Tag Archives: สหภาพยุโรป

วิกฤตการเมืองกระแสหลักในยุโรป ไม่ใช่วิกฤตสำหรับมาร์คซิสต์

ตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจทุนนิยมโลกในปี 2008 การใช้มาตรการเสรีนิยมกลไกตลาดของรัฐบาลพรรคกระแสหลักในประเทศต่างๆ ของยุโรป นำไปสู่วิกฤตทางการเมืองของพรรคกระแสหลักในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นพรรคนายทุนหรือพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยปฏิรูป เพราะทุกพรรคส่งเสริมการโยนภาระการแก้วิกฤตไปสู่ชนชั้นกรรมาชีพ ผลคือคนจำนวนมากเดือดร้อนจากนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาล ซึ่งสร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมาก สิ่งที่เข้ามาเสริมอีกคือความไม่พอใจกับมาตรการต่างๆ ที่ไม่เพียงพอในการปกป้องประชาชนจากโควิด

ปรากฏการณ์นี้มีการตั้งชื่อว่าเป็น “การล่มสลายของการเมืองเสรีนิยมที่มีจุดยืนกลางๆ ระหว่างซ้ายกับขวา” เราต้องเน้นว่าแนว “เสรีนิยมกลางๆ” ดังกล่าว ที่ล่มสลายไป ไม่ใช่อะไรที่ก้าวหน้าแต่อย่างใด แต่เป็นแนวที่ถือผลประโยชน์กลุ่มทุนเป็นหลัก มีการใช้เงินรัฐอุ้มกลุ่มทุน แต่ตัดสวัสดิการและระดับค่าจ้าง เพื่อจ่ายหนี้รัฐ และมีการขายรัฐวิสาหกิจให้เอกชน ซึ่งช่วยทำลายรัฐสวัสดิการ และเราต้องเน้นว่านโยบายดังกล่าวถูกนำมาใช้โดยพรรคนายทุน และพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยปฏิรูป ในทุกประเทศ เวลาเราพูดถึง “ฝ่ายซ้าย” เราไม่สามารถรวมพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยปฏิรูปในนั้น

แม้แต่ในประเทศที่พรรคกระแสหลักยังเป็นรัฐบาลอยู่ เช่นในเยอรมันกับอังกฤษ จะเห็นว่าคะแนนเสียงในการเลือกตั้งของพรรคนายทุนบวกกับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยปฏิรูป ซึ่งเคยสูงถึง 80% กลับลดลงอย่างน่าใจหาย

มันมีสองกระแสใหม่ทางการเมืองที่เกิดขึ้นคือ กระแสฝ่ายซ้าย และกระแสฝ่ายขวาเหยียดเชื้อชาติ ทั้งสองกระแสนี้มาจากวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2008  ซึ่งทำให้คนจำนวนมากจนลงและตกงาน มันนำไปสู่ความรู้สึกแปลกแยกและห่างเหินจากการเมืองกระแสหลัก เพราะประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าพรรคการเมืองเก่าไม่สนใจที่จะเป็นตัวแทนของเขา ไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาความเดือดร้อน และแถมซ้ำเติมด้วยนโยบายรัดเข็มขัด ตอนนี้ทั่วยุโรปจึงมีวิกฤตทางการเมืองที่ปะทะกับความชอบธรรมเก่าของพรรคกระแสหลัก

นักมาร์คซิสต์ทราบดีว่า เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจและการเมือง ที่นำไปสู่ความไม่พอใจในพรรคการเมืองกระแสหลัก ประชาชนจะไปทางขวาสุดขั้วก็ได้ หรือจะไปทางซ้ายแบบสังคมนิยมก้าวหน้าก็ได้ และมันไม่มีอะไรอัตโนมัติ ถ้าฝ่ายซ้ายไม่เคลื่อนไหวและปลุกระดม คนจำนวนมากจะไปฟังนักการเมืองขวาสุดขั้วแทน ซึ่งเราเห็นปรากฏการณ์แบบนี้ในหลายประเทศ ในกรีซและสเปน มีการขยายคะแนนนิยมของฝ่ายซ้ายสังคมนิยม ในฝรั่งเศส ออสเตรีย และฮังการี่ มีการขยายตัวของฝ่ายขวาฟาสซิสต์ และทั่วยุโรปทัศนะเหยียดคนต่างชาติกำลังปะทะกับทัศนะฝ่ายซ้ายที่พยายามสมานฉันท์กับคนทุกเชื้อชาติ [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/3x298t6 ]

วิกฤตในประเทศกรีซ นำไปสู่การเลือกพรรคฝ่ายซ้าย “ไซรีซา” ซึ่งสัญญาว่าจะต้านนโยบายรัดเข็มขัดที่ทำลายมาตรฐานชีวิตของประชาชน นโยบายนี้สั่งลงมาจากกลุ่มอำนาจในอียู คือธนาคารกลาง กรรมการบริหารอียู และไอเอ็มเอฟ เมื่อรัฐบาลไซรีซาจัดประชามติว่าจะรับหรือไม่รับนโยบายดังกล่าวของอียู ประชาชนจำนวนมากลงคะแนนเสียงไม่รับ แต่รัฐบาลกลับหักหลังประชาชน แล้วไปเจรจารับนโยบายรัดเข็มขัดแทน โดยใช้ข้ออ้างว่าโดนกดดันอย่างหนักจากกลุ่มทุนใหญ่ในอียูและรัฐบาลเยอรมัน ซึ่งมีความจริงอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามพรรคไซรีซาไม่กล้าพากรีซออกจากสกุลเงินยูโรเพื่อลดอิทธิพลของอียู และไม่กล้าใช้พลังมวลชนเพื่อเปลี่ยนระบบ [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/3ntNBq8%5D

กรีซ

ความไม่พอใจต่อวิกฤตเศรษฐกิจและนโยบายรัดเข็มขัดในสเปน นำไปสู่การชุมนุมใหญ่ของเยาวชนกลางเมือง เพราะอัตราว่างงานของคนหนุ่มสาวสูงมาก ในการเลือกตั้งต่อจากนั้นพรรคกระแสหลักเสียคะแนนเสียงมากจนไม่มีพรรคไหนสามารถตั้งรัฐบาลได้ จึงต้องมีการเลือกตั้งใหม่ แต่ผลก็ไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันพรรคฝ่ายซ้ายโพดามอส ที่เพิ่มคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งแรก กลับเสียคะแนนเล็กน้อย สาเหตุสำคัญคือการที่แกนนำพรรคมีพฤติกรรมสองจิตสองใจตลอดเวลาว่าจะผลักดันนโยบายก้าวหน้าหรือไม่ เช่นเรื่องการคัดค้านการรัดเข็มขัด หรือการรณรงค์ให้รัฐต่างๆ ในสเปนมีความอิสระมากขึ้น พรรคนี้เติบโตมาเพราะสะท้อนกระแสต้านนโยบายเสรีนิยม และสะท้อนความไม่พอใจของคนหนุ่มสาว

ในสถานการณ์วิกฤตหนัก ฝ่ายซ้ายในกรีซและสเปนถูกทดสอบอย่างหนัก และผลคือสอบตก เพราะในสเปนพรรคโพเดมอสในที่สุดไปเข้ารัฐบาลกับพรรคสังคมนิยมปฏิรูปและผลักดันแนวเสรีนิยมกลไกตลาด และในกรีซพรรคไซรีซาก็หักหลังประชาชนจนในที่สุดแพ้การเลือกตั้ง

ในกรณีฝรั่งเศส ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เป็นผู้นำฝ่ายขวากระแสหลักที่สร้างพรรค “ใหม่”หลังจากการล่มสลายของพรรคนายทุนกับพรรคสังคมนิยมปฏิรูป มาครงมุ่งหน้าพยายามทำลายฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนผู้ทำงาน และทำลายสิทธิของสหภาพแรงงานจนเกิดการนัดหยุดงานทั่วประเทศกับการประท้วงของขบวนการเสื้อกั๊กเหลือง รัฐบาลของเขาใช้นโยบายรัดเข็มขัดกับประชาชนธรรมดา แต่ตัว มาครง เองก็ใช้เงินภาษีประชาชนเพื่อซื้อชุดกินข้าวหรูราคาเป็นแสน และสั่งสร้างสระว่ายน้ำในทำเนียบฤดูร้อน นอกจากนี้เขาพร้อมจะคบจับมือกับทรราชรอบโลก และใช้นโยบายเหยียดสีผิวเชื้อชาติ ซึ่งไปให้กำลังใจกับพรรคฟาสซิสต์ “รวมพลังชาติ” ของ เลอ แปน

Le Pen ในฝรั่งเศส

ในอิตาลี่วิกฤตทางการเมืองไม่ต่างจากที่อื่น เพียงแต่มีเรื่องการโกงกินคอร์รับชั่นเข้ามาเป็นปัจจัยเสริม ท่ามกลางการล่มสลายของพรรคกระแสหลัก ซึ่งเราต้องรวมพรรคคอมมิวนิสต์ในนั้นเพราะแปรไปเป็นพรรคเสรีนิยม พรรคใหม่ๆ เช่นพรรคห้าดาว และพรรคฟาสซิสต์ก็เพิ่มคะแนนเสียง

ในเยอรมัน รัฐบาลผสมระหว่างพรรคนายทุน CDU และพรรคสังคมประชาธิปไตย SPD เสียคะแนนเสียงอย่างต่อเนื่องจนแนวร่วมระหว่างสองพรรคนี้พัง ขณะนี้พรรค SPD สร้างแนวร่วมกับพรรคกรีนเพื่อตั้งรัฐบาล แต่พรรคฟาสซิสต์ก็ขยายฐานเสียง ส่วนพรรคฝ่ายซ้าย Die Linke ที่เคยเพิ่มคะแนนหลังวิกฤตปี2008 มีปัญหาเพราะคะแนนเสียงลดลงอันเนื่องมาจากการทำแนวร่วมกับพรรคกระแสหลักในรัฐต่างๆ และสนับสนุนนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด

ในอังกฤษกระแสที่เห็นชัดคือการขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคแรงงานของคอร์บิน ซึ่งในตอนแรกประชาชนจำนวนมากตื่นเต้นกับนโยบายซ้ายๆ ของเขาจนเกือบชนะการเลือกตั้ง แต่หลังจากนั้นพวก สส.ฝ่ายขวาในพรรคแรงงานกดดันให้เขาเปลี่ยนจุดยืนและเอียงไปทางขวา ซึ่งทำให้แพ้การเลือกตั้งในที่สุด [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/3kQAZrq ]

ปรากฏการณ์ความรู้สึกแปลกแยกและห่างเหินจากการเมืองกระแสหลัก เห็นได้ชัดจากผลประชามติอังกฤษด้วย เพราะคนที่ลงคะแนนให้อังกฤษ “ออก” มีแนวโน้มจะยากจนและอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่อุตสาหกรรมเก่าถูกทำลาย มันมีกระแสเหยียดเชื้อชาติที่ถูกปลุกระดมโดยนักการเมืองฝ่ายขวาทั้งสองฝ่าย คือพวกที่สนับสนุนอียูและพวกที่อยากออก แต่สาเหตุหลักที่คนจำนวนมากโหวดออกก็เพราะทนไม่ไหวที่จะอยู่ต่อไปแบบเดิม

ข้อสรุปสำคัญสำหรับเราชาวมาร์คซิสต์ จากวิกฤตการเมืองในยุโรปคือ ถ้าพรรคฝ่ายซ้ายไปประนีประนอมกับนโยบายทุนนิยมกลไกตลาดเสรี อย่างเช่นในกรีซ สเปน เยอรมัน หรืออังกฤษ มันจะนำไปสู่ความหายนะ และถ้าไม่มีการสร้างขบวนการต้านการเหยียดเชื้อชาติสีผิว พวกฟาสซิสต์มีโอกาสโตได้ ตัวอย่างที่แย่ที่สุดคือกรณีฝรั่งเศส ซึ่งต่างจากอังกฤษที่มีขบวนการดังกล่าว

การสร้างพรรคสังคมนิยมปฏิวัติแนวมาร์คซิสต์ เป็นสิ่งที่ทำได้ในทุกประเทศและจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกวันนี้เราเผชิญหน้ากับสามวิกฤตที่มาจากลักษณะของระบบทุนนิยม คือวิกฤตโลกร้อน วิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตโควิด ซึ่งนักการเมืองกระแสสหลักไม่มีวันแก้ปัญหาที่เกิดจากสามวิกฤตนี้ได้ เพราะยึดติดกับกรอบของระบบทุนนิยม [อ่านเพิ่ม สามวิกฤตของทุนนิยม https://bit.ly/2XKQ69L ]

ทุกวันนี้กระแสการต่อสู้และความไม่พอใจของคนหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นในทุกที่ [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/30EsGaG  ] และนี่คือสิ่งที่สร้างความหวังให้กับนักสังคมนิยมมาร์คซิสต์ โดยเฉพาะในเครือข่าย IST (International Socialist Tendency) เราไม่หดหู่เหมือนพวกที่หลงใหลในระบบการเลือกตั้ง หรือแนวเสรีนิยม เราเป็นนักปฏิวัติที่สู้เพื่อการปฏิรูปอย่างถึงที่สุด

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถอดรหัสแถลงการณ์ของรัฐบาลตะวันตกเกี่ยวกับประชามติไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลายคนที่อยากเห็นประชาธิปไตยไทยในไทย แต่มองไม่ออกว่าเราจะต่อสู้เพื่อสิ่งนี้อย่างไร มักจะไปตั้งความหวังว่าจะมี “อัศวินม้าขาว” มากำจัดเผด็จการให้เรา หลายคนตั้งความหวังกับสหประชาชาติ และหลายคนหลอกตนเองว่ารัฐบาลสหภาพยุโรป (อียู) หรือรัฐบาลสหรัฐ จะคอยวิจารณ์และกดดันให้รัฐบาลประยุทธ์เปิดให้มีประชาธิปไตย

แต่ความจริงในโลกไม่เป็นเช่นนั้น พิสูจน์ได้จากการถอดรหัสแถลงการณ์ต่างๆ ของรัฐบาลตะวันตกหลังผลของประชามติ

ทูตสหรัฐประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ดังนี้:

“หลังผลประชามติออกมา สหรัฐอเมริกา ในฐานะมิตรเก่าแก่และพันธมิตรของประเทศไทย ขอชักชวนให้รัฐบาลกลับสู่ระบบรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว และในกระบวนการนี้เราขอเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการต่างๆ ที่ลิดรอนสิทธิมนุษยชน รวมถึงสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ”

[ดู http://bit.ly/2aPzqGY ]

ส่วนผู้แทนของอียูออกแถลงการณ์ที่มีใจความดังนี้:

“สหภาพยุโรปมองว่าช่วงก่อนวันลงประชามติ มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพพื้นฐานอย่างมาก โดยเฉพาะในการถกเถียงแลกเปลี่ยน และมีการปิดกั้นการรณรงค์ทางการเมือง เรามองว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่การลิดรอนสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ ที่กระทำอยู่ในปัจจุบัน ต้องถูกยกเลิก เพื่อให้กระบวนการทางการเมืองเปิดกว้าง ตรวจสอบได้ และประกอบไปด้วยการมีส่วนร่วม สหภาพยุโรปเรียกร้องให้ทางการไทยสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยแท้ และการเลือกตั้ง”

[ดู http://bit.ly/2auzDR7 ]

ถ้าเราอ่านดีๆ และคิดแบบลงลึก เราจะเห็นว่าไม่มีการเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญเผด็จการแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญนี้จะต่ออายุเผด็จการทหารไปนานพร้อมกับแช่แข็งอิทธิพลของกองทัพในระบบการเมืองไทย

ดังนั้นในรูปธรรมรัฐบาลตะวันตกกำลังขอให้รัฐบาลทหารไทยจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว โดยไม่มีการรื้อถอนรัฐธรรมนูญมีชัย ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลตะวันตกจะยอมรับระบบประชาธิปไตยครึ่งใบของประยุทธ์ถ้าแค่มีการเลือกตั้ง

ยิ่งกว่านั้นแถลงการณ์ของอียูกล่าวต่อไปว่า “พลเมืองทุกฝ่ายควรจะพูดคุยกัน และทำงานร่วมกันอย่างสันติ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการเลือกตั้ง” ซึ่งในรูปธรรมหมายความว่ารัฐบาลอียูต้องการให้พวกเราร่วมมือกับสลิ่ม ประชาธิปัตย์ และทหาร ในกระบวนการประชาธิปไตยครึ่งใบ

จริงๆ จุดยืนของรัฐบาลตะวันตกที่มีคำสวยเรื่องประชาธิปไตยเป็นผักชีโรยหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลก รัฐบาลหลักๆ ของประเทศในอียูเป็นรัฐบาลฝ่ายขวาของพรรคนายทุน สหรัฐก็ไม่ต่าง หลายรัฐบาลละเมิดสิทธิพลเมืองภายในประเทศ และทำสงครามในประเทศอื่นเป็นประจำ ดังนั้นเราจะไปหวังอะไรได้กับพวกนี้

สิ่งที่รัฐบาลตะวันตกอยากเห็นในประเทศไทยคือระบบที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่ไม่เป็นจริง เขาจะได้มีความชอบธรรมในสายตาพลเมืองภายในประเทศของเขา ในการร่วมมือกับรัฐบาลไทย ทั้งในเรื่องการค้าขายและในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ

ลึกๆ แล้วรัฐบาลตะวันตกสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและรัฐ ในระบบจักรวรรดินิยมทั่วโลก เขาไม่สนใจสิทธิเสรีภาพของเราแต่อย่างใด

ใครที่คิดว่ารัฐบาลตะวันตกจะเป็น “อัศวินม้าขาว” ที่จะช่วยเราให้มีสิทธิเสรีภาพ กำลังหลอกตนเอง

ไม่มีใครคนอื่นที่ไหนที่จะสร้างประชาธิปไตยให้เรา ไม่ว่าจะเป็นต่างชาติ หรือนักกล้าหาญปัจเจกที่เป็นคนไทย อานาคตของเสรีภาพอยู่ที่มวลชน และเสรีภาพนั้นจะเกิดเร็วขึ้นถ้าท่านมีส่วนร่วมในการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยมวลชนเป็นแสน

อ่านเพิ่ม http://bit.ly/2b9bGhA