Tag Archives: สิทธิทำแท้ง

เราต้องสู้เพื่อสิทธิทำแท้งเสรีและปลอดภัย

แต่ละปีทั่วโลกมีการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยประมาณ 20 ล้านครั้ง ส่งผลให้ผู้หญิงกว่า 70,000 คน เสียชีวิตจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ปัญหานี้สำคัญมากสำหรับสตรีไทย โดยเฉพาะกรรมาชีพและคนจนในชนบท

ภาพจากประชาไท

ทั้งๆ ที่ร่างกฎหมายใหม่ในไทยอาจจะอนุญาตให้ผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์ได้ แต่ยังจำกัดว่าอายุตั้งครรภ์โดยทั่วไปต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์ อาจจะยกเว้นในกรณีวัยรุ่นที่ทำแท้งได้ถึง 20 สัปดาห์ ซึ่งต่างจากประเทศตะวันตกหลายประเทศที่อนุญาตให้สตรีทุกคนทำแท้งถึง 24 สัปดาห์

และร่างกฏหมายใหม่ยังไม่ได้ยกเลิกความผิดทางอาญาต่อบุคคลทีทำแท้งตามข้อเรียกร้องของเครือข่ายภาคประชาสังคม

แต่การที่คนจนจะเข้าถึงบริการการทำแท้งที่ปลอดภัยยังมีข้อจำกัด เพราะแพทย์กับพยาบาลอาจมีอคติส่วนตัวที่นำมาตัดสินการตัดสินใจของคนผู้หญิงที่ตั้งท้อง นอกจากนี้โรงพยาบาลที่ให้บริการการทำแท้งฟรีจะมีจำนวนเท่าไร?

สำหรับสตรีชนชั้นกลางหรือคนชั้นสูงที่มีเงิน การทำแท้งเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่ากรรมาชีพและคนจน ดังนั้นเราจะเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการแรงงานไทย มีข้อเรียกร้องให้สตรีทุกคนมีสิทธิ์ทำแท้งเสรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน

ในเวียดนามนอกจากผู้หญิงจะมีสิทธิ์ทำแท้งแล้ว ในช่วงแรกหลังการรวมประเทศในปี 1975 มีการพัฒนาการบริการของรัฐในเรื่องสุขภาพอนามัยสำหรับสตรี ซึ่งรวมถึงการบริการในด้านการคุมกำเนิดอีกด้วย และกฎหมายคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชนปี 1989 เน้นว่าผู้หญิงมีสิทธิที่จะเลือกทำแท้ง และได้รับการบริการในทุกด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพสตรี ต่อมาในปี 1991 มีการออกกฎระเบียบให้ผู้หญิงลางานเพื่อทำแท้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่มักถูกมองข้าม

กรณีเวียดนาม ที่มีเสรีภาพในการทำแท้ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะยากจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานภาพของผู้หญิงในเรื่องสุขภาพเจริญพันธ์ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศไทยสตรีไทยยังเสี่ยงภัยมากกว่าสตรีเวียดนามเพราะมีการจำกัดสิทธิทำแท้งเสรี

ในประเทศที่มีสิทธิทำแท้งเสรี อัตราการทำแท้งไม่ได้สูงไปกว่าประเทศที่จำกัดการทำแท้งตามกฏหมายหรือตามค่านิยม เพราะในประเทศที่ไม่มีสิทธิทำแท้งเสรี ผู้หญิงส่วนใหญ่จำเป็นต้องแอบไปทำแท้งที่อันตราย และไม่ใช่ว่าในประเทศที่เสรีกว่าผู้หญิงจะ “สําส่อน” หรือ ไม่พยายามคุมกำเนิดแต่อย่างใด จริงๆ แล้วคำว่า “สำส่อน” เป็นคำที่ใช้ดูถูกผู้หญิงโดยพวกอนุรักษ์นิยมประเภทมือถือสากปากถือศีล

ในโลกปัจจุบันมีหลายประเทศที่เคยอนุรักษ์นิยมแต่หันมาอนุญาตให้มีสิทธิทำแท้งเสรี เช่นไอร์แลนด์ และอาเจนติน่า และที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงนี้มาจากการต่อสู้ของสตรีและคนหนุ่มสาวยุคใหม่

สิทธิของสตรีที่จะควบคุมร่างกายตนเอง โดยไม่มีนักการเมือง พระ ทหาร ผู้พิพากษา หรือพวกอนุรักษ์นิยมหัวไดโนเสาร์ มาควบคุม เป็นสิทธิพลเมืองพื้นฐาน “สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย” นี้ หมายถึงสิทธิที่จะตั้งท้องหรือไม่ และสิทธิที่จะยุติการตั้งท้องถ้าไม่พร้อม สิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัยนั้นเอง

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” เพื่อนำความคิดของตนเอง มาบังคับใช้กับคนอื่น โดยสนับสนุนกฎหมายที่จำกัดการทำแท้ง เป็นพวกที่ใช้เผด็จการเพื่อกดขี่คนอื่น เพราะถ้าคุณเป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งคุณก็ไม่ต้องทำ แต่คุณไม่มีสิทธิ์เหนือร่างกายผู้หญิงคนอื่นที่คิดต่าง ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณมีสิทธิ์พูดและคิด แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้นในบังคับผู้หญิงไม่ให้ทำแท้ง คนที่อยากเผด็จการกับร่างกายสตรี เป็นพวกที่นิยมระบบทาส เพราะการใช้อำนาจเหนือร่างกายผู้อื่นคือระบบทาส

นอกจากนี้พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” ในการห้ามทำแท้ง เป็นพวกสองมาตรฐาน เพราะเน้นสิทธิจอมปลอมของทารกที่ยังไม่เกิดเหนือสิทธิแม่ แต่ยิ่งกว่านั้นพวกนี้เป็นคนที่ให้ความชอบทำกับการมีกองทัพเพื่อฆ่าคน และมักจะให้ความชอบธรรมกับการฆ่าผู้รักประชาธิปไตยโดยทหาร นอกจากนี้พวกที่คัดค้านการทำแท้ง บ่อยครั้งมักจะสนับสนุนโทษประหารชีวิตอีกด้วย

คาดว่าในประวัติศาสตร์ของประชาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ในยุคก่อนที่จะมีการค้นพบวิธีคุมกำเนิด การทำแท้งเป็นวิธีการปกติของผู้หญิงในการจำกัดจำนวนบุตร

สิทธิทำแท้งปลอดภัยและเสรีเป็นเรื่องจุดยืนทางการเมือง และเรื่องชนชั้นเป็นหลัก เพราะในขณะที่คนจนหรือกรรมาชีพในโรงงานต้องเสี่ยงกับการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยในสถานที่เถื่อน หรือเสี่ยงกับการติดหนี้มหาศาลเพื่อไปทำแท้งในคลินิก คนรวยและลูกสาวของครอบครัวชั้นสูง สามารถใช้เงินซื้อการทำแท้งปลอดภัยในไทยหรือในต่างประเทศ และเขาทำเป็นประจำ

นอกจากเรื่องชนชั้นแล้ว สิทธิการทำแท้งเสรีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสตรีคนรุ่นใหม่อีกด้วย เพราะเขาอยู่ในกลุ่มที่มักจะเสี่ยงกับการตั้งท้อง

นี่คือสาเหตุที่เราต้องสนับสนุนการรณรงค์ของสหภาพแรงงานและกลุ่มภาคประชาชนเพื่อสิทธิทำแท้งเสรี และปลอดภัย

ใจ อึ๊งภากรณ์

แนวคิดมาร์คซิสต์เรื่องการต่อสู้กับการกดขี่ทางเพศ

ใจ อึ๊งภากรณ์

 [เพื่อความสะดวกในการอ่าน เชิญไปอ่านที่บล็อกโดยตรง]

เราไม่สามารถสร้างสังคมใหม่แห่งสังคมนิยมได้ ถ้ากรรมาชีพชายและหญิงไม่สามัคคีกัน  และถ้าจะเกิดความสามัคคีดังกล่าว ทั้งชายและหญิง แต่โดยเฉพาะผู้ชาย ต้องสลัดความคิดกดขี่หรือดูถูกผู้หญิงออกจากหัว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความดีความชั่วของปัจเจก แต่เป็นเรื่องโครงสร้างสังคม และการต่อสู้ทางชนชั้น

 

มันไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติ” ที่มนุษย์จะมากดขี่กัน แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์บางคนสร้างขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขสังคมชนชั้นในอดีต เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครอง

 

นักมาร์คซิสต์คนสำคัญ ชื่อ เฟรดเดอริค เองเกิลส์ เป็นคนที่ริเริ่มการศึกษาปัญหาการกดขี่ทางเพศอย่างเป็นระบบ ในหนังสือ “กำเนิดครอบครัว ทรัพย์สินเอกชน และรัฐ”  เองเกิลส์ อธิบายว่าแรกเริ่มมนุษย์บุพกาลไม่มีชนชั้น ไม่มีรัฐ และไม่มีครอบครัว คือหญิงชายมีความสัมพันธ์อย่างเสรีตามรสนิยมของแต่ละคน ไม่มีคู่ถาวร ตอนนั้นมนุษย์ไม่มีครอบครัวแต่มีเผ่า และลูกที่เกิดมาจะทราบว่าใครเป็นแม่ แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นพ่อ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่สำคัญเพราะเด็กๆ ทุกคนถือว่าเป็นลูกของชุมชน และทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของส่วนรวม แบ่งกันอย่างเสมอภาคเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ในยุคบุพกาลจะมีการเก็บของป่าและล่าสัตว์ สังคมไม่มีส่วนเกินหรือคลังอาหารใหญ่โต วันไหนได้อะไรก็มาแบ่งกันกิน แต่เมื่อมนุษย์รู้จักการเกษตรและเริ่มมีส่วนเกินมากขึ้น จะมีผู้ชายคนหนึ่งตั้งตัวเป็นใหญ่หรือตั้งตัวเป็น “พระ” และจ้างอันธพาลติดอาวุธมาเป็นลูกน้องของตน ประชาชนที่เหลือจะตกเป็นทาสและถูกบังคับให้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งส่วยให้ผู้ปกครอง คือมีการยึดการผลิตส่วนมาเป็นของหัวหน้า แต่ในขณะเดียวกัน การจัดระเบียบสังคมใหม่แบบนี้ ให้ประโยชน์กับคนธรรมดาบ้าง เพราะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจากสมัยบุพกาลเดิม และทำให้มีความมั่นคงมากขึ้นภายใต้การกดขี่

 

ภายใต้ระบบการปกครองทางชนชั้น ทรัพย์สินทั้งหมดของชุมชนที่เคยเป็นของส่วนรวม ถูกแบ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งส่วนใหญ่ตกในมือของผู้ปกครอง ผู้หญิงถูกบังคับให้อยู่ในระบบครอบครัวที่ชัดเจน เพื่อให้ชายผู้เป็นเจ้าสามารถให้มรดกกับลูกตนเองเท่านั้น จะเห็นว่าเริ่มมีการสร้างระเบียบครอบครัวที่ระบุว่าหญิงต้องเลี้ยงลูกเป็นหลักในขณะที่ชายมีบทบาทสาธารณะ และชนชั้นปกครองมักกล่อมเกลาให้ทั้งชายและหญิงยอมรับว่าผู้ชายสำคัญกว่าผู้หญิง และผู้หญิงต้องไม่นอกใจผู้ชาย

 

ระเบียบครอบครัวนี้กลายเป็นส่วนสำคัญของแนวคิดหรือลัทธิกระแสหลักในสังคม

 

นี่คือที่มาของการกดขี่สตรีในสังคมชนชั้นปัจจุบัน ซึ่งเกิดพร้อมกับระบบการปกครอง กองกำลังอันธพาล และกฎระเบียบหรือกฎหมายที่ใช้รองรับการสร้างอำนาจ “รัฐ”

 

มันแปลว่าถ้าเราจะจัดการกับความไม่เท่าเทียมทางเพศ เราต้องจัดการกับสังคมชนชั้น และรัฐทุนนิยมปัจจุบัน แต่นั้นไม่ได้แปลว่าว่าเราต้องนิ่งเฉยและรอวันปฏิวัติ นักมาร์คซิสต์ต้องต่อสู้เพื่อการปฏิรูปเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันตลอด ซึ่งแปลว่าเราต้องรณรงค์เรื่องสิทธิเสรีภาพทางเพศ

 

ในสังคมทุนนิยมปัจจุบัน ชนชั้นนายทุนเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการที่สังคมมองว่า หญิงเสมือนเท้าหลังที่มีหน้าที่หลักคือการเลี้ยงดูลูกและทำงานบ้าน เพราะหญิงจะได้เป็นผู้ผลิตแรงงานรุ่นต่อไปเพื่อป้อนเข้าโรงงานและสถานที่ทำงานอื่นๆ โดยที่นายทุนไม่ต้องลงทุนอะไรเลย นี่คือเงื่อนไขที่ผลิตซ้ำแนวคิดเกี่ยวกับ “ครอบครัวจารีต”

 

แต่ในขณะเดียวกันทุกสังคมไม่เคยหยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ระบบทุนนิยมมีความต้องการที่จะขยายกิจการและจ้างงานเพิ่มตลอดเวลา จึงมีการดึงแรงงานหญิงออกไปทำงานนอกบ้านมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้หญิงเริ่มมีความอิสระและเรียกร้องสิทธิมากขึ้น นอกจากนี้ในสังคมไทยและที่อื่น ค่าจ้างของชายหนึ่งคน ถูกนายทุนกดไว้เพื่อเพิ่มกำไร  จึงย่อมไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้

 

ผู้หญิงได้รับการศึกษามากขึ้น และมีความมั่นใจซึ่งมาจากการที่ออกไปทำงาน มีรายได้ของตนเอง และไม่ต้องพึ่งผู้ชาย เทคโนโลจีสมัยใหม่ก็ช่วยให้งานบ้านง่ายขึ้น และมีโรงเรียนในระดับต่างๆ ที่จะช่วยในการเลี้ยงดูเด็ก

1-116-752x440

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลในการพัฒนาความคิดของสตรีเพื่อต่อสู้กับการกดขี่ทางเพศ ดังนั้นระบบทุนนิยมได้สร้างเงื่อนไขให้สตรีออกมาสู้เพื่อปลดแอกตนเองด้วย แต่รัฐและนายจ้างพยายามปฏิเสธการรับผิดชอบในการจัดสถานที่เลี้ยงเด็กฟรี โดยใช้แนวคิด “หญิงเป็นเท้าหลัง” และ “บทบาทธรรมชาติของสตรี” พร้อมกันนั้นมักมีการเน้นหรือเสริมคุณค่าของ “ครอบครัวจารีต” เพื่อให้ชายกับหญิงสามัคคีกันยาก และเพื่อบังคับให้งานบ้าน และงานเลี้ยงลูกหรือคนชรา ตกอยู่กับผู้หญิง แทนที่จะเป็นภาระของส่วนรวม สรุปแล้วมันเป็นวิธีประหยัดค่าใช้จ่ายของรัฐนายทุน และลดภาษีที่เก็บจากกลุ่มทุน เพื่อเพิ่มกำไร

 

จะเห็นว่าทุนนิยมเป็นระบบที่ขัดแย้งในตัวเกี่ยวกับสภาพสตรี คือทั้งกดขี่และสร้างเงื่อนไขในการต่อสู้พร้อมกัน

 

ชาวมาร์คซิสต์จะต้องอาศัยการเพิ่มขึ้นของความมั่นใจในหมู่สตรี เพื่อช่วยกันผลักดันการต่อสู้ทางชนชั้น องค์กรจัดตั้งหรือพรรคสังคมนิยม จะต้องขยันต่อสู้ทางความคิดกับลัทธิศีลธรรมจารีตแบบคับแคบเสมอ เราต้องรณรงค์ให้กรรมาชีพเข้าใจลักษณะการกดขี่ทางเพศ และให้หญิงกับชายสามัคคีกัน พร้อมกันนั้นเราจะต้องต่อสู้เพื่อชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ เช่นสิทธิในการทำแท้งเสรี สิทธิที่จะได้เงินเดือนเท่าเทียมกันระหว่างเพศ หรือสิทธิลาคลอด ฯลฯ ซึ่งแยกไม่ออกจากการต่อสู้เพื่อรัฐสวัสดิการ แต่ในระยะยาวเราต้องการสลายสถาบันครอบครัวที่กดขี่ผู้หญิง เราต้องการสลายระบบชนชั้น และเราต้องการล้มรัฐนายทุน  มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเพศใด จะได้มีเสรีภาพที่จะเลือกวิถีชีวิตตามรสนิยม มีเสรีภาพที่จะรักเพื่อนมนุษย์คนใดก็ได้ตามรสนิยม และมีเสรีภาพที่จะรักและดูแลเด็กๆ ของสังคมทุกคนอย่างอบอุ่น

 

2000px-Woman-power_emblem.svg

สองแนวคิดเรื่องสิทธิสตรี

 

ผู้รักความเป็นธรรมทุกคนต้องยอมรับว่าในสังคมนี้ สตรีด้อยโอกาสกว่าชาย ตัวอย่างเช่น ค่าจ้างโดยเฉลี่ยของหญิงมักต่ำกว่าชาย หญิงมักมีบทบาทเป็นผู้นำของสังคมน้อยกว่าชาย และสังคมมักจะมีค่านิยมที่ให้โอกาสกับชายมากกว่าหญิงในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศเป็นต้น

 

ในการอธิบายปัญหาของสตรีและทางออกในการแก้ปัญหาดังกล่าว เราจะพบว่ามีสองสำนักความคิดหลักคือ

  1. สำนักความคิด สตรีนิยม หรือแฟมินิสต์ (Feminist)
  2. สำนักความคิดแบบ สังคมนิยมลัทธิมาร์คซ์ หรือมาร์คซิสต์

 

สำนักความคิดสตรีนิยมจะเสนอว่าปัญหาของหญิงมาจากชาย คือผู้ชายทุกคนรวมหัวกันกดขี่หญิง ชายทุกคนไม่ว่าจะกรรมาชีพหรือนายทุนได้ประโยชน์จากการกดขี่หญิง ดังนั้นชายเป็นผู้กำหนดกฎกติกาทั้งหลายในสังคมที่เอาเปรียบผู้หญิง ชายบังคับให้หญิงอ่อนน้อมต่อตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานบ้าน การตัดสินใจ หรือการมีความสัมพันธ์ทางเพศ  ทฤษฎีนี้มีชื่อว่า “ทฤษฎีพ่อเป็นใหญ่” หรือ “ชายเป็นใหญ่” ฉนั้นทางออกของแนวนี้คือผู้หญิงจากทุกชนชั้นจะต้องสร้างแนวร่วมต่อต้านผู้ชาย คือหญิงไม่ว่าจะ ชั้นสูง ราชวงศ์ นายจ้าง หรือกรรมาชีพ ต้องสามัคคีกัน และพวกสำนักความคิดสตรีนิยมนี้มักเสนอว่าควรมีผู้บริหารที่เป็นสตรีมากขึ้น และเสนอว่าเราควรมี ส.ว. หรือ ส.ส. หญิงเพิ่มขึ้น โดยไม่คำนึงถึงแนวทางการเมืองของหญิงเหล่านั้น

 

สิ่งที่ฝ่ายสตรีนิยมเสนอ ถ้าดูแบบผิวเผินอาจมีความจริง แต่เมื่อเราพิจารณาลึกกว่านั้นจะมีข้อบกพร่อง เช่น แนวคิดนี้ไม่สามารถอธิบายว่าการกดขี่ทางเพศเริ่มเมื่อไรในประวัติศาสตร์มนุษย์ และไม่สามารถอธิบายได้ว่าชายที่เป็นกรรมาชีพจะได้อะไรจากการที่เมียของเขากินค่าแรงต่ำเป็นต้น นอกจากนี้แนวคิดสตรีนิยมจะทำให้ชายกับหญิงสามัคคีกันยากขึ้น ซึ่งแปลว่ากรรมาชีพผู้ทำงานหรือคนยากจนจะต่อสู้เพื่อปลดแอกตนเองจากการที่ถูกกดขี่ขูดรีดทางชนชั้นยาก

 

ในเมื่อฝ่ายสตรีนิยมเสนอเหมือนกับว่าการกดขี่ทางเพศเป็น “ธรรมชาติของชาย” หนทางที่จะแก้ไขคงเต็มไปด้วยอุปสรรคในทุกยุคทุกสมัย เพราะเราจะต้องฝืนธรรมชาติ แต่นักคิดแนวมาร์คซิสต์เช่น เองเกิลส์ อธิบายว่าการกดขี่ทางเพศไม่มีในสมัยบรรพกาล และเริ่มเกิดขึ้นเมื่อมีสังคมชนชั้น พูดง่ายๆ การกดขี่ทางเพศเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง และไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ ดังนั้นมันถูกรื้อทิ้งได้

egypt_women

นักมาร์คซิสต์เชื่อว่ากรรมาชีพหญิงไม่ควรจับมือกับรัฐมนตรีชนชั้นนายทุนที่เป็น“ท่านผู้หญิง” และไม่ควรเลือก ส.ส. หรือ ส.ว. หญิงจากพวกนายทุน เพราะการกดขี่ทางเพศมาจากสังคมชนชั้น  ในระยะสั้นกรรมาชีพหญิงและชายต้องต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี เช่นสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย โดยเฉพาะสิทธิทำแท้ง เพราะการกดขี่หญิงสร้างความแตกแยกในขบวนการแรงงาน และไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยกับกรรมาชีพชาย

 

การเน้นครอบครัวจารีตในสังคมชนชั้น เป็นที่มาของการดูหมิ่นและเลือกปฏิบัติต่อ ชายรักชาย หญิงรักหญิง และกะเทย ดังนั้นเราควรปกป้องสิทธิของคนเหล่านี้ที่จะมีความสัมพันธ์อย่างเสรีตามรสนิยมส่วนตัว ในยุคนี้ในแวดวงนักสิทธิสตรีมีการถกเถียงโต้แย้งกันว่า “กะเทย” ที่เป็นหญิงในร่างชาย ไม่ควรถูกมองว่าเป็น “หญิงแท้” การถกเถียงเรื่องนี้เพิ่มขึ้นในประเทศตะวันตก เพราะมีการเปลี่ยนกฏหมายให้พลเมืองเลือกว่าอยากเป็นเพศอะไรในเอกสารทางการและในชีวิตประจำวัน มันเกี่ยวข้องกับเรื่องการแยกห้องน้ำระหว่างเพศในสถานที่สาธารณะ และเรื่องการจำคุกว่ากะเทยควรจะอยู่ในคุกของนักโทษเพศอะไรด้วย

 

นักมาร์คซิสต์มองว่าเราต้องปกป้องสิทธิของเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่จะเลือกเพศของตนเอง และกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง เราต้องปกป้องความหลากหลายที่มีจริงในโลก และต้องปฏิเสธการนิยามว่าใครเป็นหญิงหรือชาย “แท้”

ทำไมประชาชนไอร์แลนด์ถึงเปลี่ยนมาสนับสนุนสิทธิทำแท้ง

[ท่านใดที่อ่านผ่าน Facebook อาจอ่านได้ง่ายขึ้นถ้าเข้าไปอ่านในบล็อก ]

ใจ อึ๊งภากรณ์

ข่าวที่น่าตื่นเต้นจากประเทศไอร์แลนด์เมื่อไม่นานมานี้ คือการที่พลเมืองไอร์แลนด์ลงประชามติให้ยกเลิกกฏหมายที่ห้ามสตรีทำแท้ง ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่การร่างกฏหมายทำแท้งเสรีอย่างที่มีในประเทศอื่นของยุโรปตะวันตก

1835e975ec2942f1994fed04e427feac

เมื่อไอร์แลนด์ได้รับเอกราชจากอังกฤษในปีค.ศ. 1922 หลังจากสู้รบกันมานาน เอกราชที่ได้รับเป็นเอกราชครึ่งใบ เพราะอังกฤษแบ่งเกาะไอร์แลนด์เป็นสองส่วนคือ ไอร์แลนด์ใต้ กับไอร์แลนด์เหนือ

ไอร์แลนด์เหนือยังปกครองภายใต้อังกฤษและนักการเมืองที่มีอำนาจในพื้นที่นี้เป็นพวกโปรเตสแตนต์สุดขั้วล้าหลังที่คอยกดขี่เลือกปฏิบัติต่อชาวคาทอลิก พวกนี้จงรักภักดีต่อชนชั้นปกครองอังกฤษและกษัตริย์

ไอร์แลนด์ใต้กลายเป็นสาธารณรัฐภายใต้นักการเมืองอนุรักษ์นิยมที่ชื่นชมนิกายคาทอลิก

อังกฤษแบ่งเกาะไอร์แลนด์ตอนนั้นเพราะต้องการรักษาฐานทัพและเมืองอุตสาหกรรมทางเหนือ แต่มันมีเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การให้สิทธิพิเศษกับประชาชนโปรเตสแตนต์ในไอร์แลนด์เหนือ เป็นเครื่องมือสำคัญในการแบ่งแยกชนชั้นกรรมาชีพระหว่างพวกโปรเตสแตนต์กับคาทอลิก

แทนที่การต่อสู้ทางชนชั้นจะเป็นประเด็นสำคัญ อย่างที่เคยเป็น ประชาชนไอร์แลนด์ถูกชักชวนให้มองว่าความขัดแย้งหลักเป็นเรื่องของศาสนา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของชนชั้นปกครองในทั้งสองประเทศ

นักสังคมนิยมคนสำคัญของไอร์แลนด์ชื่อ เจมส์ คอนนอลี่ เคยเตือนไว้ก่อนหน้านั้นว่า ถ้ามีการแบ่งประเทศ อย่างที่อังกฤษทำ จะเกิด “เทศกาลแห่งความปฏิกิริยาล้าหลัง” ในทั้งไอร์แลนด์เหนือกับไอร์แลนด์ใต้

James-Connolly1-271x300
เจมส์ คอนนอลี่

ในไอร์แลนด์ใต้รัฐบาลชวนให้องค์กรศาสนาคาทอลิกเข้ามาครอบงำทุกส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นระบบการศึกษา วัฒนธรรม หรือการร่างกฏหมาย พวกพระล้าหลังเหล่านี้ กดขี่สิทธิสตรีอย่างรุนแรง เน้นความเป็น “แม่” ห้ามการหย่า ห้ามการคุมกำเนิด ห้ามทำแท้ง และมีการละเมิดสิทธิสาวๆที่ท้องโดยไม่แต่งงาน โดยนำไปขังไว้ในสถาบันศาสนาเหมือนทาสตลอดชีวิต

ในไอร์แลนด์เหนือพวกพระโปรเตสแตนต์เล่นการเมืองและกีดกันสิทธิสตรีเช่นกัน เมื่ออังกฤษผ่านกฏหมายเพื่อให้สตรีเลือกทำแท้งอย่างเสรีได้ในปี 1967 นักการเมืองปฏิกิริยาเหล่านี้ไม่ยอมให้ใช้กฏหมายนี้ในไอร์แลนด์เหนือ นอกจากนี้การที่ชนชั้นกรรมาชีพถูกแบ่งแยกระหว่างโปรเตสแตนต์กับคาทอลิก ทำให้ค่าจ้างและสภาพการจ้างของกรรมาชีพไอร์แลนด์เหนือแย่กว่าในเกาะอังกฤษ

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่เติบโตขึ้น และในไอร์แลนด์ใต้มีการลงทุนในการผลิตอุตสาหกรรมและการบริการมากขึ้น ซึ่งทำให้กรรมาชีพในเมืองขยายตัวอย่างรวดเร็ว ความงมงายในศาสนาคาทอลิกค่อยๆ ลดลง พร้อมกันนั้นมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับพระคาทอลิกทั่วโลกรวมถึงไอร์แลนด์ ว่ามีการละเมิดทางเพศเด็กๆ จำนวนมาก

ในปี 1993 ในไอร์แลนด์ใต้มีการยกเลิกการลงโทษคนรักเพศเดียวกัน ต่อมาในปี 1995 มีการยกเลิกการห้ามหย่า และในปี 2015 มีประชามติที่สนับสนุนการแต่งงานกันระหว่างคนเพศเดียวกัน ประชามติที่ปูทางไปสู่สิทธิในการทำแท้งจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการทำลายสิ่งที่ เจมส์ คอนนอลี่ เคยเรียกว่า “เทศกาลแห่งความปฏิกิริยาล้าหลัง”

แต่ในไอร์แลนด์เหนือ ยังไม่มีการยกเลิกกฏหมายห้ามทำแท้งหรือร่างกฏหมายที่อนุญาตให้คนเพศเดียวกันแต่งงานกันได้ นักการเมืองล้าหลังโปรเตสแตนต์ยังไม่ถูกเขี่ยลงจากเวทีสักที แต่คนก้าวหน้ากำลังลุ้นว่าในไม่ช้าพวกนี้จะไม่สามารถต้านกระแสการปลดแอกทางเพศได้

ff7fb-woman

ส่วนในประเทศไทย สตรียังต้องรอวันที่จะมีการออกกฏหมายเลือกทำแท้งเสรี โดยที่ให้เป็นสิทธิปกติในระบบสาธารณสุขที่ปลอดภัยและไม่ต้องจ่ายเงิน คนก้าวหน้าในไทยจึงควรเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่กำลังเสนอตัวกันตอนนี้ ออกมาประกาศว่าจะสนับสนุนสิทธิทำแท้งเสรี

 

ทำไมสตรีไทยต้องมีสิทธิทำแท้งเสรี

ใจ อึ๊งภากรณ์

เนื่องในวันสตรีสากลปีนี้ กรมอนามัย เปิดเผยว่าแต่ละปีทั่วโลกมีการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยประมาณ 20 ล้านคน ส่งผลให้ผู้หญิงกว่า 70,000 คน เสียชีวิตจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย ปัญหานี้สำคัญมากสำหรับสตรีไทย โดยเฉพาะกรรมาชีพและคนจนในชนบท

shutterstock_216264961

ทั้งๆ ที่กฎหมายไทยอนุญาตให้ผู้หญิงยุติการตั้งครรภ์ได้ในบางกรณี เช่นที่ผู้หญิงตั้งครรภ์มีปัญหาสุขภาพกาย หรือปัญหาสุขภาพจิต หรือตั้งครรภ์เนื่องจากการถูกข่มขืนเป็นต้น แต่การที่คนจนจะเข้าถึงบริการการทำแท้งที่ปลอดภัยมีข้อจำกัดมาก เพราะแพทย์กับพยาบาลอาจมีอคติส่วนตัวที่นำมาตัดสินการตัดสินใจของคนผู้หญิงที่ตั้งท้อง นอกจากนี้โรงพยาบาลที่ให้บริการการทำแท้งฟรีเกือบจะไม่มี

สำหรับสตรีชนชั้นกลางหรือคนชั้นสูงที่มีเงิน การทำแท้งเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่ากรรมาชีพและคนจน ดังนั้นเราจะเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการแรงงานในภาคสิ่งทอของไทย มีข้อเรียกร้องให้สตรีทุกคนมีสิทธิ์ทำแท้งเสรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน

ถ้าพิจารณาประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่ามีแค่สองประเทศเท่านั้นที่ยอมให้ผู้หญิงมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายของตนเองโดยยอมให้มีสิทธิทำแท้งเสรี สองประเทศนั้นคือสิงคโปร์ และเวียดนาม

ในเวียดนามนอกจากผู้หญิงจะมีสิทธิ์ทำแท้งแล้ว ในช่วงแรกหลังการรวมประเทศในปี 1975 มีการพัฒนาการบริการของรัฐในเรื่องสุขภาพอนามัยสำหรับสตรี ซึ่งรวมถึงการบริการในด้านการคุมกำเนิดอีกด้วย และกฎหมายคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชนปี 1989 เน้นว่าผู้หญิงมีสิทธิที่จะเลือกทำแท้ง และได้รับการบริการในทุกด้านที่เกี่ยวกับสุขภาพสตรี ต่อมาในปี 1991 มีการออกกฎระเบียบให้ผู้หญิงลางานเพื่อทำแท้ง ซึ่งเป็นประเด็นที่มักถูกมองข้าม

กรณีเวียดนาม ที่มีเสรีภาพในการทำแท้ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะยากจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานภาพของผู้หญิงในเรื่องสุขภาพเจริญพันธ์ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศไทยสตรีไทยยังเสี่ยงภัยมากกว่าสตรีเวียดนามเพราะไม่มีสิทธิทำแท้งเสรี

ในประเทศที่มีสิทธิทำแท้งเสรี อัตราการทำแท้งไม่ได้สูงไปกว่าประเทศที่จำกัดการทำแท้งตามกฏหมายหรือตามค่านิยม เพราะในประเทศที่ไม่มีสิทธิทำแท้งเสรี ผู้หญิงส่วนใหญ่จำเป็นต้องแอบไปทำแท้งที่อันตราย และไม่ใช่ว่าในประเทศที่เสรีกว่าผู้หญิงจะ “สําส่อน” หรือ ไม่พยายามคุมกำเนิดแต่อย่างใด จริงๆ แล้วคำว่า “สำส่อน” เป็นคำที่ใช้ดูถูกผู้หญิงโดยพวกอนุรักษ์นิยมประเภทมือถือสากปากถือศีล

สิทธิของสตรีที่จะควบคุมร่างกายตนเอง โดยไม่มีนักการเมือง พระ ผู้พิพากษา หรือพวกอนุรักษ์นิยมหัวไดโนเสาร์ มาควบคุม เป็นสิทธิพลเมืองพื้นฐาน “สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย” นี้ หมายถึงสิทธิที่จะตั้งท้องหรือไม่ และสิทธิที่จะยุติการตั้งท้องถ้าไม่พร้อม สิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัยนั้นเอง

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” เพื่อนำความคิดของตนเอง มาบังคับใช้กับคนอื่น โดยสนับสนุนกฎหมายที่จำกัดการทำแท้งอย่างที่มีอยู่ในไทยในปัจจุบัน เป็นพวกที่ใช้เผด็จการเพื่อกดขี่คนอื่น เพราะถ้าคุณเป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งคุณก็ไม่ต้องทำ แต่คุณไม่มีสิทธิ์เหนือร่างกายผู้หญิงคนอื่นที่คิดต่าง ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณมีสิทธิ์พูดและคิด แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้นในบังคับผู้หญิงไม่ให้ทำแท้ง คนที่อยากเผด็จการกับร่างกายสตรี เป็นพวกที่นิยมระบบทาส เพราะการใช้อำนาจเหนือร่างกายผู้อื่นคือระบบทาส

นอกจากนี้พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” ในการห้ามทำแท้ง เป็นพวกสองมาตรฐาน เพราะเน้นสิทธิจอมปลอมของทารกที่ยังไม่เกิดเหนือสิทธิแม่ แต่ยิ่งกว่านั้นพวกนี้เป็นคนที่ให้ความชอบทำกับการมีกองทัพเพื่อฆ่าคน และมักจะให้ความชอบธรรมกับการฆ่าผู้รักประชาธิปไตยโดยทหาร นอกจากนี้พวกที่คัดค้านการทำแท้งมักจะสนับสนุนโทษประหารชีวิตอีกด้วย

คาดว่าในประวัติศาสตร์ของประชาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย ในยุคก่อนที่จะมีการค้นพบวิธีคุมกำเนิด การทำแท้งเป็นวิธีการปกติของผู้หญิงในการจำกัดจำนวนบุตร

ในอดีตมีความพยายามหลายครั้งที่จะเปลี่ยนกฏหมายทำแท้งของไทย เช่นหลัง ๑๔ ตุลา หรือในช่วงรัฐบาลเปรม หัวหอกในการจำกัดสิทธิสตรีไทยในการทำแท้งในยุคนั้นคือ จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นแกนนำแก๊งเสื้อเหลือง จำลอง คนนี้เคยเป็นทหารรับจ้างเพื่อฆ่าคนในลาว เป็นคนที่มีส่วนในเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา และเป็นคนที่เคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

การที่เราเคยมีนายกรัฐมนตรีสตรี ไม่ทำให้สิทธิสตรีคืบหน้าแต่อย่างใดในไทย ยิ่งลักษณ์ไม่เคยออกมาสนับสนุนสิทธิทำแท้ง หรือวิจารณ์พวกที่ใช้วาจาเหยียดเพศ ดังนั้นมันเป็นเรื่องจุดยืนทางการเมือง และเรื่องชนชั้นเป็นหลัก เพราะในขณะที่คนจนหรือกรรมาชีพในโรงงานต้องเสี่ยงกับการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยในสถานที่เถื่อน หรือเสี่ยงกับการติดหนี้มหาศาลเพื่อไปทำแท้งในคลินิก คนรวยและลูกสาวของครอบครัวชั้นสูง สามารถใช้เงินซื้อการทำแท้งปลอดภัยในไทยหรือในต่างประเทศ และเขาทำเป็นประจำ

นอกจากเรื่องชนชั้นแล้ว สิทธิการทำแท้งเสรีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสตรีคนรุ่นใหม่อีกด้วย เพราะเขาอยู่ในกลุ่มที่มักจะเสี่ยงกับการตั้งท้อง

นี่คือสาเหตุที่เราต้องสนับสนุนการรณรงค์ของสหภาพแรงงานไทยเพื่อสิทธิทำแท้งเสรี ขบวนการแรงงานไทยเคยพัฒนาสิทธิสตรีอย่างเป็นรูปธรรมในอีดต เช่นสิทธิลาคลอด ในยุคที่มีการตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆ และพูดกันถึงคนรุ่นใหม่ การที่พรรคจะมีหรือไม่มีนโยบายเรื่องนี้จะเป็นเครื่องชี้วัดความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม

ผู้ลี้ภัยที่เคยถูกข่มขืน ถูกบังคับให้คลอดลูกในไอร์แลนด์

ใจ อึ๊งภากรณ์

 

ประเทศไอร์แลนด์เป็นประเทศที่ยังมีพวกพระศาสนาคริสต์ล้าหลังครอบงำสังคม ดังนั้นการทำแท้งยังผิดกฏหมาย เรื่องอื้อฉาวล่าสุดคือมีสตรีผู้ลี้ภัยที่เคยถูกข่มขืน ถูกศาลบังคับให้คลอดลูกผ่านการผ่าตัดทั้งๆ ที่ขอทำแท้ง นับว่าเป็นตัวอย่างความโหดร้ายทารุณที่สุดของกฏหมายห้ามทำแท้ง อย่างไรก็ตามเรื่องแบบนี้อาจเป็นสิ่งที่จุดประกายการรณรงค์ในไอร์แลนด์ให้สตรีมีสิทธิทำแท้งเสรีรอบต่อไป

ในไอร์แลนด์กฏหมายห้ามทำแท้งบังคับให้สตรีถูกผ่าตัดโดยไม่ยินยอม หรือบังคับให้สตรีตายขณะคลอดลูกในกรณีก่อนหน้านี้ ในไทยกฏหมายห้ามทำแท้งบังคับให้สตรีต้องไปทำแท้งเถื่อนซึ่งเสี่ยงต่อชีวิต

Protesters in Ireland

     สิทธิของสตรีที่จะควบคุมร่างกายตนเอง โดยไม่มีนักการเมือง พระ ผู้พิพากษา หรือพวกอนุรักษ์นิยมหัวไดโนเสาร์ มาควบคุม เป็นสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิพลเมืองพื้นฐาน “สิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกาย” นี้ หมายถึงสิทธิที่จะตั้งท้องหรือไม่ และสิทธิที่จะยุติการตั้งท้องถ้าไม่พร้อม สิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัยนั้นเอง

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” เพื่อนำความคิดของตนเอง มาบังคับใช้กับคนอื่น โดยสนับสนุนกฎหมายห้ามทำแท้งอย่างที่มีอยู่ในไทยหรือไอร์แลนด์ในปัจจุบัน เป็นพวกที่ใช้เผด็จการเพื่อกดขี่คนอื่น เพราะถ้าคุณเป็นสตรีที่ไม่เห็นด้วยกับการทำแท้งคุณก็ไม่ต้องทำ แต่คุณไม่มีสิทธิ์เหนือร่างกายผู้หญิงคนอื่นที่คิดต่าง ถ้าคุณเป็นผู้ชายคุณมีสิทธิ์พูดและคิด แต่ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้นในการสนับสนุนการบังคับผู้หญิงไม่ให้ทำแท้ง คนที่อยากเผด็จการกับร่างกายสตรี เป็นพวกที่นิยมระบบทาส เพราะการใช้อำนาจเหนือร่างกายผู้อื่นคือระบบทาส

พวกที่อ้าง “ศีลธรรม” ในการห้ามทำแท้ง เป็นพวกสองมาตรฐาน เพราะเน้น “สิทธิจอมปลอมของทารกที่ยังไม่เกิด” เหนือ “สิทธิแม่” แต่ยิ่งกว่านั้นพวกนี้เป็นคนที่ให้ความชอบทำกับการมีกองทัพเพื่อฆ่าคน และให้ความชอบธรรมกับการฆ่าผู้รักประชาธิปไตยโดยทหาร นอกจากนี้พวกที่คัดค้านการทำแท้งมักจะสนับสนุนโทษประหารชีวิตอีกด้วย

ในอดีตหัวหอกในการจำกัดสิทธิสตรีไทยในการทำแท้งคือ จำลอง ศรีเมือง ที่เป็นหัวหน้าแก๊งพันธมิตรฯ จำลอง คนนี้เคยเป็นทหารรับจ้างเพื่อฆ่าคนในลาว เป็นคนที่มีส่วนในเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา และเป็นคนที่เคลื่อนไหวเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคพวกของเขามองว่าพลเมืองไทยมี “ประชาธิปไตยมากเกินไป”

ม็อบสุเทพเคยใช้วาจาที่เหยียดสตรี ในการด่านายกยิ่งลักษณ์ พวกนี้เป็นพวกที่ต่อต้านประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพทุกชนิด

แต่การที่เราเคยมีนายกรัฐมนตรีสตรี ไม่ทำให้สิทธิสตรีคืบหน้าแต่อย่างใดในไทย ยิ่งลักษณ์ไม่เคยออกมาสนับสนุนสิทธิทำแท้ง หรือวิจารณ์พวกที่ใช้วาจาเหยียดเพศ และไม่ทำอะไรเพื่อกำจัดพวกทหารเผด็จการ

สิทธิการทำแท้งเป็นเรื่องชนชั้น เพราะในขณะที่คนจนหรือกรรมาชีพในโรงงานต้องเสี่ยงกับการทำแท้งอย่างไม่ปลอดภัยในสถานที่เถื่อน หรือเสี่ยงกับการติดหนี้มหาศาลเพื่อไปทำแท้งในคลินิก คนรวยและลูกสาวของครอบครัวเบื้องบนชั้นสูง สามารถใช้เงินซื้อการทำแท้งปลอดภัยในไทยหรือในต่างประเทศ และเขาทำเป็นประจำ

นี่คือสาเหตุที่เราต้องเน้นและสนับสนุนการรณรงค์ของสหภาพแรงงานไทย ที่เคยพัฒนาสิทธิสตรีอย่างเป็นรูปธรรมในอีดต เช่นสิทธิลาคลอด และเราต้องสนับสนุนข้อเรียกร้องของขบวนการแรงงานในปัจจจุบัน เพื่อให้สตรีไทยมีสิทธิทำแท้ง

พวกอนุรักษ์นิยมเสื้อเหลืองโกหกว่าการทำแท้งกับการมีเพศสัมพันธ์แบบ “สำซ่อน” เกี่ยวโยงกัน แต่เราต้องเปิดเผยความจริงว่าสตรีส่วนใหญ่ที่เลือกทำแท้งในไทยและที่อื่น เป็นคนที่มีคู่ถาวร จำนวนมากมีลูกแล้วด้วย แต่จุดร่วมคือไม่พร้อมจะตั้งท้อง

ถ้าพิจารณาประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะพบว่ามีแค่สองประเทศเท่านั้นที่ยอมให้ผู้หญิงมีสิทธิเหนือเนื้อตัวร่างกายตนเอง โดยยอมให้มีสิทธิทำแท้งเสรี สองประเทศนั้นคือสิงคโปร์ และเวียดนาม

กรณีเวียดนาม ที่มีเสรีภาพในการทำแท้ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่ค่อนข้างจะยากจนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่สถานภาพของผู้หญิงในเรื่องสุขภาพเจริญพันธ์ค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับประเทศไทย ในประเทศที่มีสิทธิ์ทำแท้งเสรี ผู้หญิงจะสามารถทำแท้งในโรงพยาบาลที่มีมาตรฐาน ซึ่งสร้างความปลอดภัยกับผู้หญิง