ในปี 1953 สตาลิน ผู้นำเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์ของรัสเซียถึงแก่กรรม และการตายของผู้นำเผด็จการอย่าง สตาลิน มักนำไปสู่การทบทวนครั้งยิ่งใหญ่ของชนชั้นปกครอง ในรัสเซียสาเหตุสำคัญมาจากการที่ชนชั้นปกครองทราบดีว่าในสังคมทั่วไป มีความไม่พอใจสะสมอยู่ ซึ่งอาจระเบิดออกมาได้ นอกจากนี้ในแวดวงชนชั้นปกครองมีความเกรงกลัวว่า ใครสักคนหนึ่งจะชิงตำแหน่งและขึ้นมาเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จใหม่แทน สตาลิน อันนี้คือสาเหตุที่หัวหน้าตำรวจลับของ สตาลิน โดนประหารชีวิตหลังการประชุมแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1956 ในการประชุมครั้งที่ 20 ของพรรค เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ครุสชอฟ ตัดสินใจเปิดโปงความชั่วร้ายหลายอย่างของ สตาลิน เพื่อเพิ่มอิทธิพลและความั่นคงของตนเอง และคำปราศรัยครั้งนี้ มีผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปตะวันออก
ในฮังการี่สถานการณ์ไปไกลจนถึงขั้นปฏิวัติ คนงานและนักศึกษาจำนวนมากเริ่มเดินขบวน และทำลายรูปปั้นสตาลินในเมืองบูดาเพช มีการพยายามยึดสถานีวิทยุ ซึ่งทำให้เกิดการปะทะกับตำรวจติดอาวุธ คนงานจำนวนมากยึดปืนจากสมาคมเล่นปืนในโรงงาน และชักชวนให้ทหารเกณฑ์เปลี่ยนข้าง ในไม่ช้าเมืองต่างๆ ของฮังการี่อยู่ในมือของ “คณะกรรมการโรงงาน” และ “คณะกรรมการปฏิวัติ” ปิเตอร์ ฟไรเอร์ นักข่าวจากหนังสือพิมพ์พรรคคอมมิวนิสต์อังกฤษ ที่ไปสังเกตการณ์ รายงานว่า “สภาพไม่ต่างจากรัสเซียสมัยปฏิวัติ 1917 เพราะมีสภาคนงานที่เลือกตั้งจากสถานที่ทำงานทั่วประเทศ”
แต่การปฏิวัติครั้งนี้เป็นการท้าทายอำนาจเผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลินโดยชนชั้นกรรมาชีพ มันพิสูจน์ว่าการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้เป็นการปกครองในระบบคอมมิวนิสต์ตามที่ชาวมาร์คซิสต์เข้าใจแต่อย่างใด
รัฐบาลฮังการี่รีบแต่งตั้งผู้นำสายปฏิรูปชื่อ เนกี เพื่อพยายามแก้ปัญหา แต่รัสเซียส่งกองทัพพร้อมรถถังเข้ามาปราบการกบฏ มีการสู้รบกันอย่างหนัก โดยที่รัฐบาลแท้ของฮังการีกลายเป็น “คณะกรรมการกลางกรรมาชีพเมืองบูดาเพช” แต่ในที่สุดกองทัพรัสเซียได้ชัยชนะและประหารชีวิตแกนนำกรรมาชีพ 350 คน
ฝ่ายรัสเซียบอกว่าคนงานฮังการี่ที่ลุกฮือเป็นเพียง “สายลับ” ของตะวันตก และรัฐบาลตะวันตกโกหกว่าคนงานฮังการี่ต้องการ “ทุนนิยมประชาธิปไตยแบบตะวันตก” ในความเป็นจริง แกนนำคนงานฮังการี่ ใน “คณะกรรมการกลางกรรมาชีพเมืองบูดาเพช” ต้องการสังคมนิยมแท้ ที่ปราศจากเผด็จการแบบสตาลิน และมีการออกแถลงการณ์ต่อต้านการคืนอำนาจให้นายทุน เจ้าของที่ดิน และนายธนาคาร
การปฏิวัติฮังการี่ ซึ่งเป็นการปฏิวัติของคนงานเพื่อสังคมนิยมแท้ เปิดโปงลักษณะจริงของเผด็จการสตาลิน และเปิดโปงการโกหกของฝ่ายตะวันตกที่พยายามเสนอว่า การต่อสู้ของคนงานเพื่อสังคมนิยม “ย่อมนำไปสู่เผด็จการสตาลิน” และทั้งสองฝ่ายในสงครามเย็นพยายามปกปิดประวัติศาสตร์ฉากนี้ ในฮังการี่ การพูดถึงการปฏิวัติในแง่ดีกลายเป็นเรื่องผิดกฏหมายจนถึงปี 1989