Tag Archives: วชิราลงกรณ์

อำนาจของเผด็จการประยุทธ์ไม่ได้มาจากวชิราลงกรณ์แต่อย่างใด

อำนาจของเผด็จการประยุทธ์ไม่ได้มาจากวชิราลงกรณ์แต่อย่างใด คนที่เพ้อฝันคิดแบบนั้นเป็นคนที่ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทย และไม่เข้าใจธาตุแท้ของกษัตริย์ไทย ความคิดแบบนี้จะปล่อยให้ทหารลอยนวล และไม่นำไปสู่การสู้กับเผด็จการตรงจุด

อำนาจของเผด็จการประยุทธ์มาจาก

1. การคุมกองกำลังทหารที่สามารถทำรัฐประหารได้

2. ฐานสนับสนุนเผด็จการประยุทธ์ในหมู่สลิ่มชนชั้นกลาง

การคุมกองกำลังทหารที่สามารถทำรัฐประหารได้

การคุมกองกำลังทหารเป็นการคุมอำนาจทางการเมืองที่สำคัญในประเทศไทย ซึ่งทำให้มีการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลหลายๆ ครั้ง ที่สำคัญสำหรับบทความนี้คือ บ่อยครั้งมีความขัดแย้งกันภายในกองทัพ เพื่อแย่งชิงอำนาจนี้ ซึ่งคงไม่เกิดถ้ากษัตริย์คุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ และที่สำคัญอีกคือมีกรณีที่มีการทำรัฐประหารที่สำเร็จและนำไปสู่การล้มรัฐบาลที่กษัตริย์เคยสนับสนุน ตัวอย่างคือการทำรัฐประหารล้มรัฐบาล “หอย” ของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่ภูมิพลเคยชื่นชม เพียงหนึ่งปีหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙

ฐานสนับสนุนเผด็จการประยุทธ์ในหมู่สลิ่มชนชั้นกลาง

ก่อนหน้าที่ประยุทธ์จะทำรัฐประหารล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 มีมวลชนของพวกสลิ่มออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลบนท้องถนนมากมาย มวลชนฝ่ายขวาเหล่านี้ไม่สนับสนุนระบบประชาธิปไตย เกลียดทักษิณเพราะทักษิณทำแนวร่วมกับคนจนเพื่อสร้างฐานเสียงให้ตัวเอง และไม่พอใจการ “นิรโทษกรรมเหมาเข่ง” ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ช่วงนี้เป็นช่วงที่กษัตริย์รัชกาลที่ 9 ป่วยหนักและหมดสภาพที่จะทำอะไร และวชิราลงกรณ์ก็มัวแต่เสพสุขที่เยอรมัน

การทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ที่สามารถล้มรัฐบาลทักษิณ เกิดขึ้นหลังจากที่พวกเสื้อเหลืองและกลุ่มพันธมิตรกึ่งฟาสซิสต์ทำการประท้วงต่อต้านรัฐบาลทักษิณอย่างต่อเนื่องหลายเดือน และพวกเหลืองเหล่านี้ยังได้รับการสนับสนุนจากพวกเอ็นจีโออีกด้วย การทำรัฐประหารครั้งนี้ทำไม่ได้ถ้าไม่มีกระแสปฏิกิริยาของฝ่ายเหลืองในสังคม และย่อมทำไม่ได้ถ้าตอนนั้นทักษิณเตรียมตัวจัดมวลชนเพื่อต้านรัฐประหาร ซึ่งเขาไม่มีวันทำ

หลังจากที่เผด็จการประยุทธ์ครองอำนาจมา 5 ปี มีการจัดการเลือกตั้งปลอมในปี 2562 ภายใต้กติกาที่ทหารร่างขึ้น ประเด็นสำคัญคือ 1. ทำไมต้องจัดการเลือกตั้งถ้าวชิราลงกรณ์ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ? แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ 2. มีประชาชนไทยหลายล้านคน เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศที่ลงคะแนนสนับสนุนพรรคของประยุทธ์และพรรคร่วมรัฐบาลของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจจากฐานเสียงในสังคมที่เผด็จการประยุทธ์ใช้เพื่อครองอำนาจ มันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับกษัตริย์

พอมาถึงช่วงนี้ วิกฤตโควิดและความไม่พอใจอื่นๆ ที่สะสมในสังคม เริ่มทำลายฐานสนับสนุนของประยุทธ์ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลบนท้องถนน

การทำความเข้าใจกับกระแสสังคม ฐานเสียงในกลุ่มและชนชั้นต่างๆ ของสังคม

ลัทธิคลั่ง “ชาติ ศาสนา กษัตริย์” มีความสำคัญสำหรับทหารและชนชั้นนายทุนไทย ในการกล่อมเกลาประชาชนให้สนับสนุนสิ่งที่ชนชั้นปกครองเหล่านี้กระทำ แต่มันต่างโดยสิ้นเชิงกับ “อำนาจกษัตริย์” ซึ่งเป็นภาพลวงตา

การทำความเข้าใจกับกระแสสังคม ฐานเสียงในกลุ่มและชนชั้นต่างๆ ของสังคม เป็นเรื่องสำคัญถ้าเราจะล้มเผด็จการได้ ที่สำคัญคือต้องมีการปลุกระดมกรรมาชีพคนทำงาน คือคนที่มีพลังทางเศรษฐกิจ ให้นัดหยุดงานเพื่อล้มเผด็จการ และสิ่งนี้เกิดได้ง่ายขึ้นถ้ามีการสร้างพรรคสังคมนิยม (ไม่ใช่สร้าง “สหภาพคนทำงาน”)

การทำความเข้าใจกับกระแสสังคม ฐานเสียงในกลุ่มและชนชั้นต่างๆ ของสังคม จะช่วยกำจัดการถูกครอบงำโดย “ทฤษฎีสมคบคิด” เกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

สภาวะแปลกแยก กับการสร้างภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์  https://bit.ly/3B3mwOk

นักเคลื่อนไหวควรปฏิเสธการถูกครอบงำโดย “ทฤษฎีสมคบคิด”   https://bit.ly/385NoRk

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

ข้อเสนอสำหรับการต่อสู้ http://bit.ly/2Y37gQ5  

ทำไมนักมาร์คซิสต์ต้องสร้างพรรค? http://bit.ly/365296t  

สหภาพแรงงานใช้แทนพรรคไม่ได้ https://bit.ly/2V2LBcJ

นักเคลื่อนไหวควรปฏิเสธการถูกครอบงำโดย “ทฤษฎีสมคบคิด”

เมื่อสามปีก่อนมีบทความในบีบีซีภาษาไทยที่อธิบายว่า “นักจิตวิทยาให้คำอธิบายเรื่องความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ว่า ทฤษฎีสมคบคิดเป็นวิธีการหนึ่งเพื่อพยายามหลีกหนีความจริงที่รับฟังได้ยาก ของคนกลุ่มดังกล่าว

ในแง่สำคัญ การที่คนไทยจำนวนมากเชื่อใน “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือ “นิยายจอมปลอม” ก็เพราะสังคมเราตกอยู่ภายใต้เผด็จการประยุทธ์ หรือที่หลายคนเรียกว่า “สังคมใต้กะลา” คือในสังคมไทยปัจจุบัน ผู้นำรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมักโกหกเป็นประจำ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตนเองและให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมชั่วร้ายของตนเอง ดังนั้นจึงเกิดแนวโน้มว่าประชาชนจะไม่เชื่อคำพูดหรือแถลงการณ์ใดๆ ของรัฐ และพยายามแสวงหา “ความจริงอื่น” แต่ปัญหาคือ ถ้า ”ความจริงอื่น” ที่คนหันไปเชื่อเป็นการโกหกอีกชนิดหนึ่ง สังคมจะจมอยู่ในความงมงาย ซึ่งความงมงายมักนำไปสู่ความอำพาตในการต่อสู้

วัคซีนโควิด

ตัวอย่างแรกของ “ทฤษฏีสมคบคิด” ที่จะยกมาพิจารณาคือเรื่องวัคซีนโควิด แน่นอนรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนอย่างเป็นระบบ สาเหตุมาจากการที่รัฐบาลของประยุทธ์ไม่ให้ความสำคัญกับการปกป้องประชาชน มัวแต่กอบโกยผลประโยชน์ และเต็มไปด้วยคนที่มีความคิดล้าหลังคับแคบ ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตจริงๆ ได้ เพราะจมอยู่ในความคิดอวดเก่งว่า “ทหาร รถถัง และปืน” สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้และประชาชนธรรมดา “โง่” สิ่งนี้นำไปสู่การสั่งจองวัคซีนล้าช้า การไม่สั่งวัคซีนจากหลายๆ แห่งตั้งแต่แรก และมัวแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างความชอบธรรมในเรื่องวัคซีนให้กับราชวงศ์และทหาร สังคมไทยจึงขาดแคลนวัคซีนอย่างที่เห็นอยู่

อีกปัญหาหนึ่งคือการที่เผด็จการทหารไม่มีความคิดแบบ “รัฐสวัสดิการ” ซึ่งทำให้ผู้บริหารไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของการปกป้องผู้สูงอายุและคนที่มีโรคประจำตัวก่อนอื่น และสังคมก็ขาดหมอชุมชนและสถาบันในชุมชนที่จะฉีดวัคซีนให้พลเมืองอย่างเป็นระบบ มันนำไปสู่กันลัดคิวของคนมีเส้น และการแตกกระจายของสำนักงานที่จะนำเข้าวัคซีนจนวุ่นวายไปหมด

แต่จากปัญหาอันใหญ่หลวงเหล่านี้และการโกหกของผู้นำประเทศ ก็เกิด “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ และนำไปสู่การมองว่าวัคซีนซิโนแวค ของจีนเป็นวัคซีน “อันตราย” และขาดประสิทธิภาพ มีการพูดถึง แอสตร้าเซนเนก้า ในทำนองคล้ายๆ กัน และหลายคนก็หันไปชื่นชม ไฟเซอร์

ในความจริงถ้าดูข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าไว้ใจขององค์กรอนามัยโลก (WHO) จะพบว่าทั้งสามวัคซีนมีประสิทธิภาพพอๆ กัน และอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ โดยเฉพาะในการปกป้องคนจากการมีอาการรุนแรงหรือการเสียชีวิต และในเรื่องผลข้างเคียง ทั้งสามวัคซีนมีผลข้างเคียง ที่ไม่ค่อยพูดกันในสังคมไทยคือผลข้างเคียงต่อหัวใจของวัคซีนไฟเซอร์ในชายหนุ่ม

แต่ในเรื่องผลข้างเคียง ถ้าพูดถึงความเสี่ยง ต้องยอมรับว่าต่ำมากถ้าพิจารณาประชาชนเป็นล้านๆ ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วในหลายประเทศ และถ้าระบบสาธารณสุขพยายามลดความเสี่ยงโดยใช้วัคซีนชนิดที่แตกต่างกันกับคนกลุ่มต่างๆ ก็สามารถลดความเสี่ยงได้อีก แต่พวกที่เชื่อ “ทฤษฎีสมคบคิด” ไม่สนใจที่จะแสวงหาข้อมูลวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถวิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ได้ตรงจุด ซึ่งทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนแอกว่าที่ควร

นอกจากนี้ไฟเซอร์เป็นวัคซีนราคาแพงเพราะบริษัทต้องการกอบโกยกำไรสูงสุด และวัคซีนต้องเก็บไว้ในตู้แช่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ซึ่งต่างจาก ซิโนแวคกับ แอสตร้าเซนเนก้า ในแง่ราคาซิโนแวคก็แพง แต่แอสตร้าเซนเนก้าตั้งใจผลิตในราคาที่ไม่แสวงหากำไร

ในอนาคต ขณะที่ไวรัสโควิดกำลังแปรพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จะต้องมีการสร้างวัคซีนใหม่ๆ เรื่อย ๆ และถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย การเข้าใจวิทยาศาสตร์และการเสนอรูปแบบวิธีจัดการบริหารสังคมที่ไม่ใช่รูปแบบของทหารเผด็จการจะเป็นเรื่องสำคัญมาก

วชิราลงกรณ์และอำนาจกษัตริย์

ตัวอย่างที่สองของ “ทฤษฏีสมคบคิด” ที่จะยกมาพิจารณา คือเรื่องอำนาจทางการเมืองของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ความคิดนี้ จริงๆ แล้วถูกสร้างขึ้นมาโดยเผด็จการทหารและนายทุน เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเอง เพราะถ้ามีละครกราบไหว้และคลานเข้าไปหากษัตริย์ เผด็จการทหารสามารถอ้างได้ว่าทุกอย่างที่เขาทำ ทำไปภายใต้คำสั่งของกษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกันเผด็จการทหารและนายทุนจะยืนยันเสมอว่า “กษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” ซึ่งทำให้คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้

มันเป็นโศกนาฏกรรมที่นักเคลื่อนไหวจำนวนมากหลงเชื่อว่าวชิราลงกรณ์มีอำนาจทางการเมืองล้นฟ้า และสั่งการเผด็จการประยุทธ์ในทุกเรื่องได้ ความเชื่อแบบ “ทฤษฎีสมคบคิด” อันนี้ไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน เช่นในเรื่องการ “โอนอำนาจ” ระหว่างภูมิพลกับวชิราลงกรณ์เกิดได้อย่างไร โดยเฉพาะในสามสี่ปีก่อนที่ภูมิพลจะเสียชีวิต หรือในเรื่องที่ไม่มีตัวอย่างของเผด็จการที่ไหนที่สั่งการมาจากต่างประเทศในขณะที่ใช้เวลาอยู่นอกประเทศนาน หรือในเรื่องความปัญญาอ่อนของวชิราลงกรณ์ผู้ที่ไม่สนใจปัญหาสังคมและการเมืองเลย ฯลฯ

“ทฤษฏีสมคบคิด” เรื่องกษัตริย์วชิราลงกรณ์นำไปสู่เรื่องตลกร้ายเมื่อเดือนที่แล้วที่มีคนเชื่อแบบผิดๆ กันว่าวชิราลงกรณ์เสียชีวิตไปแล้ว เสียดายที่ไม่จริง แต่มันไม่เคยมีหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนี้ และถ้าคนเชื่อว่ามีการโอนอำนาจระหว่างภูมิพลที่หมดสภาพในปีท้ายๆ ของชีวิตสู่วชิราลงกรณ์ มันก็มีการโอนอำนาจต่อได้

แต่ที่เป็นโศกนาฏกรรมแท้คือการที่ “ทฤษฎีสมคบคิด” เรื่องอำนาจกษัตริย์ ในรูปธรรมทำให้ผู้มีอำนาจตัวจริง คือเผด็จการทหารของประยุทธ์ สามารถลอยนวลได้ เพราะมีการมองว่าไม่ใช่ปัญหาหลัก ถึงกับมีคนดังหลายคนเสนอในทำนองว่า “ถ้าไล่แก๊งประยุทธ์ได้ กษัตริย์ก็จะยังอยู่” ซึ่งหมายความว่าการไล่เผด็จการทหารไม่มีประโยชน์ และข้อสรุป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คือไม่ต้องให้ความสำคัญกับการต่อสู้ ยุทธศาสตร์แห่งการต่อสู้ หรือการจัดตั้งขบวนการต่อสู้ แค่อยู่บ้านนินทากษัตริย์และราชวงศ์ในอินเตอร์เน็ด หรือ “ตลาด Royalist Marketplace” ก็พอ และในความจริงไม่มีผู้มีอิทธิพลใดๆ ในสังคมนินทาราชวงศ์นี้ ที่สนใจหาทางเอาชนะเผด็จการประยุทธ์อย่างเป็นรูปธรรมเลย เวลามีคนเสนอว่าต้องสร้างกระแสนัดหยุดงานเพื่อไล่รัฐบาล อย่างที่เขาทำกันที่พม่าหรือที่อื่น ก็จะออกมาพูดว่าไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีการเสนอทางเลือกอื่นที่เป็นรูปธรรมเลย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก เพราะขบวนการเคลื่อนไหวที่นำโดยคนหนุ่มสาวเมื่อปีที่แล้ว อ่อนตัวลงและพ่ายแพ้อำนาจเผด็จการในขณะนี้ และผลที่เห็นชัดเจนคือแกนนำผู้กล้าหาญจำนวนมากติดคดีร้ายแรง 112 ซึ่งในที่สุดจะจบลงด้วยการติดคุกถ้าไม่มีการฟื้นตัวของการต่อสู้ในอนาคต

สร้างพรรค

ในยุคนี้มีคนหนุ่มสาวหลายคนที่สนใจเรื่องแนวสังคมนิยมมาร์คซิสต์ มันถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะต้องรวมตัวกันสร้างหน่ออ่อนของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมอย่างจริงจัง เพื่อที่จะให้มีการวิเคราะห์ลักษณะสังคมปัจจุบันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ แทนความเชื่อใน “ทฤษฎีสมคบคิด”  และเพื่อนำเสนอรูปธรรมทางออกในการต่อสู้กับเผด็จการ ที่เรียนบทเรียนจากอดีต และสามารถเดินหน้าสู่ชัยชนะได้

อ่านเพิ่ม

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el  

ว่าด้วยวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/31ernxt

คนหนุ่มสาวควรอัดฉีดความกล้าหาญสู่ขบวนการแรงงานและผู้รักประชาธิปไตยทั่วไป    https://bit.ly/3jBKXKV

ทำไมนักมาร์คซิสต์ต้องสร้างพรรค? http://bit.ly/365296t

ใจ อึ๊งภากรณ์

สภาวะแปลกแยก กับการสร้างภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์

ในบทความที่อื่น ผมอธิบายว่าทำไมระบบศักดินาหมดสิ้นไปตั้งแต่การปฏิวัติระบบโดยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจและการสร้างชาติเป็นครั้งแรกภายใต้กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธราชย์ โดยที่รัฐไทยใหม่กลายเป็นรัฐทุนนิยม และภายในเวลาแค่ 60 ปีรูปแบบรัฐอันนี้ถูกปฏิวัติอีกทีโดยคณะราษฏร์ในปี ๒๔๗๕

หลัง ๒๔๗๕ สถาบันกษัตริย์มีบทบาทน้อยมากในสังคมไทย จนถึงการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังจากนั้นสฤษดิ์ ผู้นำทหารและพลเรือนที่ตามมา และพรรคพวกที่นิยมเจ้า ก็ค่อยๆเชิดชูกษัตริย์มากขึ้นทุกวัน จนมีการสร้างภาพว่าเป็นเสมือนเทวดา

ถ้าเราศึกษาบทบาทสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษ สเปน สวีเดน ญี่ปุ่น หรือที่อื่นๆ เราจะเห็นว่าในระบบทุนนิยมที่มีนายทุนเป็นใหญ่ สถาบันกษัตริย์มีบทบาทในลักษณะลัทธิการเมืองอนุรักษ์นิยมที่รณรงค์ให้ประชาชนมองว่ามนุษย์บางคน “เกิดสูง” และคนส่วนใหญ่ “เกิดในฐานะต่ำ” คนที่เกิดสูงมีอภิสิทธิ์ที่จะกอบโกยทรัพย์สิน และมี “ความสามารถ” ในการปกครอง ส่วนพลเมืองส่วนใหญ่ควรจะเจียมตัวกับสภาพที่ด้อยกว่าและเชื่อว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะปกครองตนเอง นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์ถูกเสนอว่าเป็นตัวแทนของ “ชาติ” และพลเมืองทุกคนมีผลประโยชน์ร่วมกัน

ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะผลประโยชน์นายทุนหรือคนรวย ตรงกันข้ามกับผลประโยชน์พลเมืองส่วนใหญ่เสมอ ตัวอย่างที่ดีคือนโยบายรัดเข็มขัดที่รัฐบาลมักอ้างว่าทำไป “เพื่อชาติ” แต่จริงๆ เป็นการรัดเข็มขัดคนส่วนใหญ่เพื่อเพิ่มกำไรและผลประโยชน์ให้กับนายทุน

นักวิชาการส่วนใหญ่ในไทย มักมองข้ามบทบาทหน้าที่สำคัญอันนี้ของสถาบันกษัตริย์ในโลกทุนนิยมปัจจุบัน เพราะเชื่อนิยายว่า “สังคมไทยไม่เหมือนที่อื่น”

แต่การนำกษัตริย์กลับมาให้มีบทบาทสำคัญในไทยตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ มีวัตถุประสงค์เดียวกับที่อื่น คือวัตถุประสงค์ในการรณรงค์แนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างที่ได้กล่าวถึงข้างบน ในช่วงแรกๆ กษัตริย์มีความสำคัญในการเป็นสัญลักษณ์ที่ต่อต้านแนวคิดคอมมิวนิสต์ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ต่อมากษัตริย์มีความสำคัญในการให้ความชอบธรรมกับการปกครองของนายทุน เช่นในสมัยทักษิณ หรือการปกครองแบบเผด็จการทหาร ทหารมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะอ้างว่าตนปกป้องกษัตริย์เวลายึดอำนาจ เพื่อปกปิดว่าจริงๆ แล้ว เขาทำรัฐประหารเพื่อผลประโยขน์ของตนเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลพลเรือน ที่สามารถอ้างความชอบธรรมจากนโยบายต่างๆ ที่เสนอกับประชาชนในการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย ทหารไม่มีความชอบธรรมจากระบบประชาธิปไตยเลยจึงต้องอ้างกษัตริย์

จะเห็นได้ว่าการเชิดชูกษัตริย์ให้เหมือนเทวดา ไม่ได้แปลว่ากษัตริย์มีอำนาจจริง มันเป็นเพียงการเชิดชูลัทธิกษัตริย์เพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำในสังคม

พูดง่ายๆ สถาบันกษัตริย์ไทยไม่เคยมีอำนาจหลัง ๒๔๗๕ แต่มีบทบาทหน้าที่ในทางลัทธิความคิด เพื่อประโยชน์ของนายทุนและทหาร

การสร้างภาพลวงตาว่ากษัตริย์เป็นเทวดาที่มีอำนาจล้นฟ้า (และมันเป็นภาพลวงตาเพราะเราก็รู้กันว่าเทวดาไม่มีจริง) เป็นไปเพื่อทำให้พลเมืองเกรงกลัวและไม่กล้าท้าทายระบบชนชั้นที่ดำรงอยู่

ดังนั้นเวลาพวกผู้นำทหารปัจจุบันหมอบคลานต่อวชิราลงกรณ์ มันเป็นการเล่นละครเพื่อหลอกประชาชนว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจจริงกำลังหมอบคลานต่อผู้ที่ไม่มีอำนาจเลย (และวชิราลงกรณ์ไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำอีกด้วย ลองอ่านประวัติการศึกษาก็จะเห็นภาพ)

แล้วทำไมประชาชนจำนวนมากถึงเชื่อนิยายของชนชั้นปกครอง? ทำไมเขาครองใจคนจำนวนมากได้?

จริงๆ แล้วมันไม่ต่างจากคำถามว่าทำไมคนถึงเชื่อกันว่า “ตลาด” มีพลังหรือชีวิตของมันเองที่เราต้องจำนนต่อ ทั้งๆ ที่ตลาดเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น? หรือความเชื่อว่า “เงิน” มีค่าในตัวมันเองทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ตัวแทนของมูลค่าจริงๆ ของสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากการทำงาน

มันเหมือนกับปัญหาว่าทำไมคนถึงลืมว่ามนุษย์สร้างพระพุทธรูปด้วยมือของตนเอง เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาและคำสอน แต่คนกลับหันมาเชื่อว่าพระพุทธรูปมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์วิเศษ?

ในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” มาร์คซ์เสนอว่าการขโมยผลงานของกรรมาชีพ โดยนายทุน ในระบบการผลิต ทำให้กรรมาชีพขาดความเป็นมนุษย์แท้ มีผลทำให้มนุษย์มองโลกในทางกลับหัวกลับหางคือ เงินกลายเป็นของจริง ในขณะที่การขูดรีดหายไปกับตา และมูลค่าหรือประโยชน์ในการใช้สอยกลายเป็นเพียงเรื่องข้างเคียง เพราะมูลค่าแลกเปลี่ยนถูกทำให้ดูสำคัญกว่า

นักมาร์คซิสต์ จอร์ช ลูคักส์ และ คาร์ล มาร์คซ์ อธิบายว่ามนุษย์เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง เชื่อแบบกลับหัวกลับหาง ในกรณีที่มนุษย์ขาดความมั่นใจ มันไม่ใช่เรื่องความโง่หรือการมีหรือไม่มีการศึกษาแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องผลของอำนาจต่อความมั่นใจของเราต่างหาก อำนาจการกดขี่ขูดรีดของนายทุน เช่นการที่ทุกวันเราต้องยอมจำนนไปทำงานให้นายทุน หรือต้องก้มหัวให้อำนาจรัฐ มีผลในการกล่อมเกลาให้เรามองว่าตัวเราเองไร้ค่ากว่าพวก “ผู้ใหญ่” หรือนายทุน และชวนให้เรามองว่าเราไร้ความสามารถ เราเลยเชื่อพวกนั้นง่ายขึ้น ดังนั้นชนชั้นปกครองสามารถสร้างภาพลวงตา กลับหัวกลับหาง เรื่องอำนาจแท้ในสังคมไทยได้ เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าอำนาจจริงอยู่ที่ทหารและนักธุรกิจ และภาพลวงตานี้ผลิตซ้ำด้วยกฏหมายเผด็จการ 112 ที่ปิดปากเราด้วย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความกลัวเพื่อทำลายความมั่นใจของเราอีก

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “สภาวะแปลกแยก” (Alienation) คือแปลกแยกจากความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีของเราทุกคน และแปลกแยกจากความจริง

แต่ ลูคักส์ เสนอว่าต่อว่าเมื่อเรารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อออกมาต่อสู้กับเผด็จการ ความกล้าในการคิดเองและวิเคราะห์โลกเองก็จะเกิดขึ้น และเราจะเลิกเชื่อนิยายงมงายของชนชั้นปกครอง เราเริ่มเห็นสิ่งนี้หลังจากที่มีการประท้วงที่นำโดยคนหนุ่มสาวในหกเดือนที่ผ่านมา แต่พวกเราต้องเดินทางให้สุดทาง คือเปิดตาในเรื่องนิยายภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์

การเดินให้สุดทางในแง่ความคิดเป็นเรื่องสำคัญในรูปธรรม เพราะมันจะทำให้เราชัดเจนว่าศัตรูหลักของเราตอนนี้คือเผด็จการทหาร กษัตริย์เพียงแต่เป็นศัตรูของเราในลักษณะความคิด ทหารเป็นศัตรูหลักเพราะคุมอำนาจรัฐ

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

การเปลี่ยนแปลงจากศักดินาสู่ทุนนิยมในไทย https://bit.ly/2ry7BvZ

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

บทบาทแท้ของนายภูมิพล และสถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง https://bit.ly/2BLf2Gy

ไทยควรเป็นสาธารณรัฐ https://bit.ly/30Ma32f

สัญญาณเตือนภัย

ขบวนการประชาธิปไตยที่นำโดยคนหนุ่มสาวได้สร้างความตื่นเต้นและความหวังล้นฟ้าสำหรับคนไทยเป็นล้านๆ และคนต่างประเทศที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคมของตนเองทั่วโลก

แต่สัญญาณเตือนภัยเริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ว่าจะมีการลดเพดานและจะจบลงด้วยการประนีประนอมแบบแย่ๆ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเพราะนักเคลื่อนไหวและแกนนำต้องการให้จบแบบนั้น แต่จะเกิดขึ้นถ้าไม่มีการทบทวนและพัฒนาการต่อสู้เพื่อให้รัฐบาลเผด็จการบริหารประเทศไม่ได้ เพราะการชุมนุมไปเรื่อยๆ ในรูปแบบเดิมๆ และรูปแบบเชิงสัญลักษณ์ จะเอาชนะทหารไม่ได้

ภัยหลักตอนนี้คือการยอมปล่อยให้รัฐสภาจัดการเรื่องการปฏิรูปสังคม เพราะถ้าเราไม่ระวังรัฐสภาที่คุมโดยทหารจะยอมแค่ให้แก้บางมาตราในรัฐธรรมนูญเท่านั้น จะไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ประยุทธ์จะไม่ลาออก และจะไม่มีการปฏิรูปกษัตริย์

ขบวนการประชาธิปไตยปัจจุบันที่นำโดยคนหนุ่มสาวควรภูมิใจในผลงานในสามเดือนที่ผ่านมาเพราะมีการชุมนุมใหญ่ของคนจำนวนมากเป็นประวัติศาสตร์ มีการพัฒนาข้อเรียกร้อง มีการแสดงความกล้าหาญที่จะวิจารณ์กษัตริย์ และมีการดึงเรื่องสิทธิทางเพศ และสิทธิของชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานีเข้ามาเพื่อขยายแนวร่วม สิ่งเหล่านี้ขบวนการเสื้อแดงในอดีตไม่สามารถทำได้

และทั้งๆ ที่ขบวนการนี้นำโดยคนหนุ่มสาว ข้อเรียกร้องหลักของขบวนการเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวเท่านั้น ทุกคนเดือดร้อนและคนจำนวนมากต้องการให้สังคมเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นการประนีประนอมหรือลดเพดานจะไม่มีวันแก้ปัญหาของสังคมได้ และไม่มีวันทำให้คนส่วนใหญ่พอใจ

มันถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจังเรื่องยุทธ์วิธีที่จะพัฒนาการต่อสู้ให้ได้ชัยชนะ

ปัญหาอันหนึ่งคือการใช้วิธี “ทุกคนเป็นแกนนำ” สามารถช่วยให้การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่แกนนำหลายคนถูกจับก็จริง แต่ไม่นำไปสู่การสร้างโครงสร้างภายในขบวนการที่จะกำหนดแนวทางด้วยวิธีประชาธิปไตยได้ แน่นอนแกนนำไม่ได้หวังเป็นเผด็จการ แต่ถ้าไม่มีโครงสร้างเพื่อให้มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ แกนนำจะเป็นผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยปริยาย และจะไม่สามารถดึงคนรากหญ้ามาช่วยตัดสินแนวทางได้ นี่คือประสบการณ์จากขบวนการเคลื่อนไหว Podemos ที่อ้างว่าไม่มีแกนนำในสเปน

ขบวนการที่ไทยได้รับความคิดและความสมานฉันท์จากขบวนการฮ่องกง ซึ่งน่าจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องความสำคัญของการนัดหยุดงาน ซึ่งเป็นข้อสรุปสำคัญของหลายส่วนที่ฮ่องกง

ทุกวันนี้มีนักสหภาพแรงงานเข้าร่วมชุมนุมกับคนหนุ่มสาว และกระแสความชื่นชมในขบวนการประชาธิปไตยยังสูงอยู่ ดังนั้นคนหนุ่มสาวและนักสหภาพแรงงานก้าวหน้าควรลงมือเดินเข้าไปหาคนทำงานในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน สำนักงาน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และสถานที่ทำงานอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อพูดคุยกับคนทำงานในเรื่องการใช้พลังทางเศรษฐกิจที่มาจากการนัดหยุดงานเพื่อหนุนการชุมนุมของคนหนุ่มสาว

แน่นอน จะมีคนที่ออกมาพูดว่าการนัดหยุดงาน “ทำไม่ได้” หรือ “คนงานไทยไม่มีวันนัดหยุดงาน” หรือ “คนงานกำลังจะเอาตัวรอดไม่ได้” แต่พวกนี้จะเป็นคนที่ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และปิดหูปิดตาถึงการพัฒนาทางความคิดที่เกิดขึ้นในรอบสามสี่เดือนที่ผ่านมาในไทย ยิ่งกว่านั้นผู้เขียนขอท้าคนที่พูดแบบนี้ว่า “ถ้าไม่เห็นด้วยกับการพยายามสร้างกระแสการนัดหยุดงาน ท่านมีข้อเสนออื่นอะไรที่เป็นรูปธรรมที่จะทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้?” “ท่านมีข้อเสนออะไรที่จะนำไปสู่ชัยชนะของขบวนการ?”

ใจ อึ๊งภากรณ์

ผู้ประท้วงไม่ควรฝากความหวังไว้ที่รัฐสภา

ถ้าเป้าหมายในใจของผู้ประท้วงคือแค่การกดดันให้รัฐสภาพิจารณาสามข้อเรียกร้องหลักของคณะราษฏร หรือส่งลูกและฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย เรื่องจะจบลงด้วยการประนีประนอมที่แย่ที่สุด

ในเมื่อผู้รักประชาธิปไตยออกมาแสดงพลังเป็นแสนๆ และฝ่าการปราบปรามของตำรวจ มันจะเป็นการพลาดโอกาสที่น่าเศร้าใจ

อย่าให้ใครมาบอกเราว่า “เราทำได้แค่นี้” หรือ “ต้องใจเย็นปฏิรูปไปทีละก้าว” เพราะการปฏิรูปไปทีละก้าวอาจทำให้มีการถอยหลังทีละก้าวได้ง่าย

เราพอจะเดากันได้ว่าถ้ามีการพิจารณาสามข้อเรียกร้องในสภา มีแค่ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับรัฐรรมนูญที่พวกนั้นจะยอมพิจารณา และคงจะเป็นการ “แก้” รัฐธรรมนูญในบางจุดเท่านั้น ไม่ใช่การร่างใหม่โดยประชาชนรากหญ้า

ในบทความก่อนหน้านี้ผมพยายามเสนอว่าประยุทธ์คงไม่ลาออกง่ายๆ เพราะพวกโจรเผด็จการมันลงทุนไว้เยอะ เช่นเรื่องการแต่งตั้งส.ว.และโกงการเลือกตั้งฯลฯ ถ้าประยุทธ์จะลาออกมันจะเป็นการยอมแพ้โดยสิ้นเชิง และเสียหน้ามากมาย ถ้าจะทำให้เป็นจริงต้องมีการยกระดับการต่อสู้ไปสู่พลังเศรษฐกิจผ่านการนัดหยุดงานเพื่อทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ หรืออีกทางหนึ่งคือการก่อจลาจลซึ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเพราะจะมีการเสียเลือดเนื้อมากมาย

ชลบุรี

การนัดหยุดงานเป็นไปได้เพราะนักสหภาพแรงงานบางส่วนออกมาร่วมการประท้วงแล้วที่รังสิตกับชลบุรี การนัดหยุดงานเป็นไปได้เพราะนักเรียนนักศึกษาที่นำการประท้วงได้รับความชื่นชมในสายตาประชาชนเป็นล้านๆ แต่ถ้าจะให้เกิดขึ้น นักเรียนนักศึกษาจะต้องจับมือกับนักสหภาพแรงงานที่ก้าวหน้า และวางแผนเพื่อไปเยี่ยมพูดคุยถกเถียงกับคนทำงานตามสถานที่ทำงานหลายๆ แห่ง และไม่ใช่แค่โรงงาน ควรคุยกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย พนักงานในสำนักงาน และคนที่ทำงานในระบบคมนาคม สรุปแล้วมันต้องมีการลงทุนลงแรงในการทำให้การนัดหยุดงานเกิดขึ้นจริง พลังที่จะล้มเผด็จการไม่ได้เกิดขึ้นเองแบบง่ายๆ

ส่วนเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สำหรับพวกเรามันเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลมากมาย และหลายคนมองว่าเป็นข้อเสนออ่อนๆ ที่ไม่ใช่การล้มเจ้า แต่สำหรับทหารมันเป็นเรื่องใหญ่มากและยอมยาก เพราะทหารใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือมา 50 ปีกว่าแล้ว สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่ทหารเชิดชูเพื่อใช้ในการให้ความชอบธรรมกับระบบเผด็จการ การสร้างกษัตรย์ให้ดูเหมือนมีอำนาจดุจพระเจ้า เป็นวิธีสร้างความกลัวในหมู่ประชาชน ดังนั้นถ้าเขายอมถอยในเรื่องนี้ ทหารจะหมดความชอบธรรมในการแทรกแซงการเมือง ด้วยเหตุนี้เราต้องย้อนกลับมาดูวิธีที่จะกดดันแก๊งประยุทธ์ให้ยอมแพ้ อย่างที่เขียนไว้ข้างบน

การสร้างภาพของทหารที่มีอำนาจเหนือวชิราลงกรณ์

กษัตรย์ไทยไม่มีอำนาจในตัวเอง ทั้ง ร.9 และ ร.10 เป็นคนอ่อนแอทางการเมือง ร.10 อาจทำตัวเหมือนนักเลงกระจอกในเรื่องชีวิตส่วนตัวของเขา แต่เขาสั่งการทหารไม่ได้ สาเหตุที่คนเชื่ออย่างผิดๆ ว่ากษัตริย์มีอำนาจ ก็เพราะทหารและชนชั้นนำไทย รวมถึงทักษิณด้วย ได้เชิดชูกษัตริย์มานานและสร้างขึ้นมาให้ดูเหมือนมีอำนาจล้นฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้เรากลัวที่จะตั้งคำถามกับระบบชนชั้นที่กดทับเรา และยอมจำนนต่อแนวคิดว่า “บางคนเกิดสูง บางคนเกิดต่ำ” สาเหตุที่คนจำนวนมากยอมรับความคิดแบบนี้ไม่ใช่เพราะความโง่ แต่เป็นเพราะขาดความมั่นใจที่จะคิดทวนกระแสของชนชั้นปกครอง และการขาดความมั่นใจแบบนี้มักจะหายไปเมื่อมีการเคลื่อนไหวประท้วงของมวลชน นักมาร์คซิสต์เรียกการมองปรากฏการณ์ในโลกแบบ “กลับหัวกลับหาง” ว่าเป็นอาการของสภาพแปลกแยก Alienation และเราแก้ได้ด้วยการต่อสู้ นี่คือสิ่งที่เราเห็นกับตาในไทย ตอนนี้ร.10 ไมใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่คนที่ตาสว่างควรจะตาสว่างเพิ่มขึ้นและเข้าใจว่าศัตรูหลักของเราคือทหารกับพรรคพวกที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ขึ้นมาแต่แรก

ถ้าจะขอให้จบที่รุ่นนี้ ต้องมีการยกระดับการต่อสู้ ไม่ใช่ส่งลูกให้นักการเมืองในรัฐสภา

ใจ อึ๊งภากรณ์

เดินหน้าต่อไปถึงเส้นชัย!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

ต้องยอมรับครับว่าเมื่อเห็นภาพนักศึกษาและประชาชนที่ออกมาประท้วงเผด็จการวันนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมน้ำตาไหลด้วยความดีใจ พวกเรารอวันนี้มานาน

FB_IMG_1597581477208

ผมไม่อยากจะ “แนะนำ” อะไรมากกับ “คณะประชาชนปลดแอก” เพราะเขาพิสูจน์ไปแล้วว่าเขาจัดการประท้วงที่ประสบความสำเร็จสุดยอด แต่ผมมีความหวังว่าการต่อสู้จะไม่จบแค่นี้ ผมหวังว่าจะมีการขยายมวลชน โดยเฉพาะในหมู่นักสหภาพแรงงาน และผมหวังว่าจะมีการชุมนุมอีก และถ้าเป็นไปได้มีการเดินออกจากสถานที่ทำงานด้วย และที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าคือผมหวังว่าจะมีการเรียกร้องขีดเส้นตายให้ยกเลิกทุกข้อหาที่รัฐไปยัดให้แกนนำขบวนการชุมนุมทุกคน

FB_IMG_1597582400786

ในความจริงเพื่อนๆทุกคนที่รักประชาธิปไตยคงทราบว่าเราหยุดตอนนี้ไม่ได้ และการต่อสู้วันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่งดงาม

FB_IMG_1597581301917

ในเรื่องการ “ปฏิรูป” สถาบันกษัตริย์ ผมเข้าใจว่าทำไมนักเคลื่อนไหวที่กล้าพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะจะอ้างตลอดว่า “ไม่ได้หวังจะโค่นล้มสถาบัน” แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การพูดแบบนี้ถือว่ายังอยู่ในกรอบที่เผด็จการทหารและพวกอนุรักษ์นิยมวางไว้และใช้เพื่อกดขี่คนในสังคม ถ้าเราจะมีเสรีภาพและประชาธิปไตยแท้จริงเราต้องสามารถเสนอการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์โดยไม่ต้องมาแก้ตัวแบบนี้ ยิ่งกว่านั้นเราต้องสามารถเสนอให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ไปเลยถ้าเรามีความคิดแบบนั้น

เพื่อนๆ ผู้รักประชาธิปไตยครับ กรุณาอย่าหยุดจนกว่าเผด็จการทหารหมดไปจากสังคมไทยและเรามีเสรีภาพในการแสดงออกเต็มที่

และเพื่อนๆ ที่อยากไปไกลกว่านั้น คืออยากสร้างสังคมที่เท่าเทียมและไร้ชนชั้น กรุณาอย่าหยุดจนกว่าเราจะสามารถสร้างสังคมนิยมในประเทศไทย

 

การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์เป็นก้าวสำคัญ แต่หยุดไม่ได้

ใจ อึ๊งภากรณ์

การชุมนุมใหญ่ที่ธรรมศาตร์ในวันที่ 10 สิงหาคม มีข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่สำคัญคือ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ได้ ยกเลิกการรวบทรัพย์สินภายใต้วชิราลงกรณ์และเพิ่มความโปร่งใสในเรื่องเงิน ลดงบประมาณที่จัดสรรให้กษัตริย์ ยกเลิก “ราชการในพระองค์” ยกเลิกอำนาจกษัตริย์ในการแสดงความเห็นทางการเมือง ยกเลิกการเชิดชูกษัตริย์เกินเหตุเพียงด้านเดียว ยกเลิกการที่กษัตริย์จะรับรองรัฐประหาร และเปิดกระบวนการที่จะสืบความจริงเกี่ยวกับผู้เห็นต่างที่ถูกอุ้มฆ่า

117361552_10158431778723965_6127601580717401228_o

ถือได้ว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในการสร้างพื้นที่ประชาธิปไตยในสังคมไทย และทุกคนที่รักเสรีภาพควรจะสนับสนุน

แต่ยังมีประเด็นสำคัญที่เราต้องพิจารณาในการต่อสู้ต่อไปคือ เราจะสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะกดดันรัฐบาลทหารให้ยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?

สิ่งแรกที่ต้องพูดคือการต่อสู้อยู่ในขั้นตอนริเริ่ม หยุดไม่ได้ ต้องขยายขบวนการเคลื่อนไหวไปสู่ประชาชนผู้ทำงานเป็นหมื่นเป็นแสน ซึ่งการก่อตั้ง “คณะประชาชนปลดแอก” เป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่จุดนี้ และแน่นอนมันไม่เกิดขึ้นเอง พวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนหรือทำงานที่ไหนต้องร่วมกันช่วยสร้าง

และที่สำคัญคือเราไม่ควรลดความสำคัญของข้อเรียกร้องให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน ให้ยุบสภา และเลิกคุกคามประชาชนผู้รักเสรีภาพ ซึ่งหมายความว่าเราต้องเคลื่อนไหวต่อเพื่อให้รัฐบาลเผด็จการลาออก

ทุกคนคงเข้าใจดีว่าการล้มเผด็จการไม่ใช่เรื่องเล็ก แค่การรณรงค์ให้ไม่รับปริญญา ซึ่งเป็นการประท้วงปัจเจกเชิญสัญลักษณ์ อาจช่วยในการรณรงค์หรือขยายจิตสำนึก แต่มันล้มเผด็จการไม่ได้

Lebanon-Beirut-August-8-2020-e1596964569861
เบรูต เลบานอน

ในขณะที่ผู้คนกำลังชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ เราเห็นรูปธรรมของม็อบที่ล้มรัฐบาลสำเร็จในเมืองเบรูต ประเทศเลบานอน มีผู้ชุมนุมออกมาเป็นแสนจากทุกส่วนของสังคม การประท้วงแบบนี้เคยเกิดที่ไทยในช่วง ๑๔ ตุลา และพฤษภา ๓๕ และเคยเกิดในประเทศอื่นๆ หลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เราต้องร่วมกันคิดว่าเราจะสร้างขบวนการอันยิ่งใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร และเราไม่ควรลืมว่าประชาชนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการรัฐสภาปัจจุบัน เพราะคนส่วนใหญ่ลงคะแนนเสียงต้านพรรคทหาร ดังนั้นมันมีกระแสที่จะช่วยเรา

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พลเมืองที่ออกมาประท้วงจะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน และคนจำนวนมากจะอยู่ในสภาพการพัฒนาความคิดความเข้าใจท่ามกลางการต่อสู้ และมันเป็นเรื่องธรรมดาที่องค์กรต่างๆ นักการเมือง นักเคลื่อนไหว และนักวิชาการ จะพยายามเสนอแนวคิดที่ตนเองมองว่ามีน้ำหนักมากที่สุด บางทีเพื่อเสริมการต่อสู้ บางทีเพื่อยับยั้งการต่อสู้ นั้นคือสาเหตุที่การตั้งพรรคฝ่ายซ้ายเป็นเรื่องสำคัญ

รัฐบาลเถื่อน

สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าพลเมืองที่ออกมาสู้ต้องเข้าใจคือเรื่องศูนย์กลางอำนาจ ในความเห็นผมสมาชิกของขบวนการประชาธิปไตยไม่ควรประเมินอำนาจของวชิราลงกรณ์สูงเกินไป เพราะอาจจะทำให้มีการเบี่ยงเบนเป้าหมายจากคณะทหารเผด็จการ และมันมีผลต่อยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเราใช้

ผมเขียนเรื่องข้อจำกัดของอำนาจกษัตริย์ไว้หลายที่ เช่น “การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล”  https://bit.ly/2XIe6el  และ“ว่าด้วยวชิราลงกรณ์” https://bit.ly/31ernxt

อีกเรื่องที่ผมคิดว่าทุกคนควรทำความเข้าใจ คือประเด็นว่าทำไมชนชั้นปกครองในหลายประเทศทั่วโลก นิยมให้คงไว้สถาบันกษัตริย์ เพราะในมุมมองผม การคงไว้สถาบัยกษัตริย์ในรูปแบบตะวันตกภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นผลเสียกับฝ่ายเรา เพราะเป็นเครื่องมือในการเสนอลัทธิอภิสิทธิ์ชนว่าคนเราเกิดสูงและเกิดต่ำและบางคนมีสิทธิ์จะเป็นผู้นำในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็นผู้ตาม มันออกแบบมาเพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำในสังคม ดังนั้นทุกคนที่รักสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมควรนิยมการยกเลิกระบบกษัตริย์เพื่อให้มีสาธารณรัฐ [ดู “ไทยควรเป็นสาธารณรัฐ” https://bit.ly/30Ma32f ]

แต่ระบบสาธารณรัฐภายใต้ทุนนิยม ไม่พอที่จะนำไปสู่เสรีภาพและความเท่าเทียมอย่างแท้จริง แค่ดูสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส หรือเวียดนาม ก็จะเห็นภาพชัดเจน พูดง่ายๆ เราต้องคิดต่อไปถึงเรื่อง “รัฐ” ภายใต้ระบบทุนนิยม และความสำคัญในการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อล้มรัฐของนายทุนผู้เป็นชนชั้นปกครองในโลกสมัยใหม่ [ดู “รัฐกับการปฏิวัติ” https://bit.ly/2PEQK4K ]

เมื่อเราคิดถึงเรื่อง “รัฐ” และ “ชนชั้น” เราจะเข้าใจว่า “ข้าราชการ” ชั้นผู้ใหญ่ ศาล และ ตำรวจ ไม่เคยรับใช้ประชาชนในโลกสมัยใหม่ การคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นโดยไม่ล้มรัฐของนายทุนและสร้างรัฐใหม่ของประชาชนผู้ทำงานเป็นการเพ้อฝัน และแน่นอนเสรีภาพและประชาธิปไตยสมบูรณ์ต้องอาศัยกระบวนการปฏิวัติด้วยพลังมวลชน แทนที่จะไปฝากความหวังไว้ที่รัฐสภา

 

ทนาย อานนท์ นำพา พูดในสิ่งที่ทุกคนควรพูด แต่เผด็จการทหารเป็นศัตรูหลัก

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทนายอานนท์ นำพา ยืนขึ้นพูดในสิ่งที่ทุกคนควรจะพูดและนำมาถกเถียงกันในสังคมไทย และวิธีที่ดีที่สุดที่จะแสดงความสมานฉันท์กับคุณอานนท์คือพวกเราทุกคนต้องร่วมกันพูดทั่วสังคม เพราะถ้าคนออกมาพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะเป็นพันๆ แสนๆ การที่รัฐจะเล่นงานคุณอานนท์จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

Untitled-4

ผมเข้าใจว่าทำไมทนายอานนท์พูดในลักษณะที่ “ปกป้องสถาบันกษัตริย์” เพราะเขาอยู่ในไทย แต่ผมเดาว่ามันจะไม่ช่วยอะไร เพราะฝ่ายทหารและพวกคลั่งเจ้า และแม้แต่พวกเราเอง ก็จะตีความไปอีกแบบหนึ่งอยู่ดี

แต่สิ่งที่ทนายอานนท์ควรหลีกเลี่ยงในอนาคตคือการใช้คำเหยียดเชื้อชาติอย่าง “ฝรั่งมังค่า” เพื่อ “พิสูจน์” ว่าตนเองรักชาติ ในยุคนี้ที่มีการประท้วงการเหยียดสีผิว Black Lives Matter คนที่รักเสรีภาพควรจะมีจิตสำนึกในเรื่องนี้

ตราบใดที่คนไทยไม่เคารพคนที่มีสีผิวหรือเชื้อชาติอื่น คนไทยจะไม่สามารถปลดแอกตนเองจากเผด็จการที่ครองอำนาจและใช้ลัทธิชาตินิยมกับกษัตริย์นิยมเพื่อกดขี่เรา

ผมสนับสนุนเสรีภาพในการพูดของอานนท์ นำพา โดยไม่มีเงื่อนไข และผมคารวะความกล้าหาญของเขาในการออกมาพูดเรื่องกษัตริย์ และในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

2019-05-04T072632Z-948315276-RC1EE0951570-RTRMADP-3-THAILAND-KING-CORONATION

แต่นั้นไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองของเขาทั้งหมด

ในความเห็นผม อานนท์ นำพา พูดเกินเหตุในเรื่อง “พระราชอำนาจ” โดยเฉพาะในการคุมทหาร และสังคมไทยไม่ได้ถูกหมุนนาฬิกากลับไปสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่อย่างใด สังคมไทยถูกลากกลับไปสู่ระบบเผด็จการทหารต่างหาก แต่เป็นเผด็จการทหารภายใต้ภาพลวงตาแห่งการเลือกตั้งและรัฐสภา

ทหารที่ทำรัฐประหารก่อนที่วัชิราลงกรณ์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ไม่ได้รับคำสั่งอะไรจากกษัตริย์ และพวกเขาไม่โง่พอที่จะยกอำนาจทหาร หรืออำนาจในการคุมกองทัพ ให้คนปัญญาอ่อนเพี้ยนๆ อย่างวชิราลงกรณ์

และพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้โดนยุบเพราะมีสส.คนหนึ่งไปวิจารณ์พระราชอำนาจ แต่โดนยุบเพราะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพในการดึงคะแนนเสียงประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มาค้านเผด็จการทหาร

แน่นอน พวกทหารชั้นสูงในยุคนี้เป็นพวกที่สนับสนุนเจ้าอย่างสุดขั้ว และนี่คือสาเหตุที่เขาอยากลบล้างประวัติศาสตร์การปฏิวัติ ๒๔๗๕ แต่เขาอวยเจ้าเพื่อใช้เจ้าเป็นเครื่องมือของตนเอง และพร้อมจะเอาใจวชิราลงกรณ์ในเรื่องเงินทองและสิทธิส่วนตัวของเขา เพื่อที่จะใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือต่อไป

[ถ้าใครสนใจก็สามารถอ่านการวิเคราะห์ของผม:

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el

และว่าด้วยวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/31ernxt ]

คุณูปการของอานนท์ นำพา และสิ่งที่เขาออกมาพูด คือเป็นการให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าทำไมประเทศไทยควรเป็นสาธารณรัฐ ทั้งๆ ที่อานนท์ไม่ได้พูดว่าเป็นเป้าหมายของเขา

17880152_10154927047036154_3616575511584400172_o

ถ้าเราสามารถลด “ความศักดิ์สิทธิ์” ของสถาบันกษัตริย์ลง และวัชิราลงกรณ์ดูเหมือนจะทำงานหนักเสียเองตรงนี้ เราจะช่วยลดอำนาจของทหารฝ่ายคลั่งเจ้า แต่อย่าลืมว่าเผด็จการทหารไทยสมัยจอมพลป. ก็สามารถครองอำนาจได้โดยไม่ใช้ลัทธิกษัตริย์

46398d1788a446259c92282a67db5141

เราทุกคนต้องชื่นชมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาวในยุคนี้ และนำข้อเรียกร้องของเขามาเป็นของเรา และมันเป็นเรื่องที่ดียิ่งที่มีการขยายองค์กรไปเป็น “คณะประชาชนปลดแอก” การต่อสู้ยุคนี้ต้องก้าวไปไกลกว่าการต่อสู้ของเสื้อแดงและการล้มเผด็จการไทยในอดีต

[ดู คนหนุ่มสาวควรอัดฉีดความกล้าหาญสู่ขบวนการแรงงานและผู้รักประชาธิปไตยทั่วไป    https://bit.ly/3jBKXKV ]

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล

ใจ อึ๊งภากรณ์

มันมีตัวอย่างจากไหนในโลก ในยุคปัจจุบันหรืออดีต ที่ผู้ปกครองเผด็จการอาศัยอยู่นอกประเทศและสั่งการจากแดนไกล? อันนี้เป็นคำถามที่ท่านจะต้องตอบ ถ้าท่านจะอ้างว่าวชิราลงกรณ์อยู่เบื้องหลังระบบเผด็จการและการทำลายประชาธิปไตย หรือแม้แต่การอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง

ตัวอย่างจากทั่วโลกและในไทยชี้ให้เห็นว่าผู้นำเผด็จการมักเกรงกลัวว่าจะถูกโค่นล้มเมื่อไปต่างประเทศ และเป็นเป็นความกลัวที่ตรงกับประวัติศาสตร์ด้วย แต่พวกคลั่งซุบซิบเกี่ยวกับกษัตริย์ไม่เคยสนใจที่จะเปิดตาศึกษาประวัติศาสตร์โลกหรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ไทย คงจะเป็นเพราะส่วนใหญ่หมกมุ่นกับการด่ากษัตริย์เพื่อ “ความมัน” โดยไม่มีข้อเสนออะไรเป็นรูปธรรมในการล้มระบบเผด็จการไทย

นอกจากนี้ในช่วงที่นายภูมิพลหมดสภาพและใกล้ตาย ซึ่งเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งปี ใครคุมอำนาจในสังคมไทย? ร่างหมดสภาพของภูมิพลหรือทหารเผด็จการ? และอย่าลืมว่าพวกที่เสนอว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นฟ้า เคยทำนายว่าเมื่อภูมิพลตาย จะมีสงครามแย่งบัลลังก์ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเลย

กรุณาอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ผมต้องทิ้งงานสอนที่จุฬาฯ และทิ้งบ้านเกิดที่กรุงเทพฯ และมาลี้ภัยที่อังกฤษ เพราะผมวิจารณ์นายภูมิพลในหนังสือ A Coup For The Rich โดยเฉพาะเรื่องที่เขาไม่เคยปกป้องประชาธิปไตย และหน้าด้านเสนอลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงในขณะที่ตนเองรวยที่สุดในประเทศ และผมไม่เคยหยุดวิจารณ์วชีราลงกรณ์ ราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ หรือพวกราชวงศ์ปรสิตทั้งหลายทั่วโลก ผมนิยมระบบสาธารณรัฐและสังคมนิยม

นอกจากนี้ตอนทีผมยังทำงานที่จุฬาฯ และยังไม่โดนคดี ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เริ่มรณรงค์ให้ยกเลิกกฏหมาย 112 อีกด้วย

10565125_10153078949002729_301020582058691456_n

การมองว่าวชิราลงกรณ์เป็นตัวร้ายที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อสั่งการต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองและสังคมไทย เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ และที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีก มันกลายเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ทหารลอยนวล เพราะตาบอดถึงอำนาจจริงที่ทำลายประชาธิปไตยและฆ่านักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย นั้นคือผู้นำทหาร

บ่อยครั้งการมองว่าวชิราลงกรณ์เป็นตัวร้ายที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อสั่งการต่างๆ เป็นข้ออ้างสำเร็จรูปในการไม่ทำอะไร หรือในการวิจารณ์คนที่เคลื่อนไหวหรือต้องการสร้างขบวนการมวลชนเพื่อล้มระบบเผด็จการ ผมได้ยินมาจนเบื่อคำอ้างว่า “ถ้าออกมาชุมนุมแล้วล้มเผด็จการทหาร กษัตริย์ก็ยังอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร” หรือคนที่เล่าว่านักต่อสู้เพือประชาธิปไตยในอดีต ไม่ว่าจะ ๑๔ ตุลา หรือ พฤษภา ๓๕ “โดนหลอกและโดนพาไปตายฟรี” ซึ่งเป็นคำพูดของนักวิชาการต้านเจ้าที่มีชื่อเสียง

แทนที่จะมองว่าวชิราลงกรณ์คุมเผด็จการประยุทธ์ ความจริงมันตรงข้าม คือเผด็จการประยุทธ์เลี้ยงวชิราลงกรณ์และระบบกษัริย์ไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการมอมเมาประชาชนหรือสร้างความกลัว เหมือนคนรวยเลี้ยงหมาดุไว้ป้องกันขโมย มีใครบ้างจะอ้างว่าหมาดุเป็นตัวคุมอำนาจจริงในบ้านคนรวย?

กษัตริย์วชิราลงกรณ์แสดงความโลภและพยายามกวาดกองทุนต่างๆ เกี่ยวกับกษัตริย์ มาเป็นของตัวเองในลักษณะส่วนตัว และพยายามบังคับให้กองทหารหลายหน่วยมาดูแลตัวเขา แต่นั้นไม่ใช่อาการของคนที่มีอำนาจแท้เหนือสังคม มันเป็นแค่ความกระตือรือร้นของวชิราลงกรณ์ที่จะเสพสุขกับทรัพย์สินมหาศาลและนางสนม และเผด็จการทหารก็มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงเครื่องมือของมัน ก็เลยปล่อยให้ทำ

วชิราลงกรณ์ไม่เคยสนใจนโยบายการเมืองกับเศรษฐกิจ หรือสนใจที่จะกำหนดทิศทางของสังคมแม้แต่นิดเดียว แถมไม่มีปัญญาจะคิดเรื่องแบบนี้ด้วย ผู้นำที่มีอำนาจจริงย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เสมอ และย่อมพยายามเอาใจประชาชนด้วยการสร้างภาพที่ดีกับตนเองอีกด้วย เพราะรู้ว่าในการปกครองประชาชนต้องมีการเอาใจพลเมืองพร้อมกับการใช้กำลัง ตรงข้ามกับวชิราลงกรณ์เขาไม่แคร์อะไรนอกจากตัวเอง ไม่ต่างจากหมาดุที่เฝ้าบ้านคนรวยที่ไม่มีปัญญาที่จะแคร์อะไรนอกจากจะได้กินอาหารมื้อต่อไป

การมีอำนาจในสังคม มีไว้เพื่อกำหนดนโยบายต่างๆ ในสังคม ดังนั้นคนที่ไม่กำหนดนโยบายอะไรต่อสังคมย่อมไม่มีอำนาจ

สำหรับคนที่มองว่าเผด็จการทหารไม่แย่เท่ากับระบบกษัตริย์ กรุณาไปศึกษาการทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย หรือการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งผู้นำคนนี้เกลียดระบบกษัตริย์

ส่วนใหญ่แล้วคนที่คลั่งซุบซิบเกี่ยวกับกษัตริย์ไทย เป็นคนที่นิยมแนวคิด “ไทยเป็นสังคมพิเศษเฉพาะ” เพื่อจะได้ไม่ต้องศึกษาระบบกษัตริย์เปรียบเทียบด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ เช่นพวกนี้มักจะมองว่ากษัริย์ไทยไม่ต้องสั่งอะไรโดยตรงอย่างชัดเจนแต่คนรับใช้มักเดาใจ“พระองค์”ได้เอง [ดู https://bit.ly/3h2DROi และ https://bit.ly/2GcCnzj ] หรือพวกที่ชื่นชมสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษ สวีเดน หรือญี่ปุ่น โดยไม่ศึกษาว่าสถาบันดังกล่าวยังคงไว้ทำไมและรับใช้ผลประโยชน์ชนชั้นไหนในสังคม

สิ่งที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์ของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่หมกมุ่นกับการด่ากษัตริย์เพื่อ “ความมัน” คือการศึกษาระบบกษัตริย์เปรียบเทียบในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ เพราะคนที่ศึกษาเรื่องนี้จะพบว่าสาเหตุหลักที่มีการคงไว้ระบบกษัตริย์ในบางประเทศของยุโรป ในมาเลเซีย หรือในญี่ปุ่น ก็เพื่อที่จะส่งเสริมแนวคิดอนุรักษนิยมของชนชั้นนายทุนที่หมั่นสอนประชาชนชั้นล่างว่า “การเกิดสูงและเกิดต่ำเป็นเรื่องธรรมชาติ” ดังนั้นนายทุนใหญ่ คนรวย และเหล่ารัฐบุรุษต่างๆ สมควรที่จะมีอำนาจในการปกครอง และสมควรที่จะร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่คนธรรมดาต้องเชื่อฟังและทำตาม เพราะคนธรรมดาไม่มีความสามารถในการปกครองตนเอง

นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์ในโลกสมัยใหม่ ย่อมเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการเป็น “ที่พึ่งสุดท้ายในยามวิกฤต” คือทำตัวเป็นสัญลักษณ์ของชาติเพื่อออกมาโชว์ตัวในยามวิกฤตที่นักการเมืองหรือผู้นำชนชั้นปกครองทำอะไรไม่ได้ ในแง่นี้ไทยก็ไม่ต่าง ลองดูพฤติกรรมของภูมิพลในเหตุกรณ์ ๑๔ ตุลา หรือพฤษภา ๓๕ ก็ได้ คือต้องถูกผลักออกมาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านั้นลามไปสู่การล้มอำนาจของชนชั้นปกครองโดยประชาชน ในลักษณะเดียวกันท่ามกลางวิกฤตโควิด ราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ ก็ถูกเข็นออกมาปราศัยทางโทรทัศน์ เพื่อพยายามเสนอว่าพลเมืองอังกฤษต้องสามัคคีกัน แทนที่จะวิจารณ์นโยบายแย่ๆ ของรัฐบาลที่ทำให้คนตายหลายหมื่น

ในประเทศที่เป็นสาธารณรัฐเขาอาศัยสัญลักษณ์อื่นในการส่งเสริมแนวคิดนี้ เช่นแนวชาตินิยม หรือนิยายเรื่องการปฏิวัติในอดีต แต่ที่สำคัญคือสถาบันกษัตริย์ในทุกประเทศในยุคปัจจุบัน รวมถึงประเทศไทย เป็นแค่สัญลักษณ์ล้าหลังที่ชนชั้นปกครองพยายามใช้ในการคุมพลเมือง การสร้างภาพว่าราชินีอังกฤษ “แต่งตั้ง” นายกรัฐมนตรี หรือศาลตุลาการ ฯลฯ หรือการที่ราชินีอังกฤษจะเปิดสภาหรือพูดถึงรัฐบาลว่าเป็นรัฐบาล “ของเขา” เป็นเพียงพิธี ไม่ต่างจากไทย ไทยมีข้อแตกต่างคือมีประวัติความเป็นเผด็จการมาหลายปี ในขณะที่กระแสความคิดของคนไทยส่วนใหญ่นิยมประชาธิปไตย ท่ามกลางความขัดแย้งนี้พวกเผด็จการไทยจึงต้องหา “สิ่งศักดิสิทธิ์” มาช่วยกดทับพลเมืองเพื่อพยุงเผด็จการ และสาเหตุที่ยังทำได้ก็เพราะระดับการต่อสู้จากระดับรากหญ้าในไทย โดยเฉพาะจากขบวนการกรรมาชีพ ยังอ่อนแอ

กษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ร่ำรวย และเสพสุขบนหลังประชาชนก็จริง มีคนเชิดชูและหมอบคลานเข้าหาก็จริง แต่กษัตริย์คนนี้ไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง และถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยทหารและชนชั้นนำอื่นๆ เช่นนักการเมืองนายทุนอย่างทักษิณ การเชิดชูกษัตริย์แบบบ้าคลั่งที่เกิดขึ้น กระทำไปเพื่อให้ความชอบธรรมกับการกระทำของทหารและชนชั้นนำคนอื่นเท่านั้น

รัชกาลที่ ๑๐ ยิ่งอ่อนแอกว่าพ่อของเขา และไม่สนใจเรื่องการเมืองและสังคมไทยเลย วชิราลงกรณ์ ต้องการเสพสุขที่เยอรมันอย่างเดียว

ประเด็นสำคัญคือ สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ วชิราลงกรณ์ ดูเหมือนไม่มีความสำคัญแม้แต่นิดเดียวต่อเรื่องชีวิตธรรมดาหรือปัญหาปากท้อง เวลาคนออกมาเคลื่อนไหวเพราะเดือดร้อนหรือโกรธแค้น ซึ่งยังเกิดขึ้นเป็นประจำ เป้าหมายของเขาอยู่ที่รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์

46398d1788a446259c92282a67db5141

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ  ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในสังคม พลเมืองไทยต้องรวมตัวกันเคลื่อนไหวในขบวนการมวลชนอันยิ่งใหญ่ ต้องลงถนน และต้องเคลื่อนกับขบวนการกรรมาชีพ ต้องสร้างพรรคที่พร้อมจะนำการเคลื่อนไหว ต้องเรียนบทเรียนเกี่ยวกับจุดอ่อนจาก ๑๔ ตุลา พฤษภา ๓๕ และเสื้อแดง เพื่อพัฒนาพลังการเคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซุบซิบเรื่องวชิราลงกรณ์ การที่ภาระอันยิ่งใหญ่นี้ยังไม่สำเร็จก็เพราะยังไม่มีการลงมือจัดตั้งขบวนการอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะอะไรที่วชิราลงกรณ์ทำหรือไม่ทำ

 

อ่านเพิ่ม

บทความวิชาการของ ใจ อึ๊งภากรณ์ https://independent.academia.edu/GilesUngpakorn

การเปลี่ยนแปลงจากศักดินาสู่ทุนนิยมในไทย https://bit.ly/2ry7BvZ

มาร์คซิสต์วิเคราะห์ปัญหาสังคมไทย https://bit.ly/3112djA

บทบาทแท้ของนายภูมิพล และสถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง https://bit.ly/2BLf2Gy

ข่าวมรณกรรมนายภูมิพล https://bit.ly/2XHjyhG

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

ความเลวของวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/2Lptg4d

เราจะสู้อย่างไร? https://bit.ly/2RQWYP4

ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในปัจจุบัน – จุดยืนมาร์คซิสต์   https://bit.ly/2UpOGjT

 

ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในบริบทสังคมไทยประโยคนี้เป็นประโยคที่ขัดแย้งในตัวเอง เพราะทหารและพวกอภิสิทธิ์ชนกับนายทุนใช้สถาบันกษัตริย์ในการเบี่ยงเบนประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง

ในประเทศตะวันตกการมีสถาบันกษัตริย์มีไว้เพื่อเน้น “ธรรมชาติ” ของระบบชนชั้นที่กดทับประชาชน แต่การต่อสู้เพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยโดยชนชั้นกรรมาชีพทำให้ชนชั้นปกครองในตะวันตกไม่สามารถทำให้กษัตริย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือใช้เป็นข้ออ้างในการทำลายประชาธิปไตยเหมือนในไทย

สถาบันกษัตริย์ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้นสำหรับพลเมืองส่วนใหญ่ในไทยหรือในโลก ตรงกันข้ามมันเป็นปรสิตใหญ่ที่ใช้ทรัพยากรของประเทศเพื่อการเสพสุขของบุคคลที่ไม่เคยทำงาน ยิ่งกว่านั้นในไทยมันเป็นเครื่องมือราคาแพงเพื่อข่มพลเมืองให้เกรงกลัวการต่อต้านเผด็จการ อภิสิทธิ์ชน หรือนายทุน เพราะกลุ่มคนที่ปกครองเราโดยไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งที่แท้จริง เช่นรัฐบาลปัจจุบัน หรือนายทุน มักจะต้องเกาะติดกับสถาบันกษัตริย์เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเองในการใช้อำนาจ

2019-05-04T072632Z-948315276-RC1EE0951570-RTRMADP-3-THAILAND-KING-CORONATION

ที่ตลกร้ายคือการสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ผ่านสายเลือด ทำให้ไทยมีประมุขปัญญาอ่อนโหดร้ายอย่างวชิราลงกรณ์ และชนชั้นปกครองเรามักชักชวนให้เรากราบไหว้ตัวปัญญาอ่อนนี้ในขณะที่พวกเขาเองเอบดูถูกสมเพศวชิราลงกรณ์ลับหลังเรา

จริงๆ แล้วราชวงศ์อังกฤษและในยุโรปก็มีตัวเหี้ยๆ พอๆ กับของไทย โดยเฉพาะสามีและลูกชายของราชินีอังกฤษ แต่สังคมด่าเขาได้

ใครๆ รู้ว่าวชิราลงกรณ์เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะมีบทบาทอะไรในลักษณะการเป็นประมุข การเชิดชูส่งเสริมวชิราลงกรณ์ว่าเป็น “อัจฉริยะมนุษย์” อย่างที่ชนชั้นนำเคยทำในกรณีนายภูมิพล ทำไม่ได้เลย

อย่างไรก็ตามชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหารคลั่งเจ้าที่เป็นฝ่ายขวาตกขอบ กำลังพยายามทำให้ความจงรักภักดีต่อ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องมือบังคับให้เราก้มหัวให้ทหารเผด็จการ เหมือนที่เขาใช้ลัทธิชาตินิยมและมักกล่าวหาคนที่รักประชาธิปไตยว่าเป็นพวก “ชังชาติ” การพยายามทำลายพรรคอนาคตใหม่เป็นตัวอย่างที่ดี

สถาบันกษัตริย์ไม่ใช่สิ่งเดียวกับบุคคลที่เป็นกษัตริย์ แต่ในเวลาเดียวกันมันผูกพันกันอย่างใกล้ชิด เรื่องนี้อาจสร้างปัญญาให้กับทหารคลั่งเจ้าขวาตกขอบ เพราะเนื่องจากเขากลัวการล้มอำนาจทหารโดยประชาชน เขากำลังพยายามส่งเสริมฐานะของสถาบันกษัตริย์ในลักษณะของสถาบัน ในขณะที่เขาอยากให้เราลืมความเลวทรามของวชิราลงกรณ์ มันมีความขัดแย้งในตัว

img_20200127_184610_1-696x511

49449713792_049f54baa7_b

ความพยายามใช้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องมือบังคับให้เราก้มหัวให้ทหารเผด็จการ เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังการพยายามลบประวัติศาสตร์ของการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ด้วยการรื้อถอนอนุสาวรีย์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ๒๔๗๕

วิธีที่จะสู้กับแนวทางของพวกทหารคลั่งเจ้าขวาตกขอบ และทหารเผด็จการทั่วไป คือการปกป้องรักษาประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ในไทยรวมถึง ๒๔๗๕ และการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เรื่องอนุสาวรีย์อาจเป็นเรื่องรอง ถ้าเรารักษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายเราได้ แต่เราก็ต้องพยายามต่อต้านการรื้อทิ้งอนุสาวรีย์อย่างหลักสี่หรือหมุดคณะราษฎร

การรักษาประวัติศาสตร์ของฝ่ายเราทำได้ด้วยประสิทธิภาพ ถ้าเราสร้างพรรคการเมืองของคนชั้นล่างและกรรมาชีพที่เน้นการศึกษาทางการเมือง อย่างที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยเคยทำ เพราะถ้าแค่รักษาประวัติศาสตร์ในแวดวงมหาวิทยาลัยมันจะไม่แพรากระจายสู่คนธรรมดา

Against Dictatorship

อีกสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่องคือการสร้างขบวนการมวลชนเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยและไล่ทหารออกจากระบบการเมือง ต้องให้ความสำคัญกับกรรมาชีพมากกว่าชนชั้นกลาง และถึงแม้ว่าในสังคมเปิดกว้างคนส่วนใหญ่ไม่สามารถแสดงจุดยืนสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐได้ แต่เราควรพูดถึงเรื่องนี้ในวงเล็กๆ เสมอ และที่สำคัญคือต้องรณรงค์ต่อต้านการใช้กฏหมาย112 หรือต่อต้านการพยายามใช้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข” เป็นเครื่องวัด “ความเป็นไทย” นอกจากนี้เราไม่ควรรีบไปแสดงความจงรักภักดีต่อระบบกษัตริย์ถ้าไม่จำเป็น เราต้องพยายามรักษาจุดยืนประชาธิปไตยในสถานการณ์ลำบาก

เราต้องพยายามพูดในที่สาธารณะว่าระบอบประชาธิปไตยมีหลานรูปแบบที่มีความชอบธรรม และทหาร ศาล หรือรัฐบาลปัจจุบัน ไม่มีความชอบธรรมในการผูกขาดว่าเราควรใช้ระบอบไหน