Tag Archives: วัคซีนโควิด

เราต้องดูภาพรวมของปัญหาโควิดไทย ไม่ใช่แค่เรื่องวัคซีน

นักมาร์คซิสต์ใช้แนวคิด “วิพากษ์วิธีวัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ในการมองปัญหาต่างๆ ของโลก ซึ่งหมายความว่าต้องมองภาพรวมของปัญหา ไม่ใช่เฉพาะปัจจัยใดปัจจัยเดียว ต้องถือหลักการวิทยาศาสตร์เหนือความเชื่องมงาย และต้องค้นหาจุดสำคัญในความขัดแย้งทางชนชั้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สังคมดีขึ้น

ดังนั้นในเรื่องโควิดเราไม่สามารถเน้นแต่เรื่องวัคซีนอย่างเดียว ไม่มีวัคซีนตัวไหนที่มีประสิทธิภาพ 100% วัคซีนที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอนามัยโลกปกป้องการตายหรือป่วยหนักได้ในระดับประสิทธิภาพที่ใช้งานได้สองสัปดาห์หลังฉีดเข็มที่สอง แต่วัคซีนต่างๆ ทุกชนิด ไม่สามารถปกป้องไม่ให้ผู้ได้รับวัคซีนแพร่เชื้อโควิดได้ และจำนวนประชากรที่ได้รับวัคซีนสองเข็มก็ยังไม่ใกล้ 100% เลย

นโยบายที่ปกป้องพลเมืองจากโควิดต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญพอๆ กับวัคซีน เช่นมาตรการบังคับให้ใส่หน้ากาก การรักษาระยะห่างจากคนอื่นนอกครอบครัว การล้างมือ การตรวจเชื้อ การปิดกิจการที่อาศัยคนจำนวนมากมาอยู่ในที่เดียวกัน การจำกัดการเดินทาง ฯลฯ

แต่แค่นั้นไม่พอ สิ่งที่สำคัญเท่ากับวัคซีนและมาตรการต่างๆ คือคุณภาพของระบบสาธารณสุขฟรีถ้วนหน้า และระดับความเหลื่อมล้ำในสังคม ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของประชาชน ที่อยู่อาศัย สภาพโรงพยาบาลรัฐ สภาพสถานที่ศึกษา คุณภาพของระบบขนส่งมวลชน และลักษณะการทำงานเลี้ยงชีพ นอกจากนี้การมีหรือไม่มีระบบรัฐสวัสดิการที่ดีมีผลต่อการดูแลคนที่ไม่สามารถออกไปทำงานได้ แทนที่จะบังคับให้คนออกไปทำงานเสี่ยงกับการแพร่ระบาดของไวรัส

ในอังกฤษระดับการฉีดวัคซีนสูง ประชาชนมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับวัคซีนแล้ว โดยเฉพาะผู้สูงอายุและพนักงานสาธารณสุข และการฉีกวัคซีนแบบนี้ลดระดับการตายลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ตอนนี้รัฐบาลฝ่ายขวาของอังกฤษประกาศว่าจะเปิดประเทศ คือยกเลิกมาตรการต่างๆ ทางสังคมที่สำคัญพอๆ กับวัคซีน ซึ่งในไม่ช้าจำนวนผู้ติดเชื้อจะพุ่งขึ้นสูงและสร้างปัญหาให้กับโรงพยาบาลต่างๆ และทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อปกป้องกำไรกลุ่มทุน

สถานการณ์โควิดในไทยที่ย่ำแย่สะท้อนความห่วยแตกของเผด็จการทหารที่ทำลายประชาธิปไตยมานาน ทั้งเรื่องจำนวนคนที่ได้รับวัคซีนฟรี เรื่องการเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เรื่องระบบการตรวจ ระบบจัดหาเตียงในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยหนัก และการดูแลพลเมืองที่ไปทำงานไม่ได้

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณภาพของวัคซีน แต่อยู่ที่การสั่งซื้อวัคซีนที่เพียงพอและการจัดการระบบสาธารณะสุขเพื่อปกป้องพลเมืองอย่างเป็นระบบ เช่นการจัดระบบให้พลเมืองกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้รับวัคซีนฟรีก่อนคนอื่น การกีดกันเอกชนไม่ให้เข้ามาหากำไรและให้โอกาสคนรวยเหนือพลเมืองอื่น ฯลฯ

นอกจากนี้ปัญหาอยู่ที่ทหารที่อวดเก่งคิดว่ามันแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยการตะโกนสั่งและข่มขู่โดยไม่ฟังเสียงประชาชน

วิกฤตนี้ทำให้เราเห็นอีกครั้งว่าเราต้องกำจัดเผด็จการให้หมดสิ้นจากสังคมโดยขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เข้มแข็งเพราะมีส่วนร่วมจากสหภาพแรงงานที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ อย่าไปหวังอะไรจากรัฐสภาง่อย ประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญในรัฐสภาชี้ให้เห็นว่ามันง่อยแค่ไหน

ในยุคนี้ระบบทุนนิยมทำให้เกิดการระบาดของโรคร้ายแรงบ่อยขึ้น และทำให้เกิดวิกฤตอื่นๆ เช่นสงครามหรือปัญหาโลกร้อน

ทุนนิยมไม่ว่าจะบริหารโดยเผด็จการหรือพรรคการเมืองนายทุนภายใต้ระบบประชาธิปไตย ไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตต่างๆ ได้ ถ้าเราจะสร้างสังคมที่เท่าเทียมและตอบสนองประชาชนได้อย่างทั่วถึง เราต้องต่อสู้เพื่อเปลี่ยนระบบเป็นสังคมนิยม

ใจอึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

สามวิกฤตของทุนนิยม https://bit.ly/2XKQ69L  

ทุนนิยม กลไกตลาด กับปัญหาโควิด https://bit.ly/3aA9hrF

สิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F

กรรมาชีพไทยกับการต่อสู้ทางการเมืองเพื่อสังคมใหม่ หน้าที่ของนักสังคมนิยมในยุคปัจจุบัน  https://bit.ly/2MBfQzc

รัฐสวัสดิการ https://bit.ly/2rOzlLy  

สังคมนิยมจากล่างสู่บน https://bit.ly/2vbhXCO

 #โควิด19

นักเคลื่อนไหวควรปฏิเสธการถูกครอบงำโดย “ทฤษฎีสมคบคิด”

เมื่อสามปีก่อนมีบทความในบีบีซีภาษาไทยที่อธิบายว่า “นักจิตวิทยาให้คำอธิบายเรื่องความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ว่า ทฤษฎีสมคบคิดเป็นวิธีการหนึ่งเพื่อพยายามหลีกหนีความจริงที่รับฟังได้ยาก ของคนกลุ่มดังกล่าว

ในแง่สำคัญ การที่คนไทยจำนวนมากเชื่อใน “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือ “นิยายจอมปลอม” ก็เพราะสังคมเราตกอยู่ภายใต้เผด็จการประยุทธ์ หรือที่หลายคนเรียกว่า “สังคมใต้กะลา” คือในสังคมไทยปัจจุบัน ผู้นำรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมักโกหกเป็นประจำ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตนเองและให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมชั่วร้ายของตนเอง ดังนั้นจึงเกิดแนวโน้มว่าประชาชนจะไม่เชื่อคำพูดหรือแถลงการณ์ใดๆ ของรัฐ และพยายามแสวงหา “ความจริงอื่น” แต่ปัญหาคือ ถ้า ”ความจริงอื่น” ที่คนหันไปเชื่อเป็นการโกหกอีกชนิดหนึ่ง สังคมจะจมอยู่ในความงมงาย ซึ่งความงมงายมักนำไปสู่ความอำพาตในการต่อสู้

วัคซีนโควิด

ตัวอย่างแรกของ “ทฤษฏีสมคบคิด” ที่จะยกมาพิจารณาคือเรื่องวัคซีนโควิด แน่นอนรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนอย่างเป็นระบบ สาเหตุมาจากการที่รัฐบาลของประยุทธ์ไม่ให้ความสำคัญกับการปกป้องประชาชน มัวแต่กอบโกยผลประโยชน์ และเต็มไปด้วยคนที่มีความคิดล้าหลังคับแคบ ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตจริงๆ ได้ เพราะจมอยู่ในความคิดอวดเก่งว่า “ทหาร รถถัง และปืน” สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้และประชาชนธรรมดา “โง่” สิ่งนี้นำไปสู่การสั่งจองวัคซีนล้าช้า การไม่สั่งวัคซีนจากหลายๆ แห่งตั้งแต่แรก และมัวแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างความชอบธรรมในเรื่องวัคซีนให้กับราชวงศ์และทหาร สังคมไทยจึงขาดแคลนวัคซีนอย่างที่เห็นอยู่

อีกปัญหาหนึ่งคือการที่เผด็จการทหารไม่มีความคิดแบบ “รัฐสวัสดิการ” ซึ่งทำให้ผู้บริหารไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของการปกป้องผู้สูงอายุและคนที่มีโรคประจำตัวก่อนอื่น และสังคมก็ขาดหมอชุมชนและสถาบันในชุมชนที่จะฉีดวัคซีนให้พลเมืองอย่างเป็นระบบ มันนำไปสู่กันลัดคิวของคนมีเส้น และการแตกกระจายของสำนักงานที่จะนำเข้าวัคซีนจนวุ่นวายไปหมด

แต่จากปัญหาอันใหญ่หลวงเหล่านี้และการโกหกของผู้นำประเทศ ก็เกิด “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ และนำไปสู่การมองว่าวัคซีนซิโนแวค ของจีนเป็นวัคซีน “อันตราย” และขาดประสิทธิภาพ มีการพูดถึง แอสตร้าเซนเนก้า ในทำนองคล้ายๆ กัน และหลายคนก็หันไปชื่นชม ไฟเซอร์

ในความจริงถ้าดูข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าไว้ใจขององค์กรอนามัยโลก (WHO) จะพบว่าทั้งสามวัคซีนมีประสิทธิภาพพอๆ กัน และอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ โดยเฉพาะในการปกป้องคนจากการมีอาการรุนแรงหรือการเสียชีวิต และในเรื่องผลข้างเคียง ทั้งสามวัคซีนมีผลข้างเคียง ที่ไม่ค่อยพูดกันในสังคมไทยคือผลข้างเคียงต่อหัวใจของวัคซีนไฟเซอร์ในชายหนุ่ม

แต่ในเรื่องผลข้างเคียง ถ้าพูดถึงความเสี่ยง ต้องยอมรับว่าต่ำมากถ้าพิจารณาประชาชนเป็นล้านๆ ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วในหลายประเทศ และถ้าระบบสาธารณสุขพยายามลดความเสี่ยงโดยใช้วัคซีนชนิดที่แตกต่างกันกับคนกลุ่มต่างๆ ก็สามารถลดความเสี่ยงได้อีก แต่พวกที่เชื่อ “ทฤษฎีสมคบคิด” ไม่สนใจที่จะแสวงหาข้อมูลวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถวิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ได้ตรงจุด ซึ่งทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนแอกว่าที่ควร

นอกจากนี้ไฟเซอร์เป็นวัคซีนราคาแพงเพราะบริษัทต้องการกอบโกยกำไรสูงสุด และวัคซีนต้องเก็บไว้ในตู้แช่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ซึ่งต่างจาก ซิโนแวคกับ แอสตร้าเซนเนก้า ในแง่ราคาซิโนแวคก็แพง แต่แอสตร้าเซนเนก้าตั้งใจผลิตในราคาที่ไม่แสวงหากำไร

ในอนาคต ขณะที่ไวรัสโควิดกำลังแปรพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จะต้องมีการสร้างวัคซีนใหม่ๆ เรื่อย ๆ และถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย การเข้าใจวิทยาศาสตร์และการเสนอรูปแบบวิธีจัดการบริหารสังคมที่ไม่ใช่รูปแบบของทหารเผด็จการจะเป็นเรื่องสำคัญมาก

วชิราลงกรณ์และอำนาจกษัตริย์

ตัวอย่างที่สองของ “ทฤษฏีสมคบคิด” ที่จะยกมาพิจารณา คือเรื่องอำนาจทางการเมืองของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ความคิดนี้ จริงๆ แล้วถูกสร้างขึ้นมาโดยเผด็จการทหารและนายทุน เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเอง เพราะถ้ามีละครกราบไหว้และคลานเข้าไปหากษัตริย์ เผด็จการทหารสามารถอ้างได้ว่าทุกอย่างที่เขาทำ ทำไปภายใต้คำสั่งของกษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกันเผด็จการทหารและนายทุนจะยืนยันเสมอว่า “กษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” ซึ่งทำให้คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้

มันเป็นโศกนาฏกรรมที่นักเคลื่อนไหวจำนวนมากหลงเชื่อว่าวชิราลงกรณ์มีอำนาจทางการเมืองล้นฟ้า และสั่งการเผด็จการประยุทธ์ในทุกเรื่องได้ ความเชื่อแบบ “ทฤษฎีสมคบคิด” อันนี้ไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน เช่นในเรื่องการ “โอนอำนาจ” ระหว่างภูมิพลกับวชิราลงกรณ์เกิดได้อย่างไร โดยเฉพาะในสามสี่ปีก่อนที่ภูมิพลจะเสียชีวิต หรือในเรื่องที่ไม่มีตัวอย่างของเผด็จการที่ไหนที่สั่งการมาจากต่างประเทศในขณะที่ใช้เวลาอยู่นอกประเทศนาน หรือในเรื่องความปัญญาอ่อนของวชิราลงกรณ์ผู้ที่ไม่สนใจปัญหาสังคมและการเมืองเลย ฯลฯ

“ทฤษฏีสมคบคิด” เรื่องกษัตริย์วชิราลงกรณ์นำไปสู่เรื่องตลกร้ายเมื่อเดือนที่แล้วที่มีคนเชื่อแบบผิดๆ กันว่าวชิราลงกรณ์เสียชีวิตไปแล้ว เสียดายที่ไม่จริง แต่มันไม่เคยมีหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนี้ และถ้าคนเชื่อว่ามีการโอนอำนาจระหว่างภูมิพลที่หมดสภาพในปีท้ายๆ ของชีวิตสู่วชิราลงกรณ์ มันก็มีการโอนอำนาจต่อได้

แต่ที่เป็นโศกนาฏกรรมแท้คือการที่ “ทฤษฎีสมคบคิด” เรื่องอำนาจกษัตริย์ ในรูปธรรมทำให้ผู้มีอำนาจตัวจริง คือเผด็จการทหารของประยุทธ์ สามารถลอยนวลได้ เพราะมีการมองว่าไม่ใช่ปัญหาหลัก ถึงกับมีคนดังหลายคนเสนอในทำนองว่า “ถ้าไล่แก๊งประยุทธ์ได้ กษัตริย์ก็จะยังอยู่” ซึ่งหมายความว่าการไล่เผด็จการทหารไม่มีประโยชน์ และข้อสรุป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คือไม่ต้องให้ความสำคัญกับการต่อสู้ ยุทธศาสตร์แห่งการต่อสู้ หรือการจัดตั้งขบวนการต่อสู้ แค่อยู่บ้านนินทากษัตริย์และราชวงศ์ในอินเตอร์เน็ด หรือ “ตลาด Royalist Marketplace” ก็พอ และในความจริงไม่มีผู้มีอิทธิพลใดๆ ในสังคมนินทาราชวงศ์นี้ ที่สนใจหาทางเอาชนะเผด็จการประยุทธ์อย่างเป็นรูปธรรมเลย เวลามีคนเสนอว่าต้องสร้างกระแสนัดหยุดงานเพื่อไล่รัฐบาล อย่างที่เขาทำกันที่พม่าหรือที่อื่น ก็จะออกมาพูดว่าไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีการเสนอทางเลือกอื่นที่เป็นรูปธรรมเลย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก เพราะขบวนการเคลื่อนไหวที่นำโดยคนหนุ่มสาวเมื่อปีที่แล้ว อ่อนตัวลงและพ่ายแพ้อำนาจเผด็จการในขณะนี้ และผลที่เห็นชัดเจนคือแกนนำผู้กล้าหาญจำนวนมากติดคดีร้ายแรง 112 ซึ่งในที่สุดจะจบลงด้วยการติดคุกถ้าไม่มีการฟื้นตัวของการต่อสู้ในอนาคต

สร้างพรรค

ในยุคนี้มีคนหนุ่มสาวหลายคนที่สนใจเรื่องแนวสังคมนิยมมาร์คซิสต์ มันถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะต้องรวมตัวกันสร้างหน่ออ่อนของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมอย่างจริงจัง เพื่อที่จะให้มีการวิเคราะห์ลักษณะสังคมปัจจุบันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ แทนความเชื่อใน “ทฤษฎีสมคบคิด”  และเพื่อนำเสนอรูปธรรมทางออกในการต่อสู้กับเผด็จการ ที่เรียนบทเรียนจากอดีต และสามารถเดินหน้าสู่ชัยชนะได้

อ่านเพิ่ม

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el  

ว่าด้วยวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/31ernxt

คนหนุ่มสาวควรอัดฉีดความกล้าหาญสู่ขบวนการแรงงานและผู้รักประชาธิปไตยทั่วไป    https://bit.ly/3jBKXKV

ทำไมนักมาร์คซิสต์ต้องสร้างพรรค? http://bit.ly/365296t

ใจ อึ๊งภากรณ์

เผด็จการไทยไร้ประสิทธิภาพในการปกป้องประชาชนจากโควิด

รัฐบาลเผด็จการไทยไร้ประสิทธิภาพเพราะเน้นแต่กำไรกลุ่มทุนและผลประโยชน์ตนเอง ไม่ยอมใช้มาตรการทางวิทยาศาสตร์เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อ และไม่ยอมใช้งบประมาณรัฐเพื่อเป็นสวัสดิการที่เพียงพอสำหรับคนที่ควรจะพักงานและอยู่บ้าน ในขณะเดียวกันมีการทุ่มเทเงินให้ปรสิตชั้นสูงและกองทัพ และมีการจับมือกับพรรคพวกในการผลิตวัคซีนอีกด้วย และที่แย่สุดคือการนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนล้าช้ากว่าประเทศอื่นๆ และไม่ทำอย่างเป็นระบบ

อีกเรื่องที่เป็นอปสรรค์ในการจัดการกับโควิดในไทย คือการที่ประชาชนไว้ใจรัฐบาลไม่ได้ เพราะถูกจับว่าโกหกในอีดตอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกๆ เรื่อง

ในแง่หนึ่งความล้มเหลวของรัฐบาลเผด็จการไทยไม่ค่อยต่างจากรัฐบาลในประเทศอื่นที่เน้นผลประโยชน์กลุ่มทุนและอภิสิทธ์ชน

ในอังกฤษรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมของนายทุนใหญ่ พยายามตลอดเวลาที่จะผลักให้คนกลับไปทำงานและเปิดโรงเรียนเพื่อให้คนที่มีลูกกลับไปทำงานได้ นายกรัฐมนตรี Boris Johnson เคยพูดว่า “ให้ศพมันกองไปเรื่อยๆ จะไม่ล็อคดาว์น” และผลคือมียอดคนตายสูงจากโควิดถึงแสนกว่าคน นับว่าอังกฤษมีสัดส่วนคนตายสูงกว่าหลายประเทศในโลก

แต่การที่รัฐบาลอังกฤษกลัวความไม่พอใจของประชาชน กดดันให้มีการสั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าเร็วกว่าหลายๆ ประเทศ แต่ในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและประชาชนวิจารณ์ระบบการเมืองอย่างเปิดเผยไม่ได้ เช่นในไทย แรงกดดันแบบนี้จะอ่อนแอกว่า แถมในไทยพวกนายพลที่เป็นคณะเผด็จการ เช่นประยุทธ์ หลงตนเองคิดว่าการเป็นทหารทำให้เก่งทุกอย่างได้ ทั้งๆที่ตรงข้ามกับความจริง

สิ่งที่ตอนนี้เข้ามาช่วยประชาชนอังกฤษคือการที่มีระบบสาธารณสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสวัสดิการ พนักงานต่างๆ ในระบบสาธารณสุข (NHS) ได้วางแผนการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ จนตอนนี้ประชาชนเกินครึ่งหนึ่งได้รับการฉีดยาอย่างน้อยเข็มแรก และคนจำนวนมากได้เข็มที่สองแล้วด้วย

แต่ในด้านลบการที่ประเทศพัฒนาในตะวันตก อย่างอังกฤษ สหรัฐ และประเทศอียู ปกป้องบริษัทยาและไม่ยอมยกเลิกสิทธิบัตรยา ทำให้มีการลงมือแจกจ่ายสูตรการทำวัคซีนให้ทุกประเทศอย่างทั่วถึงไม่ได้ และผลิตวัคซีนในราคาถูกไม่ได้ ทำให้ประชาชนในประเทศยากจนขาดแคลนวัคซีน นี่คือหน้าตาโหดร้ายของจักรวรรดินิยมในระบบทุนนิยม (ดูข่าวล่าสุดข้างล่าง)

อย่างไรก็ตามผลประโยชน์ของจักรวรรดินิยมตรงข้ามกับผลประโยชน์ของกรรมาชีพคนทำงานในประเทศตะวันตก เพราะถ้าทุกคนทั่วโลกไม่ร่วมมือกันโดยไม่คำนึงถึงกำไรของกลุ่มทุน มันทำให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด เสี่ยงกับการระบาดรอบใหม่ๆ ของโควิดและการแปรพันธุ์ของไวรัส

อังกฤษฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกไปแล้ว 34.7 ล้านคน เกินครึ่งของประชากร ส่วนใหญ่ประชาชนได้วัคซีน AstraZeneca และตอนนี้ยอดคนตายจากโควิดในอังกฤษลดลงมาก ขณะนี้เหลือแค่4คนต่อวันเนื่องจากการใช้วัคซีน ซึ่งต่างจากประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันที่รัฐบาลล้าช้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ประเทศเหล่านั้นกำลังถึงขั้นวิกฤตจากการระบาดรอบสามของโควิด

3 วันหลังจากที่ผมได้รับการฉีด AstraZeneca เข็มที่สอง ผมไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย หลังเข็มแรกมีไข้อ่อนๆ

สำหรับเรื่องผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจาก AstraZeneca ในอังกฤษมีคนตายจากลิ่มเลือด 41 คน (เท่ากับสัดส่วน 1.2 คนจากประชาชน 1 ล้านคนที่ได้วัคซีน) ซึ่งถ้าเทียบกับยอดคนตายด้วยโควิด 127,500 คนตั้งแต่มีการระบาด จะเห็นว่าวัคซีนมีความเสี่ยงน้อยกว่าการติดเชื้อ แต่ตอนนี้อังกฤษประกาศว่าจะให้คนอายุต่ำกว่า40เลือกวัคซีนอื่นได้

สังคมไทยเต็มไปด้วยข้อมูลที่บิดเบือนเรื่องวัคซีน มีการวาดภาพวัคซีนร้ายแรงเกินเหตุ และประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้รับวัคซีน สาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลเผด็จการไร้ประสิทธิภาพ และโกหกประชาชนเป็นประจำ พร้อมกับการที่ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและตรวจสอบรัฐบาล ยิ่งกว่านั้นประเทศไทยไม่มีระบบสาธารณสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรัฐสวัสดิการ

ส่วนวัคซีน “ซิโนวัค” ที่หลายคนเป็นห่วง วัคซีนนี้ใกล้จะได้รับการรับรองจาก EU และ องค์กรWHO และข้อมูลพิสูจน์ว่าสามารถป้องกันไม่ให้ตายจากโควิดหรือมีอาการรุนแรงถึง 90% แต่ในการป้องกันการติดเชื้อ และมีอาการอ่อนๆ วัคซีนนี้มีประสิทธืภาพ 50-60% ซึ่งถือว่าไม่เลว

ในเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีนที่อาจทำให้คนตาย ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอว่ามีคนตายจากวัคซีนซิโนวัคหรือไม่ แต่เรื่องนี้ยังสรุปกันยาก อาจมีข้อมูลใหม่เข้ามาในอนาคต แต่ประเด็นคือผู้นำทางการเมืองในไทยไม่มีการใช้วัคซีนนี้กับตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจในหมู่ประชาชน และการที่สังคมไทยเต็มไปด้วยข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งจะไม่ช่วยในการรณรงค์ให้คนรับวัคซีนอย่างเพียงพอ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ข่าวล่าสุด

รัฐบาลสหรัฐประกาศว่าอยากจะยกเลิกสิทธิบัตรยาสำหรับวัคซีนโควิดชั่วคราว และอียูอาจทำตามในอนาคต?