Tag Archives: สิทธิมนุษยชน

เราต้องร่วมกันประณามเผด็จการไทยที่วิสามัญฆ่าสุรชัยและสหาย

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกคนที่รักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะต้องประณามเผด็จการทหารไทยที่มีส่วนในการวิสามัญฆาตกรรม สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหาย “ภูชนะ” และสหาย “กาสะลอง”

46097871864_6f2f471e68_k
ภาพจากประชาไท

ประยุทธ์เปื้อนเลือดอีกแล้ว

bloody prayut

หลังการพิสูจน์ด้วยดีเอ็นเอว่าสองศพที่ติดฝั่งแม่น้ำโขงที่นครพนม คือศพของสหายภูชนะกับสหายกาสะลอง ทั้งภรรยาและนักข่าวหลายคนที่เชื่อถือได้ ร่วมกันมองว่าสหายสุรชัยก็ถูกฆ่าไปแล้ว และศพที่สามของ สุรชัย หายไป

สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหายภูชนะ และสหายกาสะลอง เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย และเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศลาวจากเหตุการณ์รัฐประหาร ๒๕๕๗ เขาทั้งสามหายออกจากที่พักโดยที่ไม่มีใครสามารถติดต่อได้เป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนก่อนที่จะพบศพ

เผด็จการทหารไทยมีประวัติในการเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าคนที่เห็นต่างหรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “โกตี๋” กับ “ดีเจซุนโฮ” ที่อยู่ในประเทศลาวเช่นกัน เป็นตัวอย่างที่ดีของการถูกอุ้มฆ่า ในกรณี โกตี๋ เขาถูกอุ้มโดยชายไทยแต่งชุดดำที่ข้ามพรมแดนมาจากไทย

gplus777070875

รัฐบาลเผด็จการทรราชในไทยและทั่วโลก ที่ใช้วิธีการจัดตั้งกองกำลังลับเพื่อฆ่าวิสามัญฝ่ายตรงข้าม มักจะออกมาโกหกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้เป็นธรรมดา และวิธีการที่พวกนี้ใช้มักจะไม่เหลือหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้เราสืบค้นได้ แต่นั้นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลของประยุทธ์ไม่ได้มีส่วนในการฆ่า สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหายภูชนะ และสหายกาสะลอง เพราะอะไร?

ในประการแรก เราทราบดีว่าทั้งประยุทธ์จอมเผด็จการ ประวิตรหมูโสโครก และพรรคพวกคนอื่นๆ มีนิสัยโกหกเป็นสันดาน

ในประการที่สอง ประยุทธ์มีประวัติเปื้อนเลือดจากการฆ่าเสื้อแดงที่ไร้อาวุธในขณะที่เรียกร้องประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลทหารที่มีอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี

ในประการที่สาม กองทัพไทยใช้กองกำลังลับ เพื่อฆาตกรรมวิสามัญคนมาเลย์มุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลไทยในปาตานี และใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

ในประการที่สี่ รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ใช้อำนาจเถื่อนในการปราบปรามคนที่คิดต่าง โดยเฉพาะผ่านการใช้กฏหมาย 112 สิ่งนี้บวกกับการคลั่งเจ้าของทหาร ทำให้พวกโจรป่าเถื่อนสุดขั้วอย่าง พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา หัวหน้าแก๊ง “เก็บขยะ” ได้ใจในการข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง โดยที่ไม่เคยโดนรัฐบาลลงโทษหรือปลดออกจากตำแหน่งผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ พูดง่ายๆ รัฐบาลประยุทธ์ส่งเสริมพฤติกรรมแย่ๆ ของนายเหรียญทอง

asdwdwd-1

อ. ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เคยเขียนไว้ในบทความที่เผยแพร่ใน Japan Times ว่า เหรียญทอง แน่นหนาเคยโพสธ์ในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับคนไทยที่หลี้ภัยในฝรั่งเศสอันเนื่องมาจากการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ว่า “ถ้าทำได้ อยากจ้างมือปืนไปฆ่า” นั้นไม่ได้พิสูจน์ว่านายเหรียญทองเกี่ยวข้องกับการฆ่าวิสามัญในลาว แต่มันสะท้อนระบบคิดของพวกคลั่งเจ้าและความมั่นใจว่ามันจะลอยนวลเมื่อก่ออาชญากรรม [ดู https://bit.ly/2UaJYnq]

ในประการสุดท้าย ไม่ว่าประยุทธ์กับพรรคพวกจะสั่งหรือไม่สั่งให้มีการฆ่าสหายสุรชัยกับสหายอื่น แต่การที่คนฆ่าน่าจะเกี่ยวกับกองทัพ และการที่แก๊งประยุทธ์ยึดอำนาจมาปกครองประเทศ แปลว่าคณะเผด็จการต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเราต้องประณามพฤติกรรมของเขา

การที่คนไทยผู้รักประชาธิปไตยข้ามไปหลี้ภัยในลาว ไม่ได้ทำให้รัฐบาลลาวปกป้องเขาแต่อย่างใด เพราะลาวไม่ได้ให้สถานะผู้หลี้ภัยเป็นทางการ แค่ปล่อยให้อยู่ ซึ่งแปลว่าอันธพาลจากกองทัพไทยสามารถข้ามฝั่งไปก่ออาชญากรรมได้อย่างง่ายดาย ในอดีตสมัยสงครามเย็นทหารไทยก็เคยแอบเข้าไปในลาวเพื่อต่อสู้กับขบวนการปลดแอกของประเทศลาว ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงที่ไร้ความชอบธรรม

เป็นที่น่าเสียดายที่ประเทศตะวันตกและองค์กรสหประชาชาติไม่ได้สนใจปัญหาของผู้ลี้ภัยไทยเท่าที่ควร แต่เราต้องวิจารณ์องค์กรภายในประเทศไทยด้วย ยังไม่มีพรรคการเมืองหรือองค์กรณ์เอ็นจีโอไทยที่ออกมาวิจารณ์รัฐบาลไทยในเรื่องนี้เลย และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่กำลังเล่นละครกับรัฐบาลทหารเรื่องกฏหมายอุ้มฆ่าและทรมาน ก็เงียบเฉยในเรื่องสุรชัยและพรรคพวก มีแต่ฮิวแมนไรท์วอทช์เท่านั้นที่ออกแถลงการณ์ [ดู https://bit.ly/2Wdilfi ]

เราคงหวังอะไรไม่ได้จากรัฐบาลลาว เพราะรัฐบาลลาวเน้นรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลไทย และลาวเองก็มีการอุ้มหายไปของนักกิจกรรม ดังนั้นทุกคนที่รักประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนจะต้องประณามเผด็จการทหารไทยที่มีส่วนในการวิสามัญฆาตกรรม สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ สหาย “ภูชนะ” และสหาย “กาสะลอง”

[อ่านเพิ่มเรื่องอาชญากรรมรัฐไทยในอดีต https://bit.ly/2S5c5XT ,   https://bit.ly/2B50UVd ]

ถ้าธนาธรจะให้ธุรกิจมีเสรีภาพมากขึ้นมันจะขัดกับผลประโยชน์คนส่วนใหญ่หรือไม่?

ใจ อึ๊งภากรณ์

การที่สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้สัมภาษณ์ว่าต้องการที่จะให้ธุรกิจในไทยมีเสรีภาพมากขึ้น  โดยลดระเบียบข้อบังคับต่างๆ น่าจะชวนให้เราตั้งคำถามสำคัญในเรื่องนี้ [ดู https://reut.rs/2ugDj39 ] นอกจากนี้รอยเตอร์สเสนอว่าธนาธรต้องการ “ถอยออกห่างจากนโยบายประชานิยมของไทยรักไทย” เราควรจะรู้ว่าท่าทีของพรรคอนาคตใหม่ต่อนโยบายที่ช่วยคนจนเป็นอย่างไร

ในขณะเดียวกันรายงานข่าวจาก Voice TV เปิดเผยว่า ธนาธร ต้องการรื้อระบบผูกขาดที่ครอบงำภาคเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ภาคการธนาคาร ธุรกิจค้าปลีก และภาคการเกษตร และพูดว่า หลายภาคส่วนไม่ได้เป็นไปตามกลไกตลาด ควบคุมโดยกลุ่มทุนไม่กี่ราย” [ดู https://voicetv.co.th/read/HyhWwN9qz ]

 

ในด้านหนึ่งการทำลายการผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่อาจเป็นประโยชน์กับพลเมืองส่วนใหญ่ ถ้านำไปสู่การลดราคาหรือการบริการที่ดีขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งอาจนำไปสู่ข้อเสียสำหรับคนส่วนใหญ่ ถ้าผลที่เกิดขึ้น นำไปสู่การรื้อทิ้งคนงาน และการตัดค่าจ้าง

 

นอกจากนี้ ในภาพรวม ข้อเสนอในการให้เสรีภาพกับกลุ่มทุนต่างๆ และนำกลไกตลาดเข้ามา เป็นข้อเสนอของนักการเมืองฝ่ายขวาคลั่งกลไกตลาดเสรีมานาน ในบริบทสากลมันเป็นข้อเสนอของคนที่ต้องการเพิ่มกำไรให้กลุ่มทุนบนซากศพหรือความรันทดในชีวิตของคนธรรมดา และมันเป็นสิ่งที่ขัดกับผลประโยชน์พลเมืองส่วนใหญ่ทั่วโลก นี่คือประสบการณ์จากโลกจริงในทุกประเทศ ผมจะขออธิบายต่อ

 

การให้เสรีภาพมากขึ้นกับธุรกิจ ผ่านการรื้อทิ้งและลดระเบียบข้อบังคับต่างๆ มีผลเสียกับขบวนการแรงงานและกรรมาชีพคนทำงาน มันมีผลเสียกับคนที่ต้องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มันมีผลเสียต่อคนที่อาจประสบอุบัติเหตุในสถานที่ทำงาน มันเป็นผลเสียต่อชาวไร่ชาวนา และมันเป็นผลเสียต่อผู้บริโภคอีกด้วย

UnsafeEnviro

สำหรับกรรมาชีพคนทำงานและขบวนการแรงงาน การให้เสรีภาพกับกลุ่มทุนหมายความว่าในรูปธรรมกฏหมายที่ปกป้องสิทธิพื้นฐานของคนทำงานจะถูกรื้อทิ้ง ผลที่เห็นกันทั่วโลกคือนายทุนมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการให้คุณให้โทษและในการละเมิดชีวิตคนทำงาน

นอกจากนี้การรื้อทิ้งข้อบังคับต่างๆ ในเรื่องความปลอดภัยในสถานที่ทำงาน หรือบนเรือประมง ทำให้การทำงานอันตรายมากขึ้น และมันทำให้คนที่มีที่อยู่อาศัยใกล้ๆ กับสถานประกอบการเสี่ยงภัยมากขึ้นอีกด้วย

การรื้อทิ้งระเบียบข้อบังคับต่างๆ ในเรื่องความปลอดภัยในการประกอบธุรกิจคมนาคม เช่นการเดินรถประจำทาง การเดินรถไฟ  หรือการธุรกิจการบิน ทำให้มีอุบัติเหตุมากขึ้น

Anthropocene

สำหรับคนที่ต้องการจะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือลดมลภาวะ หรือแก้ปัญหาโลกร้อน และสำหรับชาวบ้านธรรมดา การรื้อทิ้งระเบียบที่จำกัดเสรีภาพของธุรกิจ นำไปสู่การสร้างโรงไฟฟ้า การขุดเหมือง การบุกรุกป่า และการเพิ่มมลภาวะในเมือง มันนำไปสู่การปฏิเสธปัญหาโลกร้อนที่มาจากการเผาเชื้อเพลิงคอร์บอน เพราะนายทุนจะมีเสรีภาพเต็มที่ในการใช้ทรัพยากรที่ควรเป็นของส่วนรวม ในการกอบโกบกำไรโดยไม่มีการจำกัดเลย เราเห็นปัญหาแบบนี้ในไทยอยู่แล้ว และเห็นปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดี ทรัมพ์ อีกด้วย

สำหรับเกษตรกรรายย่อย การเพิ่มเสรีภาพกับกลุ่มทุน ทำให้เขามีอำนาจต่อรองกับกลุ่มทุนภาคเกษตรน้อยลง และเอาตัวรอดในการประกอบอาชีพยากขึ้นจนเขาต้องล้มละลาย ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นปัญหาทั่วโลก สำหรับชาวประมงพื้นบ้าน ก็จะถูกธุรกิจประมงขนาดใหญ่แย่งอาชีพไปเช่นกัน

การรื้อทิ้งระเบียบข้อบังคับต่างๆ สำหรับบริษัทสื่อไอทีหรือโทรคมนาคม จะนำไปสู่การที่บริษัทเหล่านั้นสามารถละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูกค้า โดยการนำข้อมูลส่วนตัวไปขายได้อย่างเสรี

สำหรับผู้บริโภค การรื้อทิ้งระเบียบข้อบังคับต่างๆ นำไปสู่การผลิตอาหารที่อันตรายมากขึ้น เพราะมาตรฐานความสะอาดจะลดลง และการใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าวัชพืช และการฉีดยาปฏิชีวนะใส่เนื้อสัตว์มีมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาในประเทศตะวันตก

ถ้าเราพิจารณาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และมาดูสภาพสังคมไทย เราจะเห็นว่าในยุคนี้ ธุรกิจต่างๆ เกือบจะมีเสรีภาพในการกอบโกยกำไรและทำลายชีวิตพลเมืองส่วนใหญ่อยู่แล้ว และส่วนหนึ่งมาจากมรดกการปกครองแบบเผด็จการทหาร หรือการที่เรามีแต่พรรคการเมืองฝ่ายทุน ดังนั้นสิ่งที่จะเป็นประโยชน์สำหรับพลเมืองส่วนใหญ่ คือการเพิ่มระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อจำกัดสิทธิของกลุ่มทุนและปกป้องสิทธิของคนส่วนใหญ่

ดังนั้นในเรื่องนี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และพรรคอนาคตใหม่ ควรจะออกมาชีแจงความหมายอย่างเป็นรูปธรรมของการที่จะให้ธุรกิจในไทยมีเสรีภาพมากขึ้นผ่านการรื้อทิ้งข้อบังคับต่างๆ [“business deregulation”] เราจะได้ตัดสินใจว่าจะเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่หรือไม่

วัฒนธรรมการลอยนวลของอาชญากรรัฐไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

ข่าวร้ายชิ้นหนึ่งในสัปดาห์ปลายปี ๒๕๕๘ คือการยกเลิกคดีการฆ่าทนายสมชาย และการปล่อยให้ฆาตกร อภิสิทธิ์และสุเทพ ลอยนวลในกรณีฆ่าเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยในปี ๒๕๕๓ ข่าวสองชิ้นนี้ย้ำว่ายังมีการผลิตซ้ำวัฒนธรรมปกป้องคนเลวและการลอยนวลของอาชญากรรัฐไทย

ข่าวเรื่องอภิสิทธ์และสุเทพ คงไม่ทำให้เราแปลกใจ เพราะไอ้ยุทธ์มือเปื้อนเลือดก็มีส่วนสำคัญในการสั่งฆ่าเสื้อแดงในเหตุการณ์นั้น และนายทหารคนนี้ก็มีส่วนในการสร้างรัฐบาลอภิสิทธิ์ชุดนั้นในค่ายทหารอีกด้วย

ทนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นทนายที่พยายามปกป้องชาวมาเลย์มุสลิมที่ถูกตำรวจไทยทรมานให้สารภาพว่ามีส่วนในการปล้นปืนจากค่ายทหารในปาตานี เขาถูกลักตัวไปฆ่าโดยตำรวจหลายนายจากหลายหน่วยงาน ซึ่งหมายความว่าตำรวจระดับชั้นผู้เป็นใหญ่ และผู้นำประเทศในยุคนั้น เปิดไฟเขียวหรือเพิกเฉยกับอาชญากรรมนี้ ดังนั้น ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ควรต้องรับผิดชอบ และเราไม่ควรลืมว่าทักษิณมือเปื้อนเลือดจากอาชญากรรมที่ตากใบอีกด้วย

เราอาจพูดได้ว่าผู้นำทางการเมือง ตำรวจ กับทหารจำนวนมาก และแม้แต่กษัตริย์ไทย มีส่วนในการสนับสนุนหรือก่ออาชญากรรมรัฐ และจนถึงทุกวันนี้ทุกคนก็ลอยนวลไม่เคยต้องถูกนำมาขึ้นศาล ไม่มีการลงโทษนายทหารชั้นผู้ใหญ่ หรือนักการเมืองที่สั่งฆ่าประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ๖ตุลา พฤษภา ๓๕ และราชประสงค์ปี ๕๓ ทั้งภายใต้อำนาจเผด็จการทหาร หรือที่ตากใบกรณีทนายสมชาย และในสงครามยาเสพติดภายใต้รัฐบาลทักษิณ

คนที่ลอยนวลไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่รวมไปถึงอันธพาลคลั่งเจ้าที่เป็นแนวร่วมของรัฐเผด็จการ เช่นพวกเสื้อเหลือง หรือม็อบสุเทพกับม็อบฟาสซิสต์ของคนที่อ้างตัวเป็นพระสงฆ์ด้วย ยังไม่มีการลงโทษพวกนี้ทั้งๆ ที่ใช้ความรุนแรงในการยึดสถานที่ราชการเพื่อห้ามไม่ให้พลเมืองไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

ถ้าพูดถึง “ศาล” เราคงเข้าใจดีว่าระบบตุลาการไทยถูกออกแบบเพื่อมีหน้าที่รับใช้อาชญากรอำมาตย์ และได้รับการปกป้องจากกฏหมาย “หมิ่นศาล” ซึ่งเป็นกฏหมายเผด็จการที่ไม่ต่างจากกฏหมาย 112 ที่ทหารใช้ในการปกป้องตนเองและกษัตริย์

ประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง รากฐานปัญหาอยู่ที่การมองว่าคนไทย ไม่ใช่ “พลเมือง” ที่เท่าเทียมกัน บ่อยครั้งมีการเรียกผู้คนด้วยคำล้าสมัยว่า “ราษฎร” ซึ่งหมายถึงประชาชนผู้อาศัยอยู่ในแว่นแคว้นของพระราชา มันเป็นคำจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ไม่เหมาะสมกับประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน

แนวความคิดว่าบางคน “สูง” บางคน “ต่ำ” ถูกผลิตซ้ำโดยพฤติกรรมของทหาร นักการเมือง และนายทุน ทหารระดับนายพลจึงมองว่าตนเองสามารถเข่นฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้ตามอำเภอใจ

การเรียกทหารชั่วระดับสูงในสื่อว่า “บิ๊ก” และการใช้คำว่า “ท่าน” นำหน้าพวกอาชญากรรัฐ เป็นการสืบทอดวัฒนธรรมหมอบคลาน

ทำเนียมหมอบคลานต่อคนที่อ้างตัวเป็น “ผู้ใหญ่” เป็นวิธีทำให้ผู้หมอบคลานมีฐานะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่คนที่ยืนสองขา ทำเนียมแย่ๆ นี้ถูกกระจายลงไปสู่โรงเรียนและครัวเรือน คนรวยมักชอบให้คนรับใช้ก้มหัวคลาน และทำงานทั้งวันทั้งคืน แม้แต่ในภาษาพูดก็มีการเน้น “สูงต่ำ” เช่นคำว่า “หนู” ที่สตรีถูกกล่อมเกลาให้เรียกตัวเอง ซึ่งเป็นการเสริมว่าผู้หญิงเป็นคนชั้นสอง

ในสถานที่ทำงาน นายจ้างมักมองว่าตนเองมีสิทธิ์เผด็จการเหนือลูกจ้าง และกฏหมายแรงงานบวกกับอคติของผู้พิพากษาศาลแรงงาน มักสนับสนุนความคิดเผด็จการอันนี้

ในระบบยุติธรรมทั่วไป พวกที่นั่งบัลลังก์มักมองพลเมืองธรรมดาด้วยความดูถูกดูหมิ่น และเหมือนไม่ใช่คนที่ควรได้รับความเคารพ นักโทษในคุกถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสัตว์ แทนที่จะใช้ความคิดสากลสมัยใหม่ที่มองว่านักโทษก็มีสิทธิ์เช่นกัน

ถ้าเราจะสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสังคมเรา เราต้องยุบคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพราะองค์กรนี้เต็มไปด้วยตำรวจ ทหาร และนักวิชาการที่มีอคติต่อประชาธิปไตย แทนที่จะหวังพึ่งองค์กรกึ่งรัฐแบบนี้ เราต้องหันมาให้ความสำคัญกับขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่เรียกร้องเสรีภาพและประกอบไปด้วยมวลชนจำนวนมาก บทเรียนจากทั่วโลก สอนให้เรารู้ว่าสหภาพแรงงานที่อิสระจากอิทธิพลของคนชั้นสูง มีบทบาทสำคัญในการสร้างขบวนการแบบนี้

ความฝันลอยๆ ของนักวิชาการบางคน ที่จะตั้งคณะกรรมการค้นหาความจริงเพื่อนำอาชญากรรัฐมาลงโทษ จะละลายไปกับน้ำ ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับพลังมวลชนแบบนี้

การสร้างมาตรฐานสิทธิมนุษยชนแยกไม่ออกจากความจำเป็นที่จะต้องล้มอำนาจทางการเมืองของทหาร และการล้มอิทธิพลของลัทธิกษัตริย์ ในระยะยาวเราต้องรณรงค์ให้ความคิดเรื่อง “พลเมืองที่เท่าเทียม” กลายเป็นความคิดกระแสหลัก