Tag Archives: สิ่งแวดล้อม

จุดอ่อนพรรคสามัญชนคือแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบเอ็นจีโอ – การแก้ปัญหาโลกร้อนจะไม่ทำให้คนตกงาน

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ แกนนำพรรคสามัญชน เขียนบทความที่เสนอว่าการพัฒนาที่พยายามปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อต้านปัญหาโลกร้อน จะทำให้แรงงานจำนวนมากว่างงานหรือมีรายได้น้อยลง [ดู https://bit.ly/2BUMtUj ] แต่ข้อเสนอนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จะขออธิบายรายละเอียดต่อข้างล่าง

นอกจากนี้มีการเขียนว่าขบวนการเสื้อกั๊กเหลืองในฝรั่งเศส ออกมาต้าน “นโยบายแก้ปัญหาโลกร้อน” ของรัฐบาลฝรั่งเศส แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลฝ่ายขวาของฝรั่งเศสพยายามขึ้นภาษีน้ำมัน เพื่อรีดไถเงินจากคนธรรมดาในขณะที่ไม่มีมาตรการการแก้ปัญหาโลกร้อนที่แท้จริง และรัฐบาลยังลดภาษีให้คนรวยและบริษัทใหญ่อีกด้วย [ดูบทความของผมเกี่ยวกับเสื้อกั๊กเหลือง https://bit.ly/2XyuNab]

เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ยังเสนอต่อไปว่าเราไม่ควรให้ความสำคัญกับการขยายตัวของเศรษฐกิจและตัวเลข GDP หรือ “ผลิตผลมวลรวม” เพราะการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายมักหนุนเสริม GDP และพร้อมกันนั้นเขาวิจารณ์สหภาพแรงงานไทยที่ไม่ค่อยแสดงความเห็นในเรื่องแบบนี้อีกด้วย นี่คือแนวเอ็นจีโอชัดๆ และมาจากกลุ่มคนที่ไม่ลงไปปลุกระดมให้การศึกษาทางการเมืองกับขบวนการแรงงานอีกด้วย

Small-Is-Beautiful-Cover
จิ๋วแต่แจ๋ว

ความเห็นของ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ สะท้อนแนวคิดของพรรคสามัญชนที่ยังจมอยู่ในแนวคิด “เศรษฐกิจชุมชน” และ “คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน” ตามวิธีคิดเอ็นจีโอ มันเป็นแนวคิดที่มีมุมมองคับแคบ ไม่ศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองของฝ่ายซ้ายหรือมาร์คซิสต์ที่วิจารณ์ทุนนิยมจากจุดยืนกรรมาชีพคนทำงาน และไม่สนใจพลเมืองส่วนใหญ่ที่ทำงานในเมืองอีกด้วย แนวคิดพรรคสามัญชนสอดคล้องกับแนวเศรษฐศาสตร์จิ๋วแต่แจ๋ว ที่เป็นแนวกรีนฝ่ายขวาที่เกลียดคนธรรมดาเพราะมองว่ามนุษย์ทุกคนทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะอยู่ชนชั้นใด

GreenJobs2

ในเรื่องมาตรการที่จะแก้ปัญหาโลกร้อน โดยการลดการเผาเชื้อเพลิงคอร์บอนนั้น แทนที่มันจะทำลายงานและทำให้กรรมาชีพมีรายได้น้อยลง มันสามารถที่จะสร้างงานคุณภาพให้ประชาชนเป็นล้านๆ ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าผู้บริหารสังคมยึดถื่อผลประโยชน์ของกรรมาชีพและคนจนหรือไม่ ประเด็นใหญ่คืออำนาจในการควบคุมเศรษฐกิจจะอยู่ในมือชนชั้นใด ถ้าอยู่ในมือของนายทุนใหญ่และคนอย่าง ดอนัลด์ ทรัมป์ โลกเราคงฉิบหายแน่

GettyImages-613835366-1280x720
ทรัมป์ไม่เชื่อเรื่องปัญหาโลกร้อน

มาตรการสำคัญในการแก้ปัญหาโลกร้อนมีหลายอย่าง เช่น การสร้างวิธีผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดและลม โดยผลิตอุปกรณ์เองภายในประเทศ การสร้างระบบรถไฟความเร็วสูงที่ใช้ไฟฟ้าจากลมและแสงแดด แทนการใช้เครื่องบินระหว่างเมืองต่างๆ การสร้างระบบขนส่งมวลชนในเมืองที่ใช้ไฟฟ้าและไม่เก็บค่าบริการจากประชาชน การสร้างโรงเรียนและโรงพยาบาลชั้นดีเพื่อบริการประชาชนในทุกชุมชน เพื่อลดระยะทางที่ต้องผู้คนต้องเดินทาง การสร้างตึกที่ไม่อมความร้อนมากเกินไปโดยมีโครงสร้างที่กันแสงแดดและเปิดให้อากาศถ่ายเท เพื่อประหยัดพลังงานที่ใช้กับเครื่องปรับอากาศ และการพัฒนาบ้านเรือนและตึกสถานที่ทำงานที่มีอยู่แล้วให้มีสภาพแบบนี้อีกด้วย ฯลฯ

climatejobscover

โครงการแบบนี้ล้วนแต่จะสร้างงานที่มีคุณภาพและความหมายให้กับประชาชนจำนวนมาก และมีการเสนอนโยบายอย่างละเอียดและเป็นรูปธรรมโดยสหภาพแรงงานในอังกฤษและที่อื่น [ดู https://bit.ly/2DMkGrq ] ซึ่งดูเหมือนคนของพรรคสามัญชนไม่ติดตามข่าวหรือข้อมูลสากลจากสื่อก้าวหน้าเลย อันนี้ก็เป็นนิสัยของนักกิจกรรมเอ็นจีโอมานาน

52461564_327215004590008_7594824578283601920_n

ในเรื่องความสำคัญของ GDP หรือ “ผลิตผลมวลรวม” มันสำคัญเพราะมันเป็นเครื่องชี้วัดการขยายตัวของเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจหดตัวคนธรรมดาจะตกงานและเดือดร้อน แต่แน่นอนเราไม่สามารถดูแค่เรื่อง GDP อย่างเดียวโดยไม่ให้ความสำคัญกับการกระจายรายได้หรือความเหลื่อมล้ำ เรื่องนี้ก็กลับมาสู่เรื่องอำนาจในการควบคุมระบบทุนนิยมอีก เพราะถ้าปล่อยให้เศรษฐกิจอยู่ในมือนายทุนมันต้องมีความเหลื่อมล้ำเป็นธรรมดา ดังนั้นเราต้องเพิ่มพลังของกรรมาชีพคนทำงานเพื่อต่อรองกับนายทุน และในที่สุดยึดอำนาจการควบคุมเศรษฐกิจมาอยู่ในมือประชาชนธรรมดา เราต้องเดินหน้าสร้างระบบสังคมนิยมแทนทุนนิยม แต่พรรคสามัญชนไม่ค่อยพูดถึงเรื่องนี้เลย

jobsjusticeclimate

แทนที่จะพูดถึงเศรษฐกิจชุมชน เศรษฐกิจจิ๋วแต่แจ๋ว หรือเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งล้วนแต่มีจุดร่วม เราต้องเข้าใจว่าประชาชนไทยจำนวนมากมีความยากจนและมีความไม่เพียงพอ ประเด็นคือเราจะใช้อำนาจอะไรเพื่อกำกับการขยายตัวของเศรษฐกิจให้ลดความเหลื่อมล้ำและปกป้องสิ่งแวดล้อม

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การวิจารณ์พรรคสามัญชนในบทความนี้ ไม่ควรถูกตีความว่าเราควรสนับสนุนพรรคทหารหรือพรรคที่อวยทหารแต่อย่างใด ผู้เขียนเสนอว่าในวันเลือกตั้งประชาชนที่รักประชาธิปไตยควรเลือกพรรคในเครือข่ายพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคสามัญชน

 

มนุษย์กับประวัติศาสตร์ภูมิอากาศโลก

ใจ อึ๊งภากรณ์ เรียบเรียงจากบทความของ Camilla Royle

การดำรงอยู่ของมนุษย์ในรอบหมื่นกว่าปีหลังยุคน้ำแข็งอยู่ในสมัย “โฮโลซีน” ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศและระบบนิเวศน์ที่ค่อนข้างคงที่ถ้าเทียบกับยุคก่อน แต่ในปัจจุบันนักธรณีวิทยาเริ่มนิยามยุคปัจจุบันว่าเป็นยุค “แอนโทรโปซีน” ซึ่งหมายถึงสมัยที่การกระทำของมนุษย์มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก อย่างที่ไม่เคยเป็นในอดีต

การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน โดยเฉพาะปัญหา “โลกร้อน” ที่มาจากการที่มนุษย์ผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกซ์ไซด์ จากการเผาเชื้อเพลิงคอร์บอน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาก และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่นการละลายของน้ำแข็งในขั้วโลก การเพิ่มกรดในทะเล การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์และระบบนิเวศน์ ซึ่งล้วนแต่มีผลกระทบต่อเรา ต่อสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และต่อระบบการเกษตร มันมากกว่าแค่ “วิกฤต” เพราะมันจะไม่หายไปด้วยตัวมันเอง และอาจอยู่กับโลกตลอดไป

ประเด็นสำคัญที่นักมาร์คซิสต์จะต้องเน้นคือ มันเป็นปัญหาของทุนนิยม และระบบที่ “การสะสมเพื่อกำไร”เป็นพระเจ้าที่ครองสังคมมนุษย์ อย่างที่ คาร์ล มาร์คซ์ เคยอธิบาย

จริงๆ แล้วการเสนอว่าวิถีชีวิตของมนุษย์มีผลต่อภูมิอากาศและระบบนิเวศน์โลก เป็นข้อเสนอที่เริ่มจากนักวิทยาศาสตร์โซเวียตในปี 1945 โดยที่ Aleksei Pavlov และ Vladimir Vernadsky พูดถึงมนุษย์ว่ากลายเป็น “พลังทางธรณี”

ในหมู่คนที่เป็นห่วงและสนใจปัญหาโลกร้อน มีนักเคลื่อนไหวบางคนที่เสนอว่ายุค “แอนโทรโปซีน” เกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์เริ่มเดินบนโลก ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงวิกฤตทางธรณีวิทยาที่กำลังเกิดจากระบบทุนนิยม มันนำไปสู่ทางตัน เพราะโทษมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ชนชั้นใด ว่ามีส่วนร่วมในการก่อปัญหา และมีข้อเสนอเดียวคือเราในฐานะปัจเจกต้องลดการบริโภค ในขณะที่มนุษย์จำนวนมากบริโภคไม่พอ มันเป็นคำอธิบายที่โทษ “ธรรมชาติมนุษย์” และเสนอว่าเราต้องหาวิธีทางเทคนิคเพื่อแก้ปัญหา นอกจากนี้มันมาจากมุมมองว่ามนุษย์เป็นพลังพิเศษที่แยกออกจากธรรมชาติของโลกได้ มันเป็นแนวคิดประเภท “หลังสมัยใหม่” หรือ “หลังยุคการเมือง” ที่ปฏิเสธความคิดทางการเมือง

แต่นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่ยุคมาร์คซ์ จะใช้ “วิภาษวิธี” มองภาพรวมของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยเข้าใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติมีผลกระทบต่อเรา และเรามีผลกระทบต่อธรรมชาติเสมอ [ http://bit.ly/2aj5st3 %5D

นักวิจารณ์คนสำคัญของฝ่ายซ้ายในปัจจุบันที่พูดถึงปัญหายุค “แอนโทรโปซีน” คือ Andreas Malm (อันเดรอัส มาล์ม) จากมหาวิทยาลัยลุนด์ในประเทศสวีเดน มาล์ม เสนอว่ายุค “แอนโทรโปซีน” เริ่มจากการใช้ถ่านหินและเครื่องจักรไอน้ำ ซึ่งทิศทางการพัฒนาในการปฏิวัติอุตสาหกรรมทุนนิยมนี้ ได้รับผลโดยตรงจากการต่อสู้ทางชนชั้น และการที่นายทุนต้องการจะควบคุมปัจจัยการผลิต เขาเน้นว่าปัญหาโลกร้อนคือปัญหาทางการเมือง และมนุษย์ทุกคนไม่ได้ก่อให้มันเกิดขึ้น เราต้องโทษชนชั้นที่ควบคุมระบบการผลิตมากกว่า [http://bit.ly/1IJYR4J]

แต่จุดอ่อนของ มาล์ม คือเขามองแค่สังคมมนุษย์ แต่ไม่ให้ความสนใจกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติเท่าที่ควร เราต้องหาทางวิเคราะห์ทั้งสองเรื่องพร้อมกัน

แน่นอน ระบบทุนนิยมปัจจุบันเกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางชนชั้นในสังคม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมในระบบทุนนิยม แตกต่างจากความสัมพันธ์ในยุคก่อนทุนนิยม เพราะในปัจจุบันกลไกตลาดบังคับให้กลุ่มทุนต่างๆ แข่งขันกันเพื่อสะสมทุนมากขึ้นตลอดเวลา ในระบบนี้คนธรรมดาทั่วโลกไม่สามารถวางแผนการผลิตเพื่อตอบสนองเพื่อมนุษย์ และไม่สามารถวางแผนการผลิตในรูปแบบที่จะไม่นำไปสู่การทำลายโลกได้

พูดง่ายๆ ระบบนิเวศน์และภูมิศาสตร์ปัจจุบัน มีลักษณะพิเศษอันเนื่องมาจากระบบทุนนิยม ดังนั้นเราควรมองว่ายุคทุนนิยมและยุค “แอนโทรโปซีน” เป็นเรื่องเดียวกัน และเราไม่ควรลืมว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์

นักวิทยาศาสตร์หลายคนกำลังเตือนเราว่าถ้าเราไม่รีบเปลี่ยนแปลงสภาพของ ยุค “แอนโทรโปซีน” มนุษย์เองอาจสูญพันธ์ หรืออย่างน้อยข้อดีของโลกที่พัฒนาและมีอารยะธรรมอาจหายไปหมด มันแปลว่าเราจะต้องเคลื่อนไหวล้มระบบทุนนิยม เพื่อปลดแอกมนุษย์จากสังคมชนชั้น และเพื่อปกป้องโลกกับระบบนิเวศน์พร้อมกัน

สำหรับนักนิเวศวิทยาฝ่ายซ้ายอย่าง John Bellamy Foster เราจะต้อง “ปฏิวัติระบบนิเวศน์” และ “ปฏิวัติระบบทุนนิยม” อย่างเร่งด่วน

[บทความนี้เรียบเรียงจากบทความของ Camilla Royle http://bit.ly/2aGcSun %5D