Tag Archives: ระบบอุปถัมภ์

คำถามสำหรับนักรัฐศาสตร์เรื่อง “สองนคราประชาธิปไตย”

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังจากที่ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ ประกาศออกมาว่า “ตอนที่ผมมีส่วนร่วมบ้างในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผมคิดว่าถ้าผมรู้ว่าประชาธิปไตยจะเป็นแบบนี้ ผมไม่ทำหรอก ๑๔ ตุลา ผมปล่อยให้จอมพลถนอมปกครองประเทศต่อไปดีกว่า ถึงแม้จะมีอะไรไม่ดี แต่ผมคิดว่าความเลวร้ายของระบบเลือกตั้งที่เราเห็นกันมา ผมว่ามันเลวร้ายกว่านี้”  ควรนำไปสู่การตั้งคำถามสำคัญสำหรับคนที่สอนและศึกษารัฐศาสตร์คือ ในแวดวงวิชาการยังมีการให้ความสำคัญกับผลงานและข้อเสนอของ อเนก เหล่าธรรมทัศน์ หรือไม่ โดยเฉพาะในเรื่องบทบาทชนชั้นกลางในเมืองในการสร้างประชาธิปไตย และในเรื่องระบบอุปถัมภ์? [ดู https://bit.ly/2LE9Cha ประกอบเรื่องนี้]

การที่นักวิชาการคนหนึ่งเปลี่ยนจุดยืนจากอดีต ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เขาเคยเสนอก่อนหน้านี้จะผิดโดยอัตโนมัติ แต่เราก็ต้องตรวจสอบทบทวนด้วย เพราะบางที อเนก เหล่าธรรมทัศน์ อาจไม่เคยมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็ได้

_101727936_cover

ข้อเสนอหลักในหนังสือ “สองนคราประชาธิปไตย” คือ มันมีความแตกแยกสำคัญระหว่างสองซีกในสังคมไทย (สองนครานั้นเอง) คือระหว่างคนเมืองและคนชนบท เอนก เสนอว่าคนเมืองเป็นคนชั้นกลาง และคนชนบทเป็นชาวไร่ชาวนา และเสนอต่อไปว่าคนชั้นกลางในเมืองเป็นคนที่ใช้วิจารณญาณ และมาตรฐานคุณธรรมในการเลือกหรือวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลต่างๆ และคนชั้นกลางเหล่านี้เป็นคนที่มีความคิดอิสระ ส่วนชาวไร่ชาวนาในชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคม มีคะแนนเสียงข้างมากในวันเลือกตั้ง โดยมักจะเลือกนักการเมืองท้องถิ่นในลักษณะการเลือกเจ้านายอุปถัมภ์ คือจะเลือกผู้ที่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลืออุปถัมภ์ตน และจะไม่มองว่าการซื้อขายเสียงผิดหรือขัดกับคุณธรรม เพราะเป็นพิธีกรรมระหว่างผู้อุปถัมภ์กับลูกน้อง เอนกมองว่าการลงคะแนนเสียงของชาวชนบทนี้ไม่ใช่ภายใต้ความคิดอิสระเหมือนชนชั้นกลาง แต่เป็นการตอบแทนบุญคุณตามระบบอุปถัมภ์ที่มีมานานตั้งแต่สมัยไพร่กับนาย

เราอาจพูดได้ว่า “สองนคราประชาธิปไตย” เป็นแนวคิดที่ปูทางไปสู่ประชาธิปไตยครึ่งใบและการเลือกตั้งที่ไม่เสรีของเผด็จการประยุทธ์ในปี ๒๕๖๒

UnemducatedPeopleReuters

นอกจากปัญหาเรื่องการนิยามชนชั้นในเมืองและชนบทของ เอนกแล้ว เวลามองย้อนกลับไปและพิจารณาประเด็นเรื่องความแตกต่างทางการเมืองระหว่างคนชั้นกลางในเมือง กับคนจนในชนบท(และในเมือง) มันมีสองเรื่องที่ต้องนำมาคิด

ในประการแรกมันชัดเจนว่าเราต้องสรุปว่าคนชั้นกลางไม่ได้เป็นพลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยเลย ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ท่องกันมาแบบนกแก้วในแวดวงวิชาการกระแสหลักทั่วโลกรวมถึงในไทย ชนชั้นกลางเป็นกลุ่มชนชั้นที่ไม่มีจุดยืนชัดเจน มักตามกระแส บางครั้งอาจเข้ากับฝ่ายก้าวหน้า บางครั้งเชียร์เผด็จการทหารหรือเผด็จการฟาสซิสต์

ทิศทางความเสื่อมทางการเมืองของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ สะท้อนสิ่งนี้เกี่ยวกับชนชั้นกลางอย่างชัดเจน จากการเข้าป่าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ผ่านการเชียร์บทบาทชนชั้นกลางและดูถูกคนจนในชนบท ผ่านการต้านทักษิณและความผิดหวังเมื่อลงเล่นการเมือง สู่การจับมือชื่นชมเผด็จการและการหันหลังให้กับระบบประชาธิปไตยเพราะมองว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่ไม่มีวุฒิภาวะที่จะมีสิทธิทางการเมือง

ในประการที่สอง ข้อสรุปจากวิกฤตการเมืองไทยตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ คือชนชั้นกลางเป็นกลุ่มชนชั้นที่เข้าหาผู้อุปถัมภ์อย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องอภิสิทธิ์ทางชนชั้นและเพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ดำรงอยู่มานาน ผู้อุปถัมภ์ของชนชั้นกลางในสายตาของชนชั้นกลางเองคือทหารเผด็จการ พวกเทคโนแครดอย่าง อานันท์ ปันยารชุน และกษัตริย์ และยังรวมถึงนายทุนนักการเมืองอย่างทักษิณที่ชนชั้นกลางชื่นชมในช่วงแรก เพราะคิดว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้เพื่อปกป้องสถานภาพของคนชั้นกลาง ดังนั้นชนชั้นกลางไม่ได้มีความคิดอิสระอย่างที่ เอนก อ้าง แต่มีความคิดที่คอยตามกระแสและคอยแสวงหาผู้มีอำนาจ

ส่วน “มาตรฐานคุณธรรม” ที่เอนกเสนอว่าเป็นมาตรฐานของชนชั้นกลาง เราทราบดีว่าถูกเปิดโปงด้วยคำพูดตอแหลของฝ่ายเผด็จการมือเปื้อนเลือดเกี่ยวกับ “คนดี” ชนชั้นกลางไม่มีคุณธรรมพอที่จะมองว่าการฆ่าประชาชนมือเปล่า อย่างคนเสื้อแดง หรือการทำรัฐประหารแล้วจับคนที่คิดต่างเข้าคุก เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด

32261_399319099924_537184924_3928134_4527140_n

การกล่าวหาฝ่ายตรงข้ามว่ามีพฤติกรรม “คอร์รับชั่น” โดยชนชั้นกลาง มาจากการที่ชนชั้นกลางหลอกตัวเองและคนอื่นว่าตัวเองมีฐานะดีที่มาจาก “ความสามารถและความขยันของตนเอง” ซึ่งส่วนใหญ่ไม่จริงเลย แต่มุมมองนี้มันทำให้คนชั้นกลางรู้สึกว่าการคอร์รับชั่นเปิดโอกาสให้ “คนมีเส้น” เข้ามากอบโกยผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม ยิ่งกว่านั้นการโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าโกงกิน เป็นข้อโจมตีแบบคลุมเครือที่เปิดโอกาสให้คนชั้นกลางปิดบังจุดยืนทางการเมืองของตนเองในเรื่องความเหลื่อมล้ำ สิทธิเสรีภาพ หรือนโยบายเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือเป็นข้อโจมตีที่เลือกใช้ได้ ดังที่เราเห็นทุกวันนี้ในสังคมไทย เพราะคนชั้นกลางมักเงียบเฉยต่อการโกงกินของทหารเผด็จการ

[อ่านบทความวิจารณ์หนังสือ “สองนคราประชาธิปไตย” ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ในหนังสือ “ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในไทย” โดย ใจ อึ๊งภากรณ์และคณะ สำนักพิมพ์ประชาธิปไตยแรงงาน เข้าดูได้ที่ https://bit.ly/2BHz2pV ]

นายกไม่สังกัดพรรคการเมือง? มันเป็นสูตรอดีตกษัตริย์เนปาล

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตอนนี้มีเสียงกระซิบจากคอกปฏิกูลการเมือง ว่ามีพวก “ผู้รู้” ที่อยากเสนอให้นายกรัฐมนตรีไทยในอนาคตไม่สังกัดพรรคการเมือง โดยพวกนี้อ้างว่าจะลดการแสวงหาผลประโยชน์ให้พรรคพวกตัวเอง เผลอๆ มันจะเสนอกันว่าในรัฐสภาไม่ควรมีพรรคการเมืองด้วย ตามอย่างวุฒิสภา

สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจคือ ระบบการเลือกตั้งที่ไร้พรรคการเมือง เป็นระบบ “การเมืองที่ไร้นโยบาย” หรือ “การเมืองที่ไร้การเมือง” นั้นเอง มันเคยถูกใช้ภายใต้เผด็จการกษัตริย์เนปาล ก่อนที่ประชาชนจะลุกฮือขับไล่กษัตริย์ออกไป มันเป็นสูตรเผด็จการชัดๆ

ถ้านายกรัฐมนตรี หรือ สส. ไม่สังกัดพรรคการเมือง ก็แปลว่าจะไม่มีการหาเสียงด้วยการเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรม เหมือนพวกที่เสนอตนเองเป็น ส.ว. แล้วห้ามเสนอนโยบาย ก็มีแต่รูปภาพใส่เครื่องแบบทหารหรือพลเรือน มีแต่การโอ้อวด “ผลงาน” ในลักษณะตำแหน่งที่เคยครอง และมีแต่การพูดนามธรรมว่าจะ “รับใช้ชาติและประชาชน”

การที่ระบบการเมืองและระบบการเลือกตั้งไม่มีการเสนอนโยบายการเมือง แปลว่าประชาชนไม่มีอะไรให้เลือก แปลว่าเราจะย้อนยุคกลับไปสู่ระบบการเมืองอุปถัมภ์ แจกโน้นแจกนี่ หางานและตำแหน่งให้พรรคพวก และซื้อเสียง มันแปลว่าประชาชนจะไม่มีสิทธิในการมีส่วนร่วม เพื่อกำหนดว่าสังคมจะถูกบริหารภายใต้นโยบายอะไรเลย นั้นคือความฝันของประยุทธ์และพรรคพวก

อย่าลืมว่าสิ่งที่ทำให้อำมาตย์ เผด็จการทหาร และคนชั้นกลาง เจ็บใจมากที่สุด คือการที่พรรคไทยรักไทยเคยครองใจประชาชน อย่างที่ไม่เคยมีพรรคไหนทำได้ ก็ด้วยการเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ นี่คือสาเหตุที่พรรคอื่นไม่สามารถเอาชนะได้ และนี่คือสาเหตุที่พวกต้านประชาธิปไตยมองว่ามีวิธีเดียวที่จะจัดการกับพรรคทักษิณได้ คือการทำรัฐประหารทางทหารและทางระบบตุลาการ

ตอนนี้เราก็มีนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งตนเองและไม่สังกัดพรรคการเมือง สมัยสฤษดิ์ก็เช่นกัน และเผด็จการทหารก็เป็นเจ้าจอมโกงกินเล่นพรรคเล่นพวกที่ทำลายสังคมไทย

ประชาธิปไตยไทยพัฒนาให้ดีกว่ายุคทักษิณได้ ด้วยการมีหลากหลายพรรคการเมือง เช่นพรรคของชนชั้นกรรมาชีพหรือเกษตรกร และพรรคสังคมนิยม แทนที่จะมีแค่พรรคนายทุน การลดบทบาทพรรคการเมืองเป็นการถอยหลังลงคลอง