Tag Archives: อองซานซูจี

การต่อสู้เพื่อปลดแอกประชาชนพม่ากับแนวการเมืองของอองซานซูจี

หลังรัฐประหารที่เกิดขึ้นในพม่า เราต้องสมานฉันท์กับประชาชนพม่าในการต้านเผด็จการทหาร

ก่อนที่จะเกิดรัฐประหารรอบล่าสุด ในระบบการเมืองพม่า ซึ่งอาศัยรัฐธรรมนูญที่ทหารร่างเอง กองทัพได้สำรองที่นั่ง 25% ในรัฐสภา ยิ่งกว่านั้นกองทัพสงวนสิทธิ์ที่จะให้นายพลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย กลาโหม และรัฐมนตรีที่ควบคุมพรมแดน กองทัพมีสิทธิ์วีโต้การแก้รัฐธรรมนูญ และในกรณี “วิกฤต” กองทัพสามารถเข้ามาคุมรัฐบาลได้เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้น

เราสนับสนุนผู้ที่เรียกร้องให้ปล่อยนักโทษทางการเมืองทั้งหมด รวมถึง นางอองซานซูจี แต่เราต้องฟันธงว่า นางอองซานซูจี ไม่ใช่ผู้นำที่ประชาชนควรจะไว้ใจในการนำการต่อสู้เพื่อปลดแอกประเทศ

อองซานซูจีคือใคร?

อองซานซูจี คือผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย(N.L.D.) ที่คัดค้านรัฐบาลทหารพม่ามาตั้งแต่สมัยการลุกฮือของประชาชนในวันที่ 8 สิงหาคม 1988 หรือที่รู้จักกันว่า “การกบฏ 8-8-88”  เธอเป็นลูกสาวของอดีตผู้นำขบวนการเอกราชในยุคอาณานิคมอังกฤษที่ชื่อ อองซาน

อองซาน ผู้เป็นพ่อ เป็นคนที่คลุกคลีกับแนวชาตินิยมปะปนกับแนวสังคมนิยม แต่ในหลายเรื่องค่อนข้างจะขัดแย้งกับแนวมาร์คซิสต์ เช่นไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีนัดหยุดงานของกรรมกรในการต่อสู้กับอังกฤษหลังสงครามโลก เน้นแนวชาตินิยมเหนือแนวชนชั้น และสนับสนุนให้มีการปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเป็นต้น

เผด็จการทหารพม่าเคยเป็น “สังคมนิยม” จริงหรือ?

ตั้งแต่อดีตนายพล เนวิน ยึดอำนาจในปี 1962 ผู้นำพม่าอ้างว่าปกครองตามแนว “สังคมนิยมแบบพม่า” พรรคของรัฐบาลก็เรียกตัวเองว่า “พรรคนโยบายสังคมนิยมพม่า” (B.S.P.P.) แต่ในความเป็นจริงถ้าเราสำรวจที่มาที่ไปของผู้นำเผด็จการทหารพม่าจะพบว่านายพล เนวิน มาจากซีกขวาของขบวนการชาตินิยมพม่าที่ชื่อขบวนการ Dobama Asiayone “เราพม่า” ซึ่งคนสำคัญของซีกซ้ายของขบวนการนี้คือ อองซาน และ ทะขิ่นโซ (ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลิน-เหมาของพม่า)

ขณะที่นายพล เนวิน อ้างตัวเป็นสังคมนิยมแบบพม่า รัฐบาลทหารพม่าก็ปราบปรามพรรคคอมมิวนิสต์โดยประกาศว่าแนวคิดคอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อธรรมะ และศาสนาพุทธ นโยบายหลักๆ ของ “พรรคนโยบายสังคมนิยมพม่า” คือ การปิดประเทศเพื่อพัฒนาชาติผ่านการระดมทุนโดยรัฐ การบังคับรวมชาติและกดขี่กลุ่มเชื้อชาติต่างๆ และการใช้ทหารปกครองประเทศ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่มีเศษของแนวคิดสังคมนิยมดำรงอยู่เลย

เราต้องสรุปว่าในสมัย เนวิน พม่าใช้ระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยมโดยรัฐภายใต้ลัทธิชาตินิยม” ซึ่งลอกแบบมาจากระบบเผด็จการสตาลิน-เหมาในรัสเซียกับจีน

นายพล เนวิน ต้องลงจากอำนาจท่ามกลางการกบฏปี 1988 และหลังจากนั้นเผด็จการทหารพม่าก็พยายามหันมาเปิดประเทศภายใต้แนวทุนนิยมตลาดเสรี ซึ่งการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนภายใต้เผด็จการพรรคคอมมิวนิสต์

แนวทางความคิดของ อองซานซูจี

อองซานซูจี เป็นคนที่ไม่เคยสนใจแนวสังคมนิยม และมักจะเสนอแนวทางแบบ “พุทธ” ทุนนิยมตลาดเสรี และสันติวิธีปัญหาสำคัญของแนวการนำของ ซูจี คือเขาพยายามชักชวนให้กรรมาชีพที่ออกมานัดหยุดงานครั้งยิ่งใหญ่ใน 8-8-88 หรือนักศึกษาที่เป็นหัวหอกสำคัญในการจุดประกายไฟการต่อสู้ในครั้งนั้น สลายตัว เพื่อให้การเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย และบ่อยครั้ง ซูจี จะเสนอว่าฝ่ายประชาธิปไตยต้องประนีประนอมกับกองทัพพม่า

การประท้วงใหญ่ 8-8-88

ในเดือนสิงหาคมปี 1988 ซูจี ออกมาปราศรัยกับมวลชน5แสนคนที่เจดีย์ชเวดากอง และบอกให้มวลชน “ลืม” การที่ทหารพึ่งฆ่าประชาชนเป็นพันๆ พร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชน “รักกองทัพต่อไป” (ดูหนังสือ Freedom From Fear ของ อองซานซูจี)

ประท้วง 8888

ในหลายๆ เรื่อง ซูจี มีความคิดอนุรักษ์นิยมที่เข้าข้างนายทุน (ดูหนังสือ “จดหมายจากพม่า”) เช่นเธอมักจะสนับสนุนกลไกตลาดเสรีและแนวขององค์กร ไอเอ็มเอฟ และมักจะมองปัญหาของพม่าในกรอบแคบๆ ของแนวชาตินิยม ประเด็นหลังนี้เป็นปัญหามาก และขัดแย้งกับการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพแท้ เพราะประเทศ “พม่า” เป็นสิ่งที่อังกฤษสร้างขึ้นมาในยุคล่าอาณานิคม โดยที่ประกอบไปด้วยหลายเชื้อชาติที่ไม่ใช่คนพม่า กลุ่มเชื้อชาติต่างๆ เหล่านี้ เช่นชาว กะเหรี่ยง คะฉิ่น ฉาน  คะเรนนี่ ฯลฯ ไม่พอใจที่จะถูกกดขี่เป็นพลเมืองชั้นสองในระบบรวมศูนย์อำนาจที่ดำรงอยู่ในอดีตและปัจจุบัน แต่ อองซานซูจี ไม่เคยเสนอว่ากลุ่มเชื้อชาติต่างๆ ควรมีสิทธิ์ปกครองตนเองอย่างเสรี เพราะเธอต้องการปกป้องรัฐชาติพม่าในรูปแบบเดิม ในงานเขียนหลายชิ้นเธอจะ “ชม” วัฒนธรรมหลากหลายและงดงามของกลุ่มเชื้อชาติต่างๆ แต่เป็นการชมเหมือนผู้ปกครองชมลูกๆ มากกว่าการให้เกียรติกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี

วิธีการต่อสู้ของ ซูจี จะเน้นการสร้างพรรคการเมืองกระแสหลักเพื่อแข่งขันทางการเมืองในรัฐสภา แทนที่จะสนับสนุนการสร้างขบวนการมวลชน เขาตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นจุดรวมศูนย์ของประชาธิปไตยพม่า แทนที่จะเน้นพลังรากหญ้า

และในห้ากว่าปีที่ผ่านมา ซูจี ประนีประนอมกับทหารตลอดเวลา จนเลขาธิการสหประชาชาติ อังตอนียู กูแตรึช พูดว่าเขา “ใกล้ชิดทหารมากเกินไป” ยิ่งกว่านั้นภายในพรรค NLD ซูจี เริ่มใช้มาตรการเผด็จการต่อคนที่เห็นต่างจากเขา ซึ่งสร้างความไม่พอใจไม่น้อย

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี สลดใจและผิดหวังในเรื่องจุดยืนเขาต่อโรฮิงญา เพราะ ซูจี สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวโรฮิงญาโดยกองทัพพม่า และเขาเกลียดชังชาวมุสลิม แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี ต่อโรฮิงญาแต่อย่างใด

พลังแท้ในการปลดแอกประชาชน

ในหมู่ผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในประเทศพม่า มีแนวคิดหลักๆ สามแนวที่ใช้ในการต่อสู้คือ

1.แนวของ ซูจี ที่เสนอให้ใช้สันติวิธี ประนีประนอมกับเผด็จการ ลดการต่อสู้บนท้องถนน ลดการนัดหยุดงาน เน้นการค่อยๆ เจรจาในระดับสูงและการกระทำเชิงสัญลักษณ์ของผู้นำเช่นตัว ซูจี เอง นอกจากนี้มีการตั้งความหวังกับการกดดันจากรัฐบาลภายนอกและองค์กรสหประชาชาติ

ปัญหาคือว่ารัฐบาลภายนอก อย่างเช่นรัฐบาลต่างๆ ในอาเซี่ยน  รัฐบาลสหรัฐ อังกฤษ ญี่ปุ่น หรือในยุโรป ถึงแม้ว่าอาจเอ่ยถึงความสมควรที่จะมีประชาธิปไตยพม่าเป็นบางครั้งบางคราว แต่สิ่งที่เป็นเงื่อนไขหลักในการกำหนดนโยบายต่างประเทศไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์หรือสิทธิเสรีภาพของคนธรรมดา เป็นเรื่องผลประโยชน์กลุ่มทุนมากกว่า

2. แนวจับอาวุธ แนวนี้เป็นแนวที่กลุ่มปลดแอกเชื้อชาติต่างๆ รวมถึงอดีตพรรคคอมมิวนิสต์พม่า และกลุ่มนักศึกษาจากยุคหลัง 8-8-88 บางกลุ่มเลือกใช้ แต่การต่อสู้แบบนี้ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมาล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะกำลังทางทหารของรัฐบาลพม่าเหนือกว่าเสมอ หรืออย่างน้อยที่สุดกำลังทหารของกลุ่มเชื้อชาติไม่สามารถโค่นล้มรัฐบาลกลางของพม่าได้เพราะอ่อนแอและแตกแยกกันเองเสมอ สงครามกลางเมืองในพม่าจึงยืดเยื้อยาวนานโดยดูเหมือนไม่มีจุดจบ

3. แนวมวลชนในเมือง ในรอบ 60 ปีของเผด็จการทหารพม่า มีเหตุการณ์สำคัญครั้งเดียวเท่านั้นที่เกือบล้มอำนาจทหารได้ นั้นคือการกบฏ 8-8-88 การกบฏครั้งนี้มีรูปแบบคล้ายๆ การต่อสู้ในเมืองทั่วไป อย่างเช่นกรณี ๑๔ ตุลา ในไทย หรือ 1968 ในเมืองปารีสประเทศฝรั่งเศส คือนักศึกษาหนุ่มสาวเป็นหัวหอกในการจุดประกายไฟการต่อสู้กับรัฐบาล แต่ในไม่ช้าประชาชนธรรมดาที่เป็นกรรมาชีพในเมืองก็เปิดศึกออกรบร่วมกับนักศึกษาและให้พลังกับการต่อสู้

หลังจากที่กระแสต้านเผด็จการพม่าเริ่มก่อตัวขึ้น ในเช้าของวันที่ 8-8-88 กลุ่มแรกที่เคลื่อนออกมาคือกรรมกรท่าเรือในเมืองหลวง ตามด้วยกรรมาชีพในสถานที่อื่นๆ รวมถึงข้าราชการ นักศึกษา และพระสงฆ์ วันนั้นเป็นวันแรกของการนัดหยุดงานทั่วไปและการประท้วงในหลายๆ เมืองของพม่า

ระหว่างเดือนสิงหาคม 1988 และการเลือกตั้งในปี 1990 รัฐบาลเผด็จการพม่าไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะคุมสถานการณ์ได้หมด ทั้งๆ ที่มีการใช้อาวุธกับประชาชนธรรมดา เพราะมวลชนในเมืองลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างต่อเนื่อง นี่คือสาเหตุที่ทหารพม่ายอมจำนนและเปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง แต่ในขณะที่ฝ่ายเผด็จการอ่อนแอ ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก็อ่อนแอในการนำด้วย กลุ่มนักศึกษาและกรรมาชีพไม่มีการจัดตั้งที่เข้มแข็งทางการเมืองเพียงพอ การนำจึงตกอยู่ในมือของคนภายนอกขบวนการอย่าง อองซานซูจี และเธอก็เรียกร้องเสมอให้มีการสลายม็อบและกลับไปทำงานเพื่อให้กระแสการเรียกร้องประชาธิปไตยเข้าสู่กรอบแคบๆ ของการเมืองรัฐสภา แนวทางการต่อสู้แบบนี้มีผลในการสลายพลังของมวลชน ซึ่งในที่สุดเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายทหารพม่ารื้อฟื้นอำนาจและกล้ารุกสู้ ดังนั้นหลังการเลือกตั้ง 1990 จึงมีการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ

บทเรียนจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้คือ พลังที่สามารถท้าทายเผด็จการทหารพม่าอยู่ที่มวลชนในเมือง ซึ่งรวมถึงกรรมาชีพด้วย ไม่ได้อยู่ที่ผู้นำที่มีชื่อเสียง การจับอาวุธในป่า หรือการหวังแรงกดดันจากต่างประเทศ ดังนั้นต้องมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและดุเดือดเพื่อโค่นล้มเผด็จการ ไม่ใช่ไปประนีประนอมจนฝ่ายประชาธิปไตยหมดกำลังใจและฝ่ายเผด็จการรวมตัวกันใหม่ได้ ที่สำคัญคือขบวนการต่อสู้ของนักศึกษา กรรมาชีพ และพระสงฆ์ ต้องสามารถนำตนเอง ต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหาและทางออกเอง

ขบวนการกรรมาชีพพม่า ทั้งในพม่าและนอกประเทศในไทย มีพลังซ่อนเร้นมากขึ้นทุกวัน และหลังการก่อรัฐประหารครั้งนี้ มีการนัดหยุดงานในโรงพยาบาลเกือบหนึ่งร้อยแห่ง และมีการออกมาประท้วงของครู นักศึกษา และข้าราชการ นอกจากนี้กรรมกรสิ่งทอในพม่าก็มีพลังเพิ่มขึ้นผ่านการจัดตั้งสหภาพแรงงานอีกด้วย

“ปัญหา” เชื้อชาติในพม่า

การสร้างประชาธิปไตยและเสรีภาพในพม่าย่อมทำไม่ได้ถ้ากลุ่มเชื้อชาติต่างๆ ไม่มีเสรีภาพที่จะกำหนดอนาคตตนเอง ซึ่งรวมไปถึงสิทธิเสรีภาพที่จะปกครองตนเองและแยกประเทศ ถ้าคนส่วนใหญ่ต้องการ

ข้อจำกัดสำคัญในการหาทางออกคือการมองทางออกในกรอบ “รัฐชาติ” ไม่ว่าจะเป็นการมองเพื่อปกป้องชาติพม่า อย่างที่ อองซานซูจี มอง หรือการแสวงหาชาติใหม่อิสระของชาว กะเหรี่ยง คะฉิ่น ฉาน  หรือ คะเรนนี่ เพราะทั้งสองทางออกหนีไม่พ้นการกดขี่คนกลุ่มน้อยและการขูดรีดทางชนชั้นอยู่ดี เช่นถ้าจะสร้างชาติอิสระของฉาน หรือ กะเหรี่ยง จะพบว่าในดินแดนเหล่านั้นมีคนหลากหลายเชื้อชาติดำรงอยู่ และถ้าเกิดสร้างชาติใหม่ได้ ก็ย่อมมีความขัดแย้งทางชนชั้นตามมา ชาวมาร์คซิสต์ต้องเสนอทางออกที่ปฏิเสธกรอบรัฐชาติ และการเน้นความสำคัญของชนชั้นเหนือเชื้อชาติ เราต้องเสนอว่าการปลดแอกมนุษย์ต้องกระทำด้วยการเมืองแบบชนชั้น คือต้องปฏิวัติล้มระบบการเมืองและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเพื่อให้มนุษย์อยู่กันอย่างสงบในรูปแบบชุมชนที่ไร้ชาติ

อ่านเพิ่ม เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ข้อถกเถียงทางการเมือง https://bit.ly/1sH06zu

ติดตามสถานการณ์ในพม่าได้ที่ https://www.myanmar-now.org/en 

Twitter: @Myanmar_Now_Eng

ใจ อึ๊งภากรณ์

สมานฉันท์กับประชาชนพม่าในการต้านเผด็จการทหาร

แม้แต่ประชาธิปไตยครึ่งใบของพม่าที่คุมโดยทหาร ก็มากเกินไปสำหรับพวกนายพลเผด็จการ วันนี้จึงมีการทำรัฐประหารหลังจากที่พรรค NLD ของอองซานซูจีชนะเสียงข้างมากในสภา

เราควรเตือนความจำกันว่าในระบบพม่า ซึ่งอาศัยรัฐธรรมนูญที่ทหารร่างเอง กองทัพสำรองที่นั่ง 25% ในรัฐสภา และวุฒิสภาให้ตนเอง ยิ่งกว่านั้นกองทัพได้สงวนสิทธิ์ที่จะให้นายพลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย กลาโหม และรัฐมนตรีที่ควบคุมพรมแดน กองทัพมีสิทธิ์วีโต้การแก้รัฐธรรมนูญ และในกรณี “วิกฤต” กองทัพสามารถเข้ามาคุมรัฐบาลได้เสมอ

แต่นางอองซานซูจีไม่ใช่ผู้นำที่ประชาชนควรจะไว้ใจในการนำการต่อสู้

นางอองซานซูจี มีประวัติในการใช้คำพูดเพื่อสลายการลุกฮือของมวลชน โดยเฉพาะในเหตุการณ์ 8-8-88 ซึ่งเกือบจะล้มเผด็จการทหารได้เมื่อสามสิบกว่าปีก่อนหน้านี้ เขาพยายามตลอดที่จะประนีประนอมกับทหาร และในการบริหารบ้านเมืองในห้าปีที่ผ่านมามีจุดยืนไม่ต่างจากทหารเท่าไร

อองซานซูจี กับเพื่อนเผด็จการ

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี สลดใจและผิดหวังในเรื่องจุดยืนเขาต่อโรฮิงญา แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี แต่อย่างใด

การที่ผู้นำขบวนการชาตินิยมพม่าอย่าง อองซาน (บิดาของ อองซานซูจี) พยายามสร้างรัฐรวมศูนย์ที่คนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาว “พม่า” มองว่าตนเองจะถูกควบคุมโดยชาว “พม่า” เป็นปัญหาแต่แรก อองซานไม่ยอมรับว่าประชาชนเชื้อชาติต่างๆ นอกจากชาว “พม่า” และชาวฉาน (ไทใหญ่) มีความเป็นชาติจริง และกองทัพกู้เอกราชของอองซาน ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเด็กและสตรีกะเหรี่ยงกว่า 1,800 คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการเชื้อชาติ คะฉิ่น กะเหรี่ยง คะเรนนี่ มอญ ว้า และอะระกัน ไม่ยอมมาร่วมประชุม ปางโหลง (Panglong) ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ และไม่ไว้ใจผู้นำพม่าอย่าง อองซาน และอูนุ แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าก็ยังไม่มีความอ่อนไหวต่อประเด็นเชื้อชาติเท่าที่ควร

การเน้นศาสนาพุทธแบบสุดขั้วบวกกับการเหยียดหยามคนเชื้อสายอินเดีย นำไปสู่การสร้างกระแสเกลียดชังชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นคนที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวบังคลาเทศ แต่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าพม่ามาตลอด

ในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี เพราะเขามีจุดยืนเกี่ยวกับเชื้อชาติที่เน้นแต่ความเป็นใหญ่ของชาว “พม่า” ไม่ต่างจากจุดยืนของพ่อ ในอดีตในหนังสือของ อองซานซูจี มีการเอ่ยถึงความสามารถของชนชาติอิ่นๆ ในการ “ร้องรำทำเพลง” หรือในการ “เป็นพี่เลี้ยงเด็ก” มากกว่าที่จะเคารพว่าปกครองตนเองได้  และที่สำคัญคือพรรค National League for Democracy (N.L.D.) ของ อองซานซูจี มีนโยบายที่กีดกันคนมุสลิม

จุดยืนล่าสุดของ อองซานซูจี ที่ปล่อยให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา และคำพูดโกหกของเขาว่าพวกโรฮิงญาไม่ใช่พลเมืองของประเทศพม่า หรือคำโกหกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการ “ก่อการร้าย” ของชาวโรฮิงญา แสดงธาตุแท้ของแนวคิด “พม่านิยม” สุดขั้วของ อองซานซูจี จุดยืนแย่ๆ ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขาให้ความสำคัญกับการเอาใจทหารเพื่อขึ้นมามีตำแหน่ง และการเอาใจแม้แต่พระสงฆ์ฟาสซิสต์อย่างวีระธู โดยมีวัตถุประสงค์ในการปลุกทัศนะเหยียดคนมุสลิมเพื่อรักษาฐานเสียงของตนเองในหมู่ชาวพุทธอีกด้วย สรุปแล้วจุดยืนของ อองซานซูจี ไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด และจะไม่นำไปสู่เสรีภาพของพลเมืองประเทศพม่า ไม่ว่าจะชนชาติใด

อ่านเพิ่มเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองพม่า http://bit.ly/1sH06zu

ความหวังในเรื่องประชาธิปไตยพม่าไม่ได้อยู่ที่ประเทศมหาอำนาจซึ่งไม่เคยสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจังและไว้ใจไม่ได้

ความหวังของชาวพม่าที่ต้องการปลดแอกตนเองอยู่ที่คนหนุ่มสาวและขบวนการแรงงาน ซึ่งถ้าเริ่มเรียนบทเรียนจากไทย อาจสร้างขบวนการรากหญ้าที่นำตนเองและปลดแอกประเทศได้

ประชาชนไทยและพม่าต้องสมานฉันท์ต้านเผด็จการ!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

ต้นกำเนิดทัศนะแย่ๆ ของ อองซานซูจี ต่อชาวโรฮิงญา

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในรอบหกสิบปีที่ผ่านมา เผด็จการทหารพม่ากดขี่พลเมืองทั้งในเรื่องประชาธิปไตยและในเรื่องสิทธิเสรีภาพทางเชื้อชาติพร้อมๆกัน และทุกวันนี้ แม้ว่ามีการเลือกตั้งจอมปลอมและ อองซานซูจี ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศภายใต้อำนาจทหาร สถานการณ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ล่าสุดรัฐบาลพม่าได้ก่ออาชญากรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญา โดยที่ อองซานซูจี แก้ตัวแทนผู้ก่ออาชญากรรมครั้งนี้

หลายคนที่เคยบูชา อองซานซูจี จะสลดใจและผิดหวัง แต่ถ้าเราศึกษาแนวการเมืองของเขา บวกกับประวัติศาสตร์พม่า เราไม่ควรจะแปลกใจในทัศนะและพฤติกรรมแย่ๆ ของ อองซานซูจี แต่อย่างใด

ดินแดนที่เรียกว่าพม่า มีความขัดแย้งทางเชื้อชาติมาตั้งแต่สมัยที่อังกฤษเข้ามาล่าอณานิคม นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ชื่อ Martin Smith  อธิบายว่าปัญหาทางเชื้อชาติในพม่า รุนแรงขึ้นเมื่อมีการพยายามรวมศูนย์รัฐชาติในยุคหลังเอกราช ในสภาพดั้งเดิมชุมชนต่างๆ มีลักษณะกระจัดกระจายและหลากหลายทางเชื้อชาติ แม้แต่ในยุคท้ายของการปกครองของอังกฤษก็ยังไม่มีการรวมศูนย์อำนาจในพม่าตอนเหนืออย่างสมบูรณ์ และแน่นอนอังกฤษใช้ระบบ “แบ่งแยกเพื่อปกครอง” ซึ่งสร้างความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติต่างๆ อีกด้วย

เมื่อคนงานท่าเรือพม่านัดหยุดงาน อังกฤษนำคนงานเชื้อสายอินเดียเข้ามาทำงานแทน ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างอันหนึ่งของพวกนักชาตินิยมพม่า ในการเหยียดคนเชื้อสายอินเดีย นอกจากนี้ขบวนการชาตินิยมพม่ามักเหมารวมคนเชื้อสายอินเดียว่าเป็นพวกปล่อยกู้หน้าเลือด ทั้งๆ ที่ชาวพม่าจำนวนไม่น้อยก็ปล่อยกู้และเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูงเช่นกัน

สถิติเกี่ยวกับสถานภาพเชื้อชาติต่างๆ ในพม่าไม่ชัดเจน  แต่ที่สำคัญคือในครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศ มีผู้คนอาศัยอยู่ที่ไม่ใช่เชื้อชาติ “พม่า” ซึ่งอาจมีจำนวน 35-50% ของประชากรทั้งหมด อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศพม่ามีชาติพันธุ์ที่หลากหลายมานาน ไม่ได้แปลว่ามีความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติโดย “ธรรมชาติ” เพราะมีประวัติอันยาวนานของการดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ยิ่งกว่านั้น Smith มองว่าวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของแต่ละเชื้อชาติไม่ได้ถูกอนุรักษ์แช่แข็งอยู่กับที่ แต่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการปรับตัวระหว่างเชื้อชาติต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นผ่านการค้าขายและการย้ายถิ่นที่อยู่อาศัย

การที่ผู้นำขบวนการชาตินิยมพม่าอย่าง อองซาน (บิดาของ อองซานซูจี) พยายามสร้างรัฐรวมศูนย์ที่คนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาว “พม่า” มองว่าตนเองจะถูกควบคุมโดยชาว “พม่า” เป็นปัญหาแต่แรก อองซานไม่ยอมรับว่าประชาชนเชื้อชาติต่างๆ นอกจากชาว “พม่า” และชาวฉาน (ไทใหญ่) มีความเป็นชาติจริง และกองทัพกู้เอกราชของอองซาน ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเด็กและสตรีกะเหรี่ยงกว่า 1,800 คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทำไมขบวนการเชื้อชาติ คะฉิ่น กะเหรี่ยง คะเรนนี่ มอญ ว้า และอะระกัน ไม่ยอมมาร่วมประชุม ปางโหลง (Panglong) ในปี ค.ศ. 1947 เพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ และไม่ไว้ใจผู้นำพม่าอย่าง อองซาน และอูนุ แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์พม่าก็ยังไม่มีความอ่อนไหวต่อประเด็นเชื้อชาติเท่าที่ควร

อูนุ ซึ่งขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากที่ อองซาน ถูกยิงตาย มีนโยบายระหว่างปี ค.ศ. 1954-1956 ที่จะส่งเสริมศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาประจำชาติ และประกาศว่าพม่าใช้การปกครองที่อิง “พุทธสังคมนิยม” ซึ่งนโยบายดังกล่าวสร้างความแตกแยกและความไม่พอใจในหมู่ชนชาติอื่นๆ ที่ ไม่นับถือพุทธ  ยิ่งกว่านั้นเมื่อนายพลเนวินทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐในปี ค.ศ. 1962 มีการใช้กำลังในการบังคับรวมศูนย์ประเทศมากขึ้น เพราะกองทัพพม่าไม่ยอมพิจารณาสิทธิใดๆ ของกลุ่มชาติพันธุ์ในการปกครองตนเองเลย

การเน้นศาสนาพุทธแบบสุดขั้วบวกกับการเหยียดหยามคนเชื้อสายอินเดีย นำไปสู่การสร้างกระแสเกลียดชังชาวมุสลิม โดยเฉพาะชาวโรฮิงญา ซึ่งเป็นคนที่มีเชื้อสายเดียวกับชาวบังคลาเทศ แต่อาศัยอยู่ในดินแดนที่ปัจจุบันเรียกว่าพม่ามาตลอด

ในยุคปัจจุบันขบวนการเชื้อชาติต่างๆ ไม่ค่อยไว้ใจ นางอองซานซูจี เพราะเขามีจุดยืนเกี่ยวกับเชื้อชาติที่เน้นแต่ความเป็นใหญ่ของชาว “พม่า” ไม่ต่างจากจุดยืนของพ่อ ในอดีตในหนังสือของ อองซานซูจี มีการเอ่ยถึงความสามารถของชนชาติอิ่นๆ ในการ “ร้องรำทำเพลง” หรือในการ “เป็นพี่เลี้ยงเด็ก” มากกว่าที่จะเคารพว่าปกครองตนเองได้  และที่สำคัญคือพรรค National League for Democracy (N.L.D.) ของ อองซานซูจี มีนโยบายที่กีดกันคนมุสลิม

จุดยืนล่าสุดของ อองซานซูจี ที่ปล่อยให้มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิง และคำพูดโกหกของเขาว่าพวกโรฮิงญาไม่ใช่พลเมืองของประเทศพม่า หรือคำโกหกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจากการ “ก่อการร้าย” ของชาวโรฮิงญา แสดงธาตุแท้ของแนวคิด “พม่านิยม” สุดขั้วของ อองซานซูจี จุดยืนแย่ๆ ของเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่เขาให้ความสำคัญกับการเอาใจทหารเพื่อขึ้นมามีตำแหน่ง และการเอาใจแม้แต่พระสงฆ์ฟาสซิสต์อย่างวีระธู โดยมีวัตถุประสงค์ในการปลุกทัศนะเหยียดคนมุสลิมเพื่อรักษาฐานเสียงของตนเองในหมู่ชาวพุทธอีกด้วย สรุปแล้วจุดยืนของ อองซานซูจี ไม่มีความก้าวหน้าแต่อย่างใด และจะไม่นำไปสู่เสรีภาพของพลเมืองประเทศพม่า ไม่ว่าจะชนชาติใด

[ อ่านเพิ่ม http://bit.ly/1sH06zu

และอ่านประกอบเรื่องทัศนะสังคมไทยต่อผู้ลี้ภัย http://bit.ly/1TUGqhz ]

พม่า: บทเรียนสำคัญสำหรับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในไทย

ตั้งแต่อดีตนายพล เทียน เส่ง ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีพม่าในเดือนมีนาคม ปี 2011 นักวิจารณ์ต่างชาติ มักมองในแง่ดีว่าพม่ากำลังเดินทางไปสู่รูปแบบการเมืองประชาธิปไตยเสรีนิยม แต่หลายคนลืมไปว่านายพล เทียน เส่ง ขึ้นมามีอำนาจแต่แรกภายใต้เผด็จการทหารที่ยึดอำนาจในปี 1988 เทียน เส่ง เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลเผด็จการมาตลอด  เขาเป็นนายพล เป็นเลขาธิการของคณะกรรมการเผด็จการ และต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี  และในช่วงเวลาดังกล่าวเขาไม่เคยแสดงจุดยืนที่อิสระจากกองทัพแต่อย่างใด

โครงสร้างอำนาจของกองทัพพม่าในส่วนบนไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด การพูดถึงระบบการเมืองที่อยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิรูปเป็นการเข้าใจผิด

รัฐธรรมนูญปัจจุบันของพม่าถูกร่างขึ้นโดยคณะที่แต่งตั้งมาจากทหาร และมีการนำมาใช้หลังจากที่ทหารจัดการลงประชามติที่ไม่โปร่งใส  ประชามตินี้จัดขึ้นหลังจากที่พายุนากิส สร้างความเสียหายมหาศาลภายในประเทศ  และมีการเป่าประกาศว่า 92.48% ของประชากรเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญครั้งนี้

พรรคการเมืองของทหารในปัจจุบันชื่อพรรค USDP และแกนนำของพรรคมีคนอย่าง ตาน ฉ่วย และ เทียน เส่ง รวมอยู่ด้วย และไม่ว่าพรรคของทหารจะชนะการเลือกตั้งด้วยวิธีการสกปรกหรือไม่ แต่กติกาในระบบเลือกตั้งระบุว่า 25% ของที่นั่งในสภาจะต้องเป็นนายทหารที่ถูกแต่งตั้งโดยกองทัพโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งเลย

ย่อหน้าแรกของรัฐธรรมนูญทหารปี 2008 ระบุว่ากองทัพมีบทบาทสำคัญในการนำการเมือง ในรูปธรรมกองทัพคุม 25% ของที่นั่งในรัฐสภา และกองทัพมีอำนาจในการวีโต้การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่สำคัญ และถ้ารัฐสภาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญตรงไหน จำเป็นจะต้องมีเสียงสนับสนุน จาก 75% ของส.ส. ถึงจะทำได้ รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และการโกงในระบบเลือกตั้งหรือการลงประชามติ แปลว่ากองทัพจะยังถืออำนาจต่อไปในประเทศพม่า นอกจากนี้กองทัพสามารถควบคุมคณะกรรมการเลือกตั้ง ผ่านเส้นสายต่างๆ และมาตรา 413 ของรัฐธรรมนูญระบุว่าประธานาธิบดีสามารถจะยกอำนาจให้กับผู้บัญชาการทหารเพื่อปกครองประเทศ รวมถึงอำนาจศาลด้วย ถ้ามี “เหตุจำเป็น”

กองทัพพม่ามีอำนาจทางเศรษฐกิจด้วย เพราะเป็นเจ้าของสองบริษัทแม่ยักษ์ใหญ่ คือ UMES กับ MEC สำนักข่าวรอยเตอร์เสนอว่า UMES ผูกขาดการนำเข้าของสินค้า และมีนักวิชาการออสเตรเลียเสนอว่า ตาน ฉ่วย เป็นผู้คุมกำไรของบริษัทนี้ ส่วน MEC เป็นบริษัทที่มีความลึกลับพอสมควร และ มีผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมหนักและภาค IT

หลังจากรัฐธรรมนูญทหารถูกนำมาใช้และมีรัฐสภาที่ทหารควบคุมได้ แกนนำในกองทัพพม่ามองว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มโครงการปฏิรูปเพื่อแก้ภาพพจน์แย่ๆ ของทหารพม่าในเวทีสากล  มีความหวังว่าการกระทำที่ดูเหมือนปฏิรูปนี้จะหลอกประเทศสากลได้ ด้วยเหตุนี้นาง อองซานซูจี ถูกปล่อยตัวและมีการปล่อยตัวนักโทษการเมืองเป็นร้อย   นอกจากนี้สื่อมวลชนเริ่มมีเสรีภาพมากขึ้นหลังจากที่เคยถูกควบคุมอย่างหนัก

โศกนาฏกรรมของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า คือการหักหลังการต่อสู้โดยนางอองซานซูจี โดยที่เขายังมีอิทธิพลครองใจชาวพม่าที่รักประชาธิปไตยเป็นจำนวนมาก

ในเดือนเมษายน 2012 พรรคการเมืองของ อองซานซูจี (พรรคNLD)  เข้าร่วมในการเลือกตั้งซ่อม ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ สส. พรรคทหารได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ พรรคของซูจี ชนะ 43 ที่นั่ง จาก 44 ที่นั่งที่มีตำแหน่งว่างในการการเลือกตั้งครั้งนั้น และ ซูจี ก็เข้ามาเป็น สส. ในรัฐสภา   อย่างไรก็ตามพรรคNLD คุมแค่ 7% ของรัฐสภา

การร่วมในกระบวนการเลือกตั้งจอมปลอมของทหาร โดยนางอองซานซูจี และพรรค NLD ถือว่าเป็นการยอมรับระบบการเมืองภายใต้ทหาร แล้วยังช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับทหารอีกด้วย

นอกจากนี้มีคนวิจารณ์ว่าประสิทธิภาพของ อองซานซูจี และNLD ในรัฐสภาเป็นเรื่องที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ทำตัวเป็นฝ่ายค้านแต่อย่างใด เพียงแต่เดินตามหลังรัฐบาลอย่างเชื่องๆ อองซานซูจี จึงดูเหมือน “ถูกตอนให้เป็นหมัน” และเป็นปากเสียงของประชาชนไม่ได้อีกแล้ว

ชนชั้นปกครองพม่าพึงพอใจอย่างยิ่งที่เห็นการวิวัฒนาการของอองซานซูจี จากผู้นำฝ่ายค้านไปสู่ผู้สนับสนุนทหารและสนับสนุนภาพลวงตาเกี่ยวกับการปฏิรูป

ในอดีต ในยุคที่มีการลุกฮือต่อต้านเผด็จการทหารครั้งยิ่งใหญ่ในปี 1988 อองซานซูจี มีบทบาทสำคัญในการสลายการชุมนุม และต้อนความหวังของผู้รักประชาธิปไตยไปสู่ระบบการเลือกตั้ง แต่ทั้งๆที่เขาชนะการเลือกตั้งครั้งนั้น ทหารไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน ในขณะที่พลังมวลชนก็ถูกสลายไป เผด็จการจึงครองพม่าต่อไปจนทุกวันนี้ได้

นักศึกษาจำนวนหนึ่งไม่พอใจกับพฤติกรรมของอองซานซูจีเป็นอย่างมาก และหันไปสนใจยุทธศาสตร์การจับอาวุธสู้กับกองทัพพม่า แต่ในที่สุดมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิงและไร้พลังแต่แรก

สิ่งที่มีพลังแท้ในการต้านเผด็จการพม่าคือมวลชนที่เชื่อมโยงกับสหภาพแรงงาน ซึ่งในปี 1988 เกือบจะล้มทหารได้ก่อนที่อองซานซูจีจะเข้ามาสลาย มวลชนที่เชื่อมโยงกับสหภาพแรงงานจึงเป็นความหวังสำหรับอนาคตประชาธิปไตยพม่า