Tag Archives: สังคมไทย

สังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ คือเสรีประชาธิปไตยที่แท้จริง

ก่อนอื่นขอฟันธงว่า “สังคมนิยม” หรือ “คอมมิวนิสต์” ไม่ใช่สิ่งเดียวกับเผด็จการ “สตาลิน/เหมา” ที่เคยมีในรัสเซีย และยังมีในจีน เกาหลีเหนือ หรือคิวบา และไม่ใช่สิ่งเดียวกับเป้าหมายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต ในท้ายบทความนี้จะอธิบายรายละเอียด แต่ก่อนอื่นขอเสนอว่าสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์คืออะไร

     มาร์คซ์ เองเกิลส์ เลนิน ตรอทสกี ลัคแซมเบอร์ค และกรัมชี่ มองว่า “สังคมนิยม” เป็นสังคมทางผ่านไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์สมบูรณ์ แต่เราไม่ควรยึดติดกับคำ เพราะในยุคนี้ทั้งสองคำมีความหมายเหมือนกัน และเป็นสังคมที่ไม่มีระบบทุนนิยมแล้วเพราะถูกปฏิวัติยกเลิกไป

     สังคมนิยมคือวิธีการจัดการบริหารสังคมมนุษย์โดยเน้นความร่วมมือกันระหว่างพลเมือง เน้นความสมานฉันท์และเน้นความเท่าเทียมกัน แทนที่จะเน้นการแย่งชิงกัน หรือการเอารัดเอาเปรียบกัน ที่มาจากระบบความคิด “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” ของทุนนิยมตลาดเสรี

     สังคมนิยมเป็นระบบที่ไม่มีชนชั้น คือไม่มีเจ้านายและผู้ถูกปกครอง ไม่มีคนส่วนน้อยที่ครอบครองทรัพยากรเกือบทั้งหมดในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่มีอะไรนอกจากการทำงานเพื่อคนอื่น มันเป็นระบบที่ยกเลิกนายทุนและลูกจ้าง และที่สำคัญคือเป็นระบบที่มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ แทนที่จะถูกจำกัดอยู่ในกรอบ สังคมนิยมคือสภาพมนุษย์ที่เป็นปัจเจกเสรีในระดับสูงสุดผ่านกระบวนการร่วมมือกับคนอื่นๆ ในสังคม

     ในระบบทุนนิยม ถ้าเรามีประชาธิปไตย มันก็แค่ประชาธิปไตยครึ่งใบเท่านั้น เพราะถึงแม้ว่าเราอาจมีโอกาสลงคะแนนเสียงเลือกรัฐบาล หรืออาจมีเสรีภาพในการแสดงออกบ้าง แต่เราไม่มีสิทธิ์ในการออกแบบและควบคุมเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจ การลงทุน และการผลิต ถูกควบคุมโดยนายทุนในรูปแบบการผูกขาดอำนาจ และเราไม่มีโอกาสร่วมในการปกครองตนเอง เพราะเรายังมีคนมาปกครองเราภายใต้ระบบชนชั้น ในระบบทุนนิยมนี้ แม้แต่ในประเทศที่ไม่มีกฏหมายเผด็จการแบบ 112 ที่จำกัดเสรีภาพในการแสดงออก ก็ยังมีข้อจำกัดอื่นเช่นประเด็นว่าใครครองสื่อมวลชนเป็นต้น ดังนั้นสิทธิในการแสดงออกของคนธรรมดากับนายทุนสื่อ ต่างกันในรูปธรรม

     ในสังคมปัจจุบันเราไม่มีโอกาสเลือกว่าเราจะ “เป็นใคร” หรือ “เป็นอะไร” อย่างเสรี เพราะเราต้องไปหางานภายใต้เงื่อนไขนายทุน เด็กถูกแยกและคัดเลือกตั้งแต่อายุยังน้อย แยกออกว่าจะเป็น “ผู้ประสพความสำเร็จ” หรือเป็น “ผู้ไม่สำเร็จ” และเกือบทุกครั้งมันขึ้นอยู่กับว่าเด็กนั้นเกิดในตระกูลไหน มนุษย์จำนวนมากจึงไม่สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มที่ท่ามกลางระบบชนชั้น

     ความ “เท่าเทียม” ของสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “ความเหมือนกัน” เพราะสังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะเป็นปัจเจกเต็มที่ มันเปิดโอกาสให้เรามีนิสัยใจคอ วิถีชีวิต และรสนิยมตามใจชอบ แทนที่จะต้องแต่งเครื่องแบบ ถูกบังคับให้ทำงานเหมือนหุ่นยนต์ และมีวิถีชีวิตในกรอบศีลธรรมและรสนิยมของชนชั้นปกครอง

     นักสังคมนิยมชื่อดัง เช่น คาร์ล มาร์คซ์ หรือ ลีออน ตรอทสกี้ เคยวาดภาพว่าภายใต้สังคมนิยมเราจะสามารถเป็นศิลปินหรือนักวิทยาศาสตร์ในตอนเช้า และเป็นช่างฝีมือหรือนักกิฬาในตอนบ่ายได้ ชีวิตแบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานโดยสิ้นเชิง เพราะเดิมมนุษย์รักการทำงานที่สร้างสรรค์ แต่พอเราตกอยู่ในสังคมชนชั้น งานกลายเป็นเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อภายใต้คำสั่งของคนอื่น งานในระบบสังคมนิยมจะเป็นสิ่งที่เราอยากทำเพราะมันจะทำให้เรามีความสุขและรู้สึกว่าเรามีผลงานที่น่ายกย่องภูมิใจ

     แน่นอนงานบางอย่างคงไม่มีวันสนุกได้ เช่นการซักผ้า เก็บขยะ หรือการทำความสะอาดส้วม แต่งานแบบนั้นเราใช้เครื่องจักรมาทำแทนได้บ้าง และที่ยังต้องอาศัยมนุษย์ก็ผลัดกันทำ ไม่ใช่ว่ามีบางคนในสังคมที่ต้องทำงานแบบนี้ตลอดชีพ

     สังคมนิยมจะเป็นระบบการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบทุนนิยม เพราะมีการวางแผนการผลิต ผ่านระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของพลเมือง ไม่ใช่นายทุนแข่งกันผลิตเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายจนเกิดการล่มจมและปิดโรงงานหรือเลิกจ้าง อย่างที่เราเห็นทั่วโลกตอนนี้ และสังคมนิยมจะไม่เปลืองทรัพยากรโดยการโฆษณาให้พลเมืองซื้อสิ่งที่ไม่ต้องการหรือไม่จำเป็น ยิ่งกว่านั้นถ้าเรากำจัดการแข่งขันแบบตลาด ซึ่งเป็นแค่ระบบ “ตัวใครตัวมัน” เราจะกำจัดความจำเป็นของการทำสงครามและประหยัดงบประมาณทหารมหาศาล การจัดการบริการประชาชนในปริมาณระดับคนหมู่มาก จะยิ่งประหยัดค่าใช้จ่ายอีก เรามั่นใจตรงนี้ได้เพราะระบบสาธารณสุขและการศึกษาแบบ “ถ้วนหน้า” ในระบบทุนนิยมที่มีรัฐสวัสดิการ ยังเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการบริการประชาชนผ่านบริษัทเอกชนหลายบริษัท

     ในระบบสังคมนิยมพลเมืองจะสามารถควบคุมคุณภาพ และออกแบบระบบการบริการได้อีกด้วย ผ่าน “สภาประชาชน” ในระดับถานที่ทำงาน ท้องถิ่น หรือภูมิภาค

     สภาประชาชนที่ว่านี้ เคยถูกออกแบบมาโดยคนทำงานธรรมดาในคอมมูนปารีส หรือหลังการปฏิวัติรัสเซียในยุคก่อนที่สตาลินจะยึดอำนาจ มันเป็นสภาที่เราถอดถอนผู้แทนที่เราเลือกมาได้ทุกเมื่อ เพื่อควบคุมเขาอย่างเต็มที่ มันเป็นระบบที่มีเขตการเลือกตั้งในสถานที่ทำงาน เพื่อควบคุมทั้งเศรษฐกิจและการเมืองพร้อมๆ กัน และมันเป็นสภาที่ผู้แทนไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน ไม่กินเงินเดือนมากกว่าคนธรรมดา ต่างจากรัฐสภาในระบบทุนนิยมโดยสิ้นเชิง

     ในระบบสังคมนิยมเราจะขยันลบล้างความคิดล้าหลังในหมู่พลเมือง ที่นำไปสู่การดูถูกสตรี เกย์ ทอม ดี้ กะเทย คนต่างชาติ หรือคนกลุ่มน้อย และมนุษย์จะสามารถรักกันด้วยหัวใจ แทนที่จะรักกันภายใต้เงื่อนไขของเงินหรือศีลธรรมจอมปลอม

     สังคมนิยมคือระบบที่เราร่วมกันผลิตสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ต้องการ และเพื่อที่จะตอบสนองความต้องการดังกล่าว จะใช้ระบบการทำงานของทุกคนตามความสามารถของแต่ละคน

ข้อเสียของทุนนิยม

ในระบบทุนนิยมมีการผลิตเพื่อกำไรของนายทุนอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อกำไรลดลง ก็จะเลิกผลิต ทั้งๆ ที่คนยังต้องการสินค้ามากมาย มันจึงเกิดวิกฤตแห่งการผลิต “ล้นเกิน” ท่ามกลางความอดอยากเสมอ ทุนนิยมนี้ไร้ประสิทธิภาพจริงๆ และทุกวันนี้เราเห็น “วิกฤตสามชนิดซ้อนกัน” ของระบบทุนนิยม ซึ่งมีผลในการทำลายวิถีชีวิตของมนุษย์ทั้งโลก ถึงขนาดที่เราไม่รู้ว่ามนุษย์จะมีอนาคตหรือไม่

     วิกฤตแรกคือวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้การผลิตชะลอตัวมาหลายปี และเมื่อมีการ “ฟื้นตัว” ของเศรษฐกิจก็จะเป็นการฟื้นตัวที่อ่อนแอไม่มั่นคง นี่คือสภาพของระบบเศรษฐกิจโลกแบบทุนนิยมที่มีต้นเหตุจากการลดลงของอัตรากำไร [อ่านเพิ่ม วิกฤตเศรษฐกิจ https://bit.ly/2v6ndWf ]

     วิกฤตที่สองคือวิกฤตโลกร้อนที่มาจากการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอนในระบบอุตสาหกรรมทุนนิยม  และเราเริ่มเห็นภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างน่าใจหาย ในอนาคตอันใกล้จะมีหลายพื้นที่ของโลกที่มนุษย์อยู่ต่อไม่ได้เพราะขาดน้ำ ร้อนเกินไป หรือถูกน้ำทะเลท่วม นักวิทยาศาสตร์ นายทุน และนักการเมืองรู้เรื่องนี้มานานแต่ไม่สามารถแก้อะไรได้ เพราะระบบการแข่งขันในตลาดเสรีเพื่อเพิ่มกำไรแปลว่าไม่มีใครอยากลงทุนอย่างจริงจังเพื่อยกเลิกการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอน [อ่านเพิ่ม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F นักเคลื่อนไหวไทยควรร่วมต้านปัญหาโลกร้อน https://bit.ly/2ZWipnF ]

     วิกฤตที่สาม คือวิกฤตโควิด ซึ่งเกิดจากการที่ระบบการเกษตรทุนนิยมรุกเข้าไปในพื้นที่ป่าดั้งเดิม ซึ่งทำให้สัตว์ป่าอย่างเช่นค้างคาว เข้ามาสัมผัสกับชุมชนแออัดในเมืองหรือฟาร์มขนาดใหญ่ และเปิดโอกาสให้เชื้อไวรัสกระโดดสู่มนุษย์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่ออาชีพการทำงานและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เมื่อมีการล็อกดาวน์ และแน่นอนผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือคนจนและคนที่มีสถานภาพไม่มั่นคง เช่นคนงานข้ามชาติเป็นต้น [อ่านเพิ่มวิกฤตโควิด https://bit.ly/2UA37Cx ]

     สามวิกฤตซ้อนกันของทุนนิยมปัจจุบัน พิสูจน์ว่าเราต้องต่อสู้เพื่อสังคมใหม่

สังคมนิยมสองรูปแบบ

จะมีคนที่คิดว่าตนเองเป็น “ผู้รู้” และมาบอกเราว่า “สังคมนิยมสร้างไม่ได้” เพราะมันล้มเหลวที่รัสเซีย ยุโรปตะวันออก เวียดนาม ลาว หรือจีน และแถมมันเป็นเผด็จการด้วย ใช่ระบบการปกครองและระบบเศรษฐกิจที่เคยมีหรือยังมีอยู่ในประเทศเหล่านั้น มันเป็นเผด็จการที่ไม่มีเสรีภาพ และยิ่งกว่านั้นมันไม่มีความเท่าเทียมด้วย มันเป็นระบบชนชั้นที่กดขี่ขูดรีดพลเมืองในนามของ “สังคมนิยม” โดยพรรคคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อเราวิเคราะห์ที่มาที่ไปของระบบเหล่านี้ จะพบว่ามันเกิดขึ้นครั้งแรกในรัสเซียบนความพ่ายแพ้และซากศพของการปฏิวัติหลังจากที่เลนินเสียชีวิต มันเป็นการสร้าง “ทุนนิยมโดยรัฐ” โดยสตาลิน และในประเทศอื่นๆ หลังจากนั้นก็ลอกแบบกันมา ในจีนมันเป็นการปฏิวัติชาตินิยมของพรรคเผด็จการ และถ้าเราเปรียบเทียบบางเรื่องที่เห็นในเกาหลีเหนือทุกวันนี้ เราจะพบว่าคล้ายๆ ทุนนิยมตลาดเสรีของประเทศไทยอีกด้วย การวิเคราะห์ว่าระบบ “สตาลิน-เหมา” ตรงข้ามกับสังคมนิยม ไม่ใช่สิ่งที่พึ่งทำกัน แต่เป็นการวิเคราะห์ของนักมาร์คซิสต์อย่าง ลีออน ตรอทสกี หรือโทนนี่ คลิฟ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

     แนวคิดสังคมนิยมมีสองรูปแบบที่แตกต่างกันคือ

1.       สังคมนิยมจากบนสู่ล่าง เช่นสังคมนิยมที่มาจากการสร้างเผด็จการของกลุ่มข้าราชการพรรคคอมมิวนิสต์ในรัสเซียกับจีน(ภายใต้สตาลินกับเหมา) หรือสังคมนิยมปฏิรูปที่มาจากการกระทำของ ส.ส. พรรคสังคมนิยมในรัฐสภา สังคมนิยมดังกล่าวเป็นสังคมนิยมประเภท “ท่านให้” ซึ่งเป็นสังคมนิยมจอมปลอม บัดนี้สังคมนิยมจากข้างบนเข้าสู่วิกฤติทางการเมืองเนื่องจากการล่มสลายของการปกครองลัทธิสตาลินในรัสเซียและจีน และการที่แนวพรรคสังคมนิยมปฏิรูปในยุโรป เช่นพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยในเยอรมันและพรรคแรงงานในอังกฤษไม่พร้อมที่จะออกจากกรอบทุนนิยมตลาดเสรี และในเมื่อทุนนิยมมีวิกฤติเศรษฐกิจเรื้อรัง ก็ไม่สามารถใช้นโยบายรัฐสวัสดิการต่อไปในรูปแบบเดิม พรรคเหล่านี้จึงหันมาอ้างถึง “แนวทางที่สาม” ซึ่งเท่ากับการประนีประนอมกับระบบกลไกตลาดเสรีนั่นเอง

     ลัทธิสตาลินถือได้ว่าเป็นลัทธิที่สร้างขึ้นจากการปฏิวัติซ้อนที่ทำลายการปฏิวัติสังคมนิยมรัสเซีย เราต้องเข้าใจว่าลัทธิสตาลินเป็นลัทธิปฏิกิริยาและอนุรักษ์นิยมชนิดหนึ่งที่ตรงข้ามกับลัทธิมาร์คซ์และลัทธินี้มีอิทธิพลครอบงำการทำงานของนักต่อสู้ในประเทศไทยในสมัยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

2.       สังคมนิยมจากล่างสู่บน เป็นสังคมนิยมที่สร้างโดยมวลชนกรรมาชีพเองร่วมกับชาวนาระดับยากจน โดยอาศัยการปฏิวัติล้มระบบทุนนิยมเพื่อสถาปนารัฐกรรมาชีพ และรัฐกรรมาชีพดังกล่าวต้องมีกลไกในการควบคุมรัฐตามแนวประชาธิปไตยอย่างชัดเจน เช่นต้องมีสภาคนงานในรูปแบบคอมมูนปารีส หรือสภาโซเวียตหลังการปฏิวัติรัสเซีย 1917 ที่นำโดยเลนิน สังคมนิยมประเภทนี้คือสังคมนิยมแบบ มาร์คซิสต์เพราะสังคมนิยมเหมือนกับประชาธิปไตยหรือสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ไม่มีใครยกให้ได้ ต้องมาจากการต่อสู้เรียกร้องของมวลชนเอง

สังคมนิยมไม่ใช่แค่ความฝันแบบอุดมการณ์

คงจะมีคนล้าหลังหดหู่ที่พูดเหมือนแผ่นเสียงตกร่องว่า “มันเป็นแค่ความฝัน มันอุดมการณ์เกินไป” แต่เรามีคำตอบหลายประการ

     ในประการแรกสังคมนิยมไม่ใช่ “สวรรค์” เพราะมันจะไม่แก้ปัญหาทุกอย่างในสังคมมนุษย์ แต่มันจะเป็นการสร้างเสรีภาพ ความเท่าเทียม และความอยู่ดีกินดี เราคงต้องลองถูกลองผิดไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยมันเป็นจุดเริ่มต้น

     ในประการที่สองสังคมนิยมสร้างขึ้นได้เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่ ค่อยๆ เปลี่ยนความคิดจากความคิดคับแคบที่มาจากการกล่อมเกลาในระบบทุนนิยม นี่คือสาเหตุที่ คาร์ล มาร์คซ์ เสนอว่าเราต้องปฏิวัติ เพราะการปฏิวัติล้มรัฐนายทุน จะเป็นโอกาสทองที่เราจะร่วมกัน “ล้างขยะแห่งประวัติศาสตร์ออกจากหัวเรา”

     ในประการที่สาม เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์มนุษย์ ตั้งแต่เราวิวัฒนาการมาจากลิง เราจะพบว่าประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของเราเป็นประวัติของสังคมที่ไม่มีชนชั้น คือเราร่วมมือกันเต็มที่ ทุนนิยมเองก็พึ่งมีมาสองร้อยกว่าปีเอง ในขณะที่มนุษย์อยู่บนโลกมานานถึงสองแสนห้าหมื่นปี และแม้แต่ในสังคมปัจจุบัน เราก็เห็นตัวอย่างของการร่วมมือกันหรือความสมานฉันท์เสมอ สังคมนิยมใกล้เคียงกับ “ธรรมชาติมนุษย์” มากกว่าความเห็นแก่ตัวของทุนนิยม

     อย่างไรก็ตามสังคมบุพกาลที่ไม่มีชนชั้นในอดีต ล้วนแต่เป็นสังคมที่มีความขาดแคลน มันจึงเป็นสังคมเท่าเทียมท่ามกลางความยากจน แต่ปัจจุบันเรามีความสามารถที่จะตอบสนองความต้องการของมนุษย์ทุกคน เพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีและสบายได้ สังคมนิยมจึงต้องอาศัยความก้าวหน้าที่เคยเกิดขึ้นในสังคมชนชั้น โดยเฉพาะระบบทุนนิยม แต่ทุนนิยมมันไม่ดีพอ เพราะมันไม่สามารถแจกจ่ายทรัพยากรให้ทุกคนได้ และมันเกิดวิกฤตและสงครามเป็นประจำ มันเหมือนกับว่ามนุษย์สร้างหัวจักรรถไฟที่มีพลังมหาศาลขึ้นมา แล้วขับรถไฟไม่เป็น เพราะคนขับคือนายทุนที่มีวัตถุประสงค์อื่น มันเลยตกรางเป็นประจำหรือชนกับรถไฟอื่น สังคมนิยมจะเปิดโอกาสให้เราทุกคนขับรถไฟได้อย่างปลอดภัย

     พวกล้าหลังจำนวนมากชอบพูดว่า “สังคมนิยมล้าสมัย” แต่ระบบทุนนิยมเก่ากว่าความคิดสังคมนิยม ถ้าอะไรล้าหลังก็คงต้องเป็นทุนนิยม และยิ่งกว่านั้นการบูชาสังคมชนชั้นที่เต็มไปด้วยการกดขี่มันเป็นเรื่องโบราณและอดีต ในขณะที่การเสนอสังคมใหม่ที่เสรีและเท่าเทียมเป็นการมองอนาคต

     ในประการที่สี่ สังคมนิยมคือความใฝ่ฝันของมนุษย์ ซึ่งในอดีตมนุษย์ที่เป็นทาสเคยฝันว่าจะมีเสรีภาพ มนุษย์ที่เป็นไพร่เคยฝันว่าจะมีสิทธิ์เลือกตั้ง สตรีเคยฝันว่าจะเท่าเทียมกับชาย และสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นจริงในโลกเรา แต่ถ้าเรามัวแต่ฟังพวก “กาดำหดหู่” ที่บอกว่ามัน “อุดมกาณ์เกินไป” ความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ไม่มีวันเกิด

     ในประการที่ห้า สังคมนิยมคือระบบที่เน้นวิทยาศาสตร์และความคิด “วัตถุนิยม” ที่ติดดินและเป็นรูปธรรม แต่ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่เต็มไปด้วยไสยศาสตร์ และความเชื่อเพี้ยนๆ เช่นเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของคนบางคน และมันเต็มไปด้วยการพยายามหลอกให้ประชาชนส่วนใหญ่กระทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับผลประโยชน์ของเขา เช่นการยอมรับการกดขี่ขูดรีด หรือการคลั่งชาติที่นำไปสู่การฆ่ากันเองของคนจนเป็นต้น ถึงแม้ว่าทุนนิยมเป็นระบบที่เคยถูกสร้างขึ้นมาบนความคิดวิทยาศาสตร์ แต่เนื่องจากมันเป็นระบบที่อำนาจอยู่ในมือคนส่วนน้อย การปกป้องทุนนิยมในยุคปัจจุบันกระทำบนพื้นฐานความเพ้อฝันและการหลอกลวง มันเป็นการฝันร้ายของมนุษย์    

     ในประการที่หก สังคมนิยมคือเป้าหมายในจิตใจคนที่รักเสรีภาพและความเท่าเทียม แต่มันไม่เกิดง่ายๆ นักสังคมนิยมไม่เคยหลอกตัวเองว่าถ้านั่งอ่านหนังสือที่บ้านมันจะเกิดโดยอัตโนมัติ เราต้องขยันสร้างเครื่องมือที่จะล้มอำนาจเผด็จการของรัฐทุนนิยม เพื่อสร้างรัฐใหม่ของคนทำงาน เครื่องมือนั้นคือพรรคปฏิวัติสังคมนิยม สหภาพแรงงาน และขบวนการเคลื่อนไหวของมวลชน เราต้องมีสื่อของเรา เราต้องขยายสมาชิกพรรค เราต้องฝึกฝนการต่อสู้ซึ่งแน่นอนจะมีทั้งแพ้และชนะ มีทั้งการก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยหลังสองก้าว

ศึกษาสังคมนิยม สร้างพรรค สร้างขบวนการมวลชน เพื่อล้มระบบชนชั้น!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

คลังบทความแนวสังคมนิยมว่าด้วยการเมืองยุคปัจจุบัน

ใจ อึ๊งภากรณ์

เชิญอ่านและใช้คลังบทความของผม ที่ใช้แนวสังคมนิยมมาร์คซิสต์วิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ในโลกสมัยใหม่

200 ปีหลังยุคของคาร์ล มาร์คซ์ แนวคิดมาร์คซิสต์เป็นสิ่งที่ไม่เคยตาย และไม่ใช่เรื่องของการท่องหนังสือของมาร์คซ์จากอดีต

นักมาร์คซิสต์สมัยใหม่จะต้องสนใจปัญหาภาพรวมทั่วโลกในลักษณะหลากหลาย และยิ่งกว่านั้นนักมาร์คซิสต์เป็นผู้ผสมทฤษฏีกับการปฏิบัติเสมอ ทั้งนี้เพื่อเข้าใจและเปลี่ยนแปลงโลกอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นนักมาร์คซิสต์จะต้องให้ความสำคัญกับการสร้างพรรคปฏิวัติสังคมนิยมและการต่อสู้ประจำวันอย่างต่อเนื่อง

ลาตินอเมริกา https://bit.ly/2DlwMsp

 

สิ่งแวดล้อม โลกร้อน และ Anthropocene https://bit.ly/2QMpL6F

 

ความคิดมาร์คซิสต์ในโลกสมัยใหม่

200ปี คาร์ล มาร์คซ์ https://bit.ly/2xJqMnn      

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทย https://bit.ly/2BYxAyd

ว่าด้วยทุน https://bit.ly/2iWRQtY

วิกฤตเศรษฐกิจ https://bit.ly/2v6ndWf

ทฤษฏีมูลค่าแรงงาน https://bit.ly/2zozGbS

การเมืองไทย https://bit.ly/2t6CapR

สังคมนิยมในทัศนะของมาร์คซ์ https://bit.ly/2zoAiy5

 

การกดขี่ทางเพศ https://bit.ly/2QQr5VX

รัฐสวัสดิการ https://bit.ly/2rOzlLy

การศึกษา https://bit.ly/2I9u7ki

ปาตานี https://bit.ly/2b5aCYI

 

เพิ่มเติม

Trotsky https://bit.ly/2zCPB5h

Rosa https://bit.ly/2DtwQWo

 

marx-virsam

สังคมไทยเป็นสังคมเหยียดเชื้อชาติ

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อตำรวจจับคน “เตะทราย” ใส่นักท่องเที่ยวบนชายหาด เพราะสตรีคนนั้นไม่ยอมเช่าเก้าอี้ริมหาด สังคมไทยก็ประโคมว่าเป็นคนเขมร และหลายคนคงมองว่า “คนไทยไม่ป่าเถื่อนแบบนี้” แต่ไม่มีใครถามอย่างจริงจัง ว่าเจ้านายคนงานเขมรคนนี้เป็นคนไทยหรือไม่ และเราต้องถามอีกว่ามีการกดดันให้คนงานมีพฤติกรรมแบบนี้หรือไม่

เมื่อทหารไทยภายใต้คำสั่งฆาตกร ประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ สุเทพ ยิงคนเสื้อแดงมือเปล่าตายที่ราชประสงค์ คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งสร้างนิยายว่าคงต้องเป็น “ทหารเขมร” เพราะ “คนไทยไม่ฆ่าคนไทย” แต่แล้วข้อมูลจริงก็ออกมาว่าอำมาตย์คนไทยฆ่าประชาชนคนไทยที่ราชประสงค์ และปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็น ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือยุควิกฤตปัจจุบัน

ทุกวันนี้มีคนไม่น้อยที่ใช้คำว่า “ลาว” แทนคำว่า “เสร่อ” “โง่” หรือ “ล้าหลัง”

ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากใช้คำว่า “แขก” เพื่อเหมารวมคนมาเลย์มุสลิมในปาตานี หรือคนอินเดีย ปากีสถาน อหร่าน อาหรับ ตุรกี หรือเพื่อนินทาคนเชื้อสายอินเดียหรืออิหร่านที่เป็นพลเมืองไทย มุมมองดูถูก “คนอื่น” แบบนี้มีส่วนในการทำให้ชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี กลายเป็นพลเมืองชั้นสองที่ถูกกดขี่ มันเป็นประเด็นสำคัญในสงครามกลางเมืองที่ดำรงอยู่ในภาคใต้

ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากใช้คำว่า “ไอ้มืด” ซึ่งแปลตรงกับคำเหยียดหยามภาษาอังกฤษ “Nigger” เพื่อกล่าวถึงคนผิวดำเชื้อสายจากทวีปอัฟริกา และมีการมองว่าคนอัฟริกาเป็นคนต้อยต่ำ สาวไทยจำนวนมากก็ใช้ครีมย้อมผิวตนเองให้ “ขาวขึ้น” เพื่อไม่ให้เหมือนคนต้อยต่ำ มีการยกอคติเหยียดสีผิวจากพวกฝ่ายขวาสุดขั้วในตะวันตก ที่มองว่า “ขาวคือสวย ดำคือน่าเกลียด”

ทุกวันนี้มีคนไทยจำนวนมาก รวมถึงนักวิชาการ  ที่ใช้คำว่า “ฝรั่ง” เพื่อเหมารวมและสร้างความต่างกับคนตะวันตก มันเป็นคำดูถูกจากโบราณ ไม่ต่างจากคำว่า “ผีขาว” ที่พวกชาตินิยมสุดขั้วในจีนใช้กัน

แต่คนไทยจำนวนมาก ไม่เคยสนใจจะศึกษาสังคมและประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นเลย พึงพอใจที่จะจมอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยฉบับอำมาตย์เท่านั้น มันเป็นสภาพเหยียดเชื้อชาติภายใต้ความโง่เขลา

คำเหล่านี้ที่เหมารวมเชื้อชาติต่างๆ ด้วยความดูถูก เพื่อเน้นความเลิศของ “ความเป็นไทย” ตรงกับแนวคิดของคนอย่างประยุทธ์ ที่ชอบพูดถึงประชาธิปไตยไทยๆ มันเป็นการเหมาว่าทุกคนในชาติหนึ่งจะเหมือนกันหมด มันเป็นการมองข้ามความหลากหลายและความขัดแย้งทางชนชั้นในทุกสังคม มันเหมือนคนโง่เหยียดสีผิวในตะวันตก ที่มองว่าคนไทยมีชื่อน่าขำ มีหน้าตาแบบ “ตาตี๋” และนักวิชาการหรือนักข่าวตะวันตกบางคน มองว่าคนไทยทุกคนเหมือนเด็ก ทำอะไรตลกๆ  กราบไหว้หมอบคลานต่อคนข้างบนด้วยความยินดี ยินดีขายร่างให้นักท่องเที่ยว และไร้จิตสำนึกทางการเมืองโดยสิ้นเชิง

เราก็น่าจะทราบดีว่า “ความเป็นไทย” มีความหลากหลาย และคนไทยมีหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษาปนกัน

ประชาชนในสังคมไทยถูกปั่นหัวโดยชนชั้นปกครองคลั่งชาติ ต้องร้องเพลงชาติ ยืนเคารพธงชาติ ซึ่งล้วนแต่เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อผู้ที่กดขี่เราทั้งสิ้น ในประเทศที่ฝ่ายซ้ายและขบวนการแรงงานเจริญ เช่นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป การต่อสู้ของฝ่ายซ้ายและขบวนการแรงงงานมีส่วนสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยและการลดกระแสเหยียดเชื้อชาติสีผิวที่แบ่งแยกเราเพื่อประโยชน์คนข้างบน

ผมนึกถึงคำเขียนของตรอทสกีเกี่ยวกับขบวนการฟาสซิสต์ในยุค 1930 ตรอทสกี้เขียนว่า “ชนชั้นกลางที่ก้มหัวต่อนายทุนใหญ่หวังจะกู้ศักดิ์ศรีทางสังคมด้วยการปรามชนชั้นกรรมาชีพและคนจน… พวกนี้มอมเมาตนเองในนิยายเกี่ยวกับความเลิศของเชื้อชาติตนเอง” ขณะนี้พลเมืองไทยไม่น้อย ก้มหัวให้อำมาตย์ ขยันใช้คำว่า “ท่าน” หรือศัพท์พิเศษอื่นๆ ในขณะที่เหยียดหยามคนที่ตัวเองมองว่าเป็น “คนต่าง” เพราะมอมเมากับนิยายความเลิศของ “ความเป็นไทย”

นี่คือแอกสำคัญทางความคิดที่เราต้องปลดออก ถ้าเราจะปลดแอกสังคมไทยจากเผด็จการ มาร์คซ์ เคยเขียนว่าตราบใดที่กรรมาชีพอังกฤษยังดูถูกคนไอริช กรรมาชีพอังกฤษไม่มีวันปลดแอกตนเอง ในไทยก็เช่นกัน ตราบใดที่คนไทยยังเหยียดเชื้อชาติอื่น คนไทยจะเป็นทาสต่อไป และเราจะไม่มีประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม