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์ แต่ถูก “เหมาเจ๋อตุง” หลอกใช้ในการต่อสู้กับคู่แข่งของเขาในระดับสูงของพรรค จึงเกิด “การปฏิวัติวัฒนธรรม”

ในเยอรมัน นักศึกษาจาก “สันนิบาตินักศึกษาสังคมนิยม” SDS ขยายสมาชิกผ่านการจัดกลุ่มศึกษามาร์คซิสต์เพื่อวิจารณ์พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (SPD) ที่ทำแนวร่วมกับพรรคอนุรักษ์นิยม (CDU) จนประชาชนหมดทางเลือกทางการเมือง มีการเคลื่อนไหวต้านสงครามเวียดนาม และผู้นำสำคัญของนักศึกษายุคนั้นคือ “Rudi Dutschke”

ในอิตาลี่นักศึกษาก็ตื่นตัวไม่น้อย พรรคคอมมิวนิสต์ PCI ซึ่งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก พยายามควบคุมนักศึกษาเพื่อไม่ให้ไฟของการต่อสู้ลามไปสู่ขบวนการแรงงาน ทั้งนี้เพราะพรรค PCI ต้องการพิสูจน์ “ความรับผิดชอบ” ต่อชนชั้นนายทุน เพื่อหวังทำแนวร่วมกับพรรคนายทุนในรัฐสภา

ในสเปนซึ่งตอนนั้นปกครองโดยเผด็จการนายพลฟรังโก มีการปิดทุกมหาวิทยาลัยท่ามกลางกระแสประท้วงต้านฐานทัพสหรัฐ ในไทยก็มีการประท้วงฐานทัพสหรัฐเช่นกัน

ในเม็กซิโกนักศึกษา  3 แสนคนพร้อมประชาชน เดินขบวนประท้วงเผด็จการของ “พรรคสถาบันปฏิวัติ” ที่ครองอำนาจมาตั้งแต่การปฏิวัติปี 1910  ตอนนั้นเม็กซิโกกำลังจะจัดงานแข่งกีฬาโอลิมปิค  ในที่สุดนักศึกษาถูกรัฐบาลปราบปรามอย่างหนัก ตายหลายร้อย และถูกจับเป็นพัน แต่ในการแข่งกีฬาครั้งนั้น นักวิ่งเหรียญทองและเหรียญเงินผิวดำจากอเมริกาสองคน ยืนขึ้นชูกำปั้นถุงมือดำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังคนผิวดำ (Black Power) ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งในกรรมการกิฬาโอลิมปิค

10318769_10152419982244925_2015312474_n

     ในกรีช หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในไทย นักศึกษากรีชออกมาชุมนุมไล่เผด็จการทหาร โดยตะโกนคำว่า “Thailand Thailand!!!”

ในเวียดนามในช่วงตรุสเวียดนามปี 1968 กองกำลังแนวร่วมปลดแอกชาติ หรือที่เรียกกันว่า “เวียดกง” ยึดสถานทูตอเมริกากลางเมืองไซ่ง่อนในเวียดนามใต้ และยิงปืนออกมา เหตุการณ์นี้ถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก ทำให้ชนชั้นปกครองอเมริการู้ตัวว่าไม่สามารถชนะสงครามได้ และให้กำลังใจกับนักศึกษาสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย ที่ชุมนุมต่อต้านสงคราม ในไม่ช้าคนผิวดำอย่างนักมวยชื่อ “โมหัมหมัด อาลี” ก็ออกมาฝืนกฎหมาย ปฏิเสธการถูกเกณฑ์เป็นทหาร โดยอธิบายว่า ‘คนเวียดนามไม่เคยเรียกผมว่า “ไอ้มืด” ผมจะไม่ไปรบในสงครามคนผิวขาว’ และทุกฐานทัพของอเมริกาทั่วโลกมีกลุ่มทหารกบฏที่ไม่พอใจกับสงครามพร้อมกับกลุ่มศึกษาทางการเมืองและหนังสือพิมพ์ของตนเอง

ขบวนการกบฏต่อชนชั้นปกครองในสหรัฐอเมริกามีสองซีกคือ นักศึกษาที่ต่อต้านสงครามเวียดนาม และคนผิวดำที่ต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติ ในที่สุดมีการตั้งพรรคเสือดำ (Black Panther Party) เพื่อจับอาวุธสู้กับรัฐเหยียดผิว นอกจากนี้มีการสร้างขบวนการรักเพศเดียวกัน แต่ปัญหาใหญ่ในสหรัฐ คือการไม่ทำแนวร่วมกับขบวนการแรงงาน จึงขาดพลัง

ในอังกฤษและไอร์แลนด์มีการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของชาวแคทอลิคในไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งส่งผลให้สตรีวัยสาวฝ่ายซ้ายได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส. ในอังกฤษเองมีการผลักดันสิทธิทำแท้งเสรี และพัฒนาขบวนการสิทธิสตรีผ่านแนวร่วมกับสหภาพแรงงาน

เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ในไทย ชนชั้นปกครองและนักวิชาการกระแสหลัก จะบิดเบือนประวัติศาสตร์จนไม่มีการเชื่อมโยงกับกระแสการต่อสู้สากลเลย มีแต่การสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่เน้นบทบาทคนชั้นบน และลดบทบาทกรรมกรและนักศึกษา การต่อสู้ในช่วงนั้นเป็นสิ่งที่กำหนดกรอบการต่อสู้เพื่อปฏิรูปการเมืองปัจจุบัน  เช่นข้อเรียกร้องเรื่องประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วม และความเป็นธรรมทางสังคมโดยการสร้างรัฐสวัสดิการ  และ ๑๔ ตุลา เป็นต้นกำเนิดของการรื้อฟื้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และการตั้งคำถามกับบทบาทสถาบันกษัตริย์

ความพ่ายแพ้ในไทยช่วง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ และช่วงป่าแตก มาจากข้อผิดพลาดของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ไม่สนับสนุนการต่อสู้ในเมืองเป็นหลัก แล้วพานักศึกษาหลงทางภายใต้การควบคุมของพรรคจนกระทั้งป่าแตกและพรรคล่มสลาย

บทเรียนสำคัญจากคลื่น 1968 คือความสำคัญของมวลชนนักศึกษาในการเป็นหัวหอกการต่อสู้ แต่หัวหอกอย่างเดียวไม่พอ เพราะถ้าไม่มีการทำแนวร่วมกับมวลชนของขบวนการแรงงานกระแสการต่อสู้จะอ่อนแอ และถ้าไปฝากความหวังกับผู้นำ หรือพรรค ที่พาเราไปประนีประนอมกับชนชั้นปกครอง การกบฏจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง นี่บทสรุปสำคัญจากการแช่แข็งการต่อสู้ของเสื้อแดงโดยพรรคเพื่อไทยและทักษิณ มีหลายคนที่ไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้และหันไปเน้นการประท้วงเชิงสัญญลักษณ์ของคนกลุ่มเล็กๆ แต่ถ้าเราจะเปลี่ยนสังคมเราต้องสร้างขบวนการที่ใหญ่โตพอที่จะท้าทายอำนาจรัฐ

อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2i294Cn

และ https://bit.ly/2IeFt9a