Tag Archives: อำนาจทางการเมือง

ไทย-พม่า ข้อแก้ตัวเหลวไหลของคนไทยบางคน

ข้อแก้ตัวว่าไทยมีกษัตริย์ที่คุมเผด็จการ จึงล้มเผด็จการยาก

เวลาเรามองเปรียบเทียบการต่อสู้กับเผด็จทหารระหว่างไทยกับพม่า เราจะพบว่าความเชื่อในนิยายว่ากษัตริย์วชิราลงกรณ์มีอำนาจล้นฟ้าและควบคุมเผด็จการประยุทธ์ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนตาบอด วิเคราะห์อะไรอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นกลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับบางคนที่จะไม่สู้กับเผด็จการไทย และไม่สนใจที่จะคิดถึงวิธีการจัดตั้งมวลชนในการต่อสู้ดังกล่าว

เราจึงได้ยินคนบางคนพูดว่าประชาชนพม่าสามารถสู้กับเผด็จการพม่าได้ง่ายกว่า “เพราะไม่มีกษัตริย์”

คำพูดนี้เหลวไหลที่สุด และดูถูกเพื่อนๆในพม่าอย่างถึงที่สุดด้วย เพราะเผด็จการพม่ามีประวัติในการปราบปรามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในลักษณะที่โหดร้ายยิ่งกว่าของไทย มีการยิงกระสุนใส่มวลชนมือเปล่าจนล้มตายเป็นพันๆ หลายครั้ง และมีการล้างเผ่าพันธุ์ในกรณีชาวโรฮิงญาอีกด้วย

ที่สำคัญคือฝ่ายประชาธิปไตยในพม่ามีการจัดตั้งมวลชนอย่างเป็นระบบ เพื่อต่อสู้ต่อไปหลังจากที่มีการปราบปรามโดยทหาร

เรื่องอำนาจกษัตริย์ไทย เป็นเรื่องเท็จตั้งแต่แรก และที่แย่กว่านั้นมันเป็นนิยายที่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหาร พยายามใช้ในการหลอกและกล่อมเกลาให้คนไทยไม่กล้าสู้อย่างถึงที่สุด เราโชคดีที่บ่อยครั้งมวลชนไทยไม่เชื่อ

แต่ที่สำคัญคือ คนที่เสนอว่ากษัตริย์ไทยมีอำนาจเหนือทหาร ไม่ว่าจะเป็นักวิชาการหรือประชาชนธรรมดา กำลังช่วยทหารในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อความเท็จที่พยุงลัทธิกษัตริย์

และเป็นที่น่าเสียดายที่คนที่หมกมุ่นในเรื่องกษัตริย์และราชวงศ์ เช่นในเพจ “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” มักจะไม่มีข้อเสนอใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม ในการขยายการต่อสู้และเพิ่มอำนาจของการเคลื่อนไหว เพราะเขาดูเหมือนสดวกสบายที่จะแค่ซุบซิบ

สรุปแล้วแนวที่เน้นอำนาจกษัตริย์เป็นแนวที่ “เข้าทาง” เผด็จการทหารไทย

ในโลกแห่งความเป็นจริงความโหดร้ายของเผด็จการทหารไทยและพม่า ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการที่มีหรือไม่มีกษัตริย์

ข้อแตกต่างระหว่างเผด็จการไทยกับพม่าคือเผด็จการไทยใช้กษัตริย์เป็นหนึ่งในข้ออ้างเพื่อปราบฝ่ายตรงข้าม แต่เผด็จการทหารพม่าก็มีข้ออ้างเช่นกัน คือเรื่องความมั่นคงของชาติและศาสนา ซึ่งฝ่ายไทยก็ใช้ด้วย

คนไทยที่ยังไม่ตาสว่างเรื่องนี้ควรจะรีบออกจากกะลา เพื่อร่วมล้มเผด็จการประยุทธ์!!

ข้อแก้ตัวเพื่อไม่ลงมือจัดตั้งกรรมาชีพไทยให้ร่วมและเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับเผด็จการไทย

หลายคนจะบ่นว่ากรรมาชีพไทย “จะเอาตัวรอดไม่ได้อยู่แล้ว จะหวังให้ออกมานัดหยุดงานได้อย่างไร?” หรือบางคนพูดว่า “ขบวนการแรงงานไทยอ่อนแอเกินไป” ที่จะเป็นหัวหอกในการต่อสู้

คำพุดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำแก้ตัวของนักสหภาพแรงงานหรือนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่จะไม่จัดตั้งกรรมาชีพไทยในทางการเมือง ก็เลยสดวกสบายที่จะทำอะไรเดิมๆ เช่นการสอนให้คนงานแค่รู้จักกฏหมายแรงงานและรัฐสวัสดิการ แทนที่จะปลุกระดมทางการเมือง หรือบางคนอาจแค่พึงพอใจที่จะให้ “ผู้แทน” ของสหภาพแรงงานปราศรัยกับม็อบคนหนุ่มสาว โดยไม่สนใจที่จะมีการตั้งวงเพื่อร่วมกันคิดว่าจะสร้างกระแสนัดหยุดงานอย่างไร

ครูพม่า ภาพจาก Myanmar Now

แต่การออกมาต่อสู้ของกรรมาชีพพม่า ท้าทายแนวคิดอนุรักษ์นิยมต่อพลังกรรมาชีพของนักสหภาพแรงงานและนักเคลื่อนไหวไทย

พนักงานรถไฟ

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาในพม่ามีการออกมาประท้วงอย่างเป็นระบบของ พยาบาล หมอ ครู ข้าราชการ เจ้าหน้าทีธนาคารชาติ พนักงานรถไฟ และคนงานเหมืองแร่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการจัดตั้งกรรมาชีพกลุ่มต่างๆ และที่สำคัญคือนักเคลื่อนไหวพม่าเข้าใจเรื่องพลังที่มาจากการนัดหยุดงาน เข้าใจมาตั้งแต่การลุกฮือ 8-8-88 ด้วย

คนงานเหมืองแร่ ภาพจาก irrawaddy

เห็นแล้วน่าปลื้มที่สุด แต่ในขณะเดียวกันละอายใจเพราะที่ไทยไม่มีแนวคิดแบบนี้ และขณะนี้ดูเหมือนคณะราษฏร์ไม่มียุทธศาสตร์ที่จะสร้างกระแสนัดหยุดงาน ทั้งๆ ที่แกนนำจำนวนมากโดนกฏหมาย 112 พร้อมกันนั้นพรรคที่เรียกตัวเองว่า “ก้าวไกล” แต่ก้าวไม่พ้นกรอบเดิมๆ จะยังคงไว้การจำคุกพลเมืองภายใต้ม.112

คนไทยที่ยังไม่ตาสว่างเรื่องกรรมาชีพควรจะรีบออกจากกะลา เพื่อช่วยสร้างกระแสนัดหยุดงานและร่วมล้มเผด็จการประยุทธ์!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

ข้อเสนอสำหรับการต่อสู้ http://bit.ly/2Y37gQ5

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

สภาวะแปลกแยก กับการสร้างภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์

ในบทความที่อื่น ผมอธิบายว่าทำไมระบบศักดินาหมดสิ้นไปตั้งแต่การปฏิวัติระบบโดยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจและการสร้างชาติเป็นครั้งแรกภายใต้กษัตริย์สมบูรณาญาสิทธราชย์ โดยที่รัฐไทยใหม่กลายเป็นรัฐทุนนิยม และภายในเวลาแค่ 60 ปีรูปแบบรัฐอันนี้ถูกปฏิวัติอีกทีโดยคณะราษฏร์ในปี ๒๔๗๕

หลัง ๒๔๗๕ สถาบันกษัตริย์มีบทบาทน้อยมากในสังคมไทย จนถึงการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังจากนั้นสฤษดิ์ ผู้นำทหารและพลเรือนที่ตามมา และพรรคพวกที่นิยมเจ้า ก็ค่อยๆเชิดชูกษัตริย์มากขึ้นทุกวัน จนมีการสร้างภาพว่าเป็นเสมือนเทวดา

ถ้าเราศึกษาบทบาทสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษ สเปน สวีเดน ญี่ปุ่น หรือที่อื่นๆ เราจะเห็นว่าในระบบทุนนิยมที่มีนายทุนเป็นใหญ่ สถาบันกษัตริย์มีบทบาทในลักษณะลัทธิการเมืองอนุรักษ์นิยมที่รณรงค์ให้ประชาชนมองว่ามนุษย์บางคน “เกิดสูง” และคนส่วนใหญ่ “เกิดในฐานะต่ำ” คนที่เกิดสูงมีอภิสิทธิ์ที่จะกอบโกยทรัพย์สิน และมี “ความสามารถ” ในการปกครอง ส่วนพลเมืองส่วนใหญ่ควรจะเจียมตัวกับสภาพที่ด้อยกว่าและเชื่อว่าตนเองไม่มีความสามารถที่จะปกครองตนเอง นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์ถูกเสนอว่าเป็นตัวแทนของ “ชาติ” และพลเมืองทุกคนมีผลประโยชน์ร่วมกัน

ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะผลประโยชน์นายทุนหรือคนรวย ตรงกันข้ามกับผลประโยชน์พลเมืองส่วนใหญ่เสมอ ตัวอย่างที่ดีคือนโยบายรัดเข็มขัดที่รัฐบาลมักอ้างว่าทำไป “เพื่อชาติ” แต่จริงๆ เป็นการรัดเข็มขัดคนส่วนใหญ่เพื่อเพิ่มกำไรและผลประโยชน์ให้กับนายทุน

นักวิชาการส่วนใหญ่ในไทย มักมองข้ามบทบาทหน้าที่สำคัญอันนี้ของสถาบันกษัตริย์ในโลกทุนนิยมปัจจุบัน เพราะเชื่อนิยายว่า “สังคมไทยไม่เหมือนที่อื่น”

แต่การนำกษัตริย์กลับมาให้มีบทบาทสำคัญในไทยตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ มีวัตถุประสงค์เดียวกับที่อื่น คือวัตถุประสงค์ในการรณรงค์แนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างที่ได้กล่าวถึงข้างบน ในช่วงแรกๆ กษัตริย์มีความสำคัญในการเป็นสัญลักษณ์ที่ต่อต้านแนวคิดคอมมิวนิสต์ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ต่อมากษัตริย์มีความสำคัญในการให้ความชอบธรรมกับการปกครองของนายทุน เช่นในสมัยทักษิณ หรือการปกครองแบบเผด็จการทหาร ทหารมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะอ้างว่าตนปกป้องกษัตริย์เวลายึดอำนาจ เพื่อปกปิดว่าจริงๆ แล้ว เขาทำรัฐประหารเพื่อผลประโยขน์ของตนเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลพลเรือน ที่สามารถอ้างความชอบธรรมจากนโยบายต่างๆ ที่เสนอกับประชาชนในการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย ทหารไม่มีความชอบธรรมจากระบบประชาธิปไตยเลยจึงต้องอ้างกษัตริย์

จะเห็นได้ว่าการเชิดชูกษัตริย์ให้เหมือนเทวดา ไม่ได้แปลว่ากษัตริย์มีอำนาจจริง มันเป็นเพียงการเชิดชูลัทธิกษัตริย์เพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำในสังคม

พูดง่ายๆ สถาบันกษัตริย์ไทยไม่เคยมีอำนาจหลัง ๒๔๗๕ แต่มีบทบาทหน้าที่ในทางลัทธิความคิด เพื่อประโยชน์ของนายทุนและทหาร

การสร้างภาพลวงตาว่ากษัตริย์เป็นเทวดาที่มีอำนาจล้นฟ้า (และมันเป็นภาพลวงตาเพราะเราก็รู้กันว่าเทวดาไม่มีจริง) เป็นไปเพื่อทำให้พลเมืองเกรงกลัวและไม่กล้าท้าทายระบบชนชั้นที่ดำรงอยู่

ดังนั้นเวลาพวกผู้นำทหารปัจจุบันหมอบคลานต่อวชิราลงกรณ์ มันเป็นการเล่นละครเพื่อหลอกประชาชนว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจจริงกำลังหมอบคลานต่อผู้ที่ไม่มีอำนาจเลย (และวชิราลงกรณ์ไร้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำอีกด้วย ลองอ่านประวัติการศึกษาก็จะเห็นภาพ)

แล้วทำไมประชาชนจำนวนมากถึงเชื่อนิยายของชนชั้นปกครอง? ทำไมเขาครองใจคนจำนวนมากได้?

จริงๆ แล้วมันไม่ต่างจากคำถามว่าทำไมคนถึงเชื่อกันว่า “ตลาด” มีพลังหรือชีวิตของมันเองที่เราต้องจำนนต่อ ทั้งๆ ที่ตลาดเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น? หรือความเชื่อว่า “เงิน” มีค่าในตัวมันเองทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ตัวแทนของมูลค่าจริงๆ ของสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากการทำงาน

มันเหมือนกับปัญหาว่าทำไมคนถึงลืมว่ามนุษย์สร้างพระพุทธรูปด้วยมือของตนเอง เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนาและคำสอน แต่คนกลับหันมาเชื่อว่าพระพุทธรูปมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์วิเศษ?

ในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” มาร์คซ์เสนอว่าการขโมยผลงานของกรรมาชีพ โดยนายทุน ในระบบการผลิต ทำให้กรรมาชีพขาดความเป็นมนุษย์แท้ มีผลทำให้มนุษย์มองโลกในทางกลับหัวกลับหางคือ เงินกลายเป็นของจริง ในขณะที่การขูดรีดหายไปกับตา และมูลค่าหรือประโยชน์ในการใช้สอยกลายเป็นเพียงเรื่องข้างเคียง เพราะมูลค่าแลกเปลี่ยนถูกทำให้ดูสำคัญกว่า

นักมาร์คซิสต์ จอร์ช ลูคักส์ และ คาร์ล มาร์คซ์ อธิบายว่ามนุษย์เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง เชื่อแบบกลับหัวกลับหาง ในกรณีที่มนุษย์ขาดความมั่นใจ มันไม่ใช่เรื่องความโง่หรือการมีหรือไม่มีการศึกษาแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องผลของอำนาจต่อความมั่นใจของเราต่างหาก อำนาจการกดขี่ขูดรีดของนายทุน เช่นการที่ทุกวันเราต้องยอมจำนนไปทำงานให้นายทุน หรือต้องก้มหัวให้อำนาจรัฐ มีผลในการกล่อมเกลาให้เรามองว่าตัวเราเองไร้ค่ากว่าพวก “ผู้ใหญ่” หรือนายทุน และชวนให้เรามองว่าเราไร้ความสามารถ เราเลยเชื่อพวกนั้นง่ายขึ้น ดังนั้นชนชั้นปกครองสามารถสร้างภาพลวงตา กลับหัวกลับหาง เรื่องอำนาจแท้ในสังคมไทยได้ เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าอำนาจจริงอยู่ที่ทหารและนักธุรกิจ และภาพลวงตานี้ผลิตซ้ำด้วยกฏหมายเผด็จการ 112 ที่ปิดปากเราด้วย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความกลัวเพื่อทำลายความมั่นใจของเราอีก

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “สภาวะแปลกแยก” (Alienation) คือแปลกแยกจากความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีของเราทุกคน และแปลกแยกจากความจริง

แต่ ลูคักส์ เสนอว่าต่อว่าเมื่อเรารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อออกมาต่อสู้กับเผด็จการ ความกล้าในการคิดเองและวิเคราะห์โลกเองก็จะเกิดขึ้น และเราจะเลิกเชื่อนิยายงมงายของชนชั้นปกครอง เราเริ่มเห็นสิ่งนี้หลังจากที่มีการประท้วงที่นำโดยคนหนุ่มสาวในหกเดือนที่ผ่านมา แต่พวกเราต้องเดินทางให้สุดทาง คือเปิดตาในเรื่องนิยายภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์

การเดินให้สุดทางในแง่ความคิดเป็นเรื่องสำคัญในรูปธรรม เพราะมันจะทำให้เราชัดเจนว่าศัตรูหลักของเราตอนนี้คือเผด็จการทหาร กษัตริย์เพียงแต่เป็นศัตรูของเราในลักษณะความคิด ทหารเป็นศัตรูหลักเพราะคุมอำนาจรัฐ

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

การเปลี่ยนแปลงจากศักดินาสู่ทุนนิยมในไทย https://bit.ly/2ry7BvZ

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

บทบาทแท้ของนายภูมิพล และสถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง https://bit.ly/2BLf2Gy

ไทยควรเป็นสาธารณรัฐ https://bit.ly/30Ma32f

สัญลักษณ์แห่งความเลวทราม ปัญญาอ่อน โลภมาก และเปลืองตัง

ใจ อึ๊งภากรณ์

[ถ้าอยู่ไทยโปรดใช้ความระมัดระวังในการแดสงความเห็น]

พิธีอวยคนเลวปัญญาอ่อนได้เวียนมาถึงแล้ว พิธีแต่งตั้งวชิราลงกรณ์ถือว่าเป็นละครน้ำเน่าราคาแพงสำหรับประชาชนไทยที่ต้องจ่ายค่าพิธีเป็นล้านๆ และจ่ายไปเพื่อให้ทหารและส่วนอื่นของชนชั้นปกครองให้ความชอบธรรมกับตนเอง ในขณะที่พวกนี้ไร้ความชอบธรรมที่จะปกครองเราโดยสิ้นเชิง เพราะไม่เคยเคารพประชาชน ไม่เคยเคารพประชาธิปไตย และทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของคนส่วนน้อยเสมอ

thaiking-728x486ก
วชิราลงกรณ์ใส่ชุดแฟนซี “กรงบนหัว”

ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก วชิราลงกรณ์ เป็นคนปัญญาอ่อน ไม่สนใจเรียนหนังสือ แต่ตอนนี้บังอาจดำรงตำแหน่งเป็นประมุข แถมมีพวกอวยเจ้าเสนอว่าคนปัญญาอ่อนคนนี้เป็น “อัจฉริยะ” อย่างไรก็ตามมันหลอกใครไม่ได้ คนไทยจำนวนมากทราบความจริง และรัฐบาลกับประชาชนต่างประเทศก็ทราบดี ทูตประเทศตะวันตกและลาตินอเมริกามักซุบซิบกันว่า วชิราลงกรณ์ ไม่มีปัญญาจะพูดคุยอะไรที่เป็นสาระกับเขาในงานต่างๆ จนพวกทูตพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบ

ประมุขควรจะเป็นคนที่มีมารยาทระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในกิจกรรมทางการ แต่ วชิราลงกรณ์ ไม่เคยมีมารยาทพื้นฐานต่อประชาชนไทยหรือคนอื่น ตัวอย่างที่ดีคือการไปแจกปริญญาโดยให้นักศึกษารอหลายชั่วโมงจนถึงเที่ยงคืน เพราะมันมัวแต่เสพสุข

ในงานเลี้ยงครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง วชิราลงกรณ์ ปล่อยให้หมาฟูฟูของตนเองวิ่งไปมาบนโต๊ะอาหาร ปล่อยให้หมาดมและเลียอาหารในจานของแขกผู้รับเชิญที่มีเกียรติ์ ทั้งไทยและต่างประเทศ โดยที่ไม่มองว่าเป็นการกระทำที่ผิดแต่อย่างใด มันไม่เคยเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด

นอกจากนี้ วชิราลงกรณ์ เคยสร้างปัญหาทางการทูตกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเพราะไม่พอใจในเรื่องส่วนตัว เกี่ยวกับผู้หญิง เขาเคยนำเครื่องบินที่ตนเองขับไปปิดกั้นเครื่องบินของนายกญี่ปุ่นที่ดอนเมือง

การขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ของวชิราลงกรณ์ เป็นการตบหน้าสตรีไทย 35 ล้านคน

การที่ วชิราลงกรณ์ หลงรักหรือหลงใคร่ผู้หญิงหลายคน ไม่ควรเป็นเรื่องผิด และควรเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าเขาอยากถ่ายรูปแฟนเปลือยกายเพื่อเก็บไว้ดูเอง ก็ไม่น่าจะผิดและน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างสองคนอีก แต่ประเด็นที่เราควรพิจารณาคือ วชิราลงกรณ์ ในฐานะ “ประมุข” เป็นคนที่ไม่เคยเคารพใครเลย โดยเฉพาะผู้หญิง

183886_103945319685553_100002102564850_32079_4628874_n

วชิราลงกรณ์ เคยนั่งดื่มไวน์และกินข้าวริมสระน้ำกับศรีรัศมิ์ คนที่ตอนนี้เป็นอดีตเมียไปแล้ว ตรงนั้นไม่แปลก แต่ที่แปลกคือเมียเขาต้องแก้ผ้าหมด ในขณะที่ วชิราลงกรณ์ สวมเสื้อผ้า และที่ยิ่งแปลกและน่ากังวลคือคนรับใช้ผู้ชายแต่งชุดราชการ และมีคนอื่นถ่ายรูปทั้งวิดีโอและภาพนิ่ง แค่นั้นไม่พอ มีการให้แฟนตนเองเปลือยกายคลานกับพื้นเพื่อรับขนมจากมือ วชิราลงกรณ์ เหมือนเอาอาหารให้หมากิน ภาพนี้ ซึ่งปวงชนชาวไทยและชาวต่างประเทศจำนวนมากได้แลเห็นไปแล้ว เป็นภาพที่สะท้อนการไม่เคารพเพศสตรีของ วชิราลงกรณ์ และประกอบกับการปล่อยภาพเปลือยกายของสตรีคนอื่นๆ ที่ วชิราลงกรณ์ คบ เราต้องถือว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศผ่านการมีเงินและอำนาจ ตรงนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ วชิราลงกรณ์ ไม่ควรเป็นประมุข ไม่ควรมีอำนาจ และไม่ควรมีอิทธิพลในสังคมไทย

ทำไมมีการปล่อยภาพแบบนี้ออกมา? ต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ เพราะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาหลายปี ดังนั้นอาจเป็นวิธีควบคุมผู้หญิงให้หมดศักดิ์ศรีจนต้องพึ่งพา วชิราลงกรณ์ คนเดียว หรืออาจเป็นการที่ วชิราลงกรณ์ อยากจะอวดว่าได้ผู้หญิงสวยๆ มาหลายคนก็ได้ หรือเขาอาจมีทัศนะว่า “กูจะทำแล้วทำไม?” พยายามสร้างภาพว่าไม่มีใครแตะได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่สามารถเดาใจคนเพี้ยนที่ไร้มนุษญ์สัมพันพธ์และเคารพคนอื่นไม่เป็น

หลังจากที่วชิราลงกรณ์ได้ใช้ศรีรัศมิ์เพื่อเสพสุขทางเพศจนเบื่อ ก็ทิ้งและมีการกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่อง สื่อเยอรมัน (ภาพข้างล่าง) ถึงกับตั้งคำถามว่าศรีรัศมิ์ถูกขังไว้ในบ้านหรือไม่ ที่แน่นอนคือความทุกข์ของหญิงคนนี้ในปัจจุบัน

59701822_845271205817535_283699993108283392_n

และนี่คือส้วมที่ศรีรัศมิ์ถูกวชิราลงกรณ์บังคับให้ใช้ พร้อมป้าย “กูให้พวกมึง…รู้จักพอเพียง” จาก นสพ Bild เช่นกัน

59429332_1831412550293833_7012993093930582016_nส้วม

 

ล่าสุดวชิราลงกรณ์ประกาศว่าเมียอีกคนหนึ่งของเขาได้รับตำแหน่งเป็นราชินี การแต่งตั้งผู้หญิงที่ยังไม่ถูกทิ้ง ให้มีตำแหน่งสูงๆ เช่นเป็นนายพลบ้าง หรือราชินี เป็นการโยนภาระในการเลี้ยงดูปรสิตอีกคน ให้ปวงชนชาวไทย เพราะเพิ่มค่าใช้จ่ายที่เราต้องแบกรับ โดยไม่มีผลประโยชน์อะไรตกสู่สังคมและประชาชนเลย

68

การที่ “ความสามารถ” ของราชินีใหม่ที่ประโคมกันผ่านสื่อกระแสหลักเป็นเรื่องไร้สาระอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคุณสมบัติแท้ของการมีตำแหน่งในระบบกษัตริย์มีแค่สองเรื่องเท่านั้นคือ มีเพศสัมพันธ์และสืบพันธ์ุได้ กับ ชอบเสพสุขจากการทำนาบนหลังประชาชน

อย่าลืมว่าผู้เป็นแม่ เอ็นดูและยกโทษให้ลูกชายตนเองเสมอ ซึ่งไม่แปลกเพราะราชินนีของนายภูมิพลเป็นคนหัวรุนแรงสุดขั้ว และโง่เขลาด้วย อย่าลืมว่าราชินีคนนี้และลูกสาว เคยขยันสนับสนุนพวกอันธพาลที่ก่อความรุนแรงและทำลายประชาธิปไตย อย่าลืมอีกว่าผู้เป็นพ่อ นายภูมิพล ไม่ยอมออกมาตักเตือนลูกชายตนเอง สรุปแล้วมันเป็นครอบครัวชำรุดราคาแพง เหมือนราชวงศ์ทั่วโลก สมควรถูกปลดออกจากตำแหน่ง

17880152_10154927047036154_3616575511584400172_o

 

ในเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา วชิราลงกรณ์ กับสมาชิกอื่นๆ ของราชวงศ์ชำรุดนี้ ได้เคยไปให้กำลังใจกับพวกอันธพาลลูกเสือชาวบ้าน ที่ฆ่านักศึกษาอีกด้วย

th05_03b

อย่าลืมอีกว่าในสังคมไทย ประชาชนถูกบังคับให้ยืนเคารพประมุข ถูกบังคับให้หมอบคลาน ถูกบังคับให้ใช้ภาษาพิเศษ ถูกบังคับให้เดือดร้อนเพราะมีการปิดถนนให้เขาเดินทางอย่างสะดวกสบาย และทุกคนถูกบังคับให้เสียภาษีเพื่ออุดหนุนวิถีชีวิตอันร่ำรวยของวชิราลงกรณ์ในเยอรมัน

การเลือกที่จะอยู่เยอรมันของ วชิราลงกรณ์ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่แคร์อะไรกับสังคมไทย เพียงแต่อยากเสพสุขจากการมีตำแหน่งกษัตริย์ และมันสะท้อนอีกด้วยว่าในตัวมันเองเขาไม่มีอำนาจ แต่เป็นเครื่องมือราคาแพงของทหาร [อ่านเพิ่มเรื่องความไร้อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj ]

พวกนายพลคลั่งเผด็จการที่ชอบทำรัฐประหาร โกงการเลือกตั้ง และใช้ความรุนแรงต่อพลเมืองไทยที่ต้องการสิทธิเสรีภาพ มักพูดเสมอว่าเขาจะปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างถึงที่สุด พวกนี้อ้างว่าใครที่วิจารณ์กษัตริย์เป็น “ภัยต่อความมั่นคงของชาติ” เพราะกษัตริย์เป็น “สัญลักษณ์ของชาติไทย” แต่ในความเป็นจริง กษัตริย์วชิราลงกรณ์เป็นสัญลักษณ์ของ “ชาติหมา” มากกว่า เพราะเป็นตัวอย่างของความเลวทราม การกดขี่สตรี การไม่เคารพประชาชน ความปัญญาอ่อน และความโลภมาก

ถ้าจะหาสัญลักษณ์ที่ดีของไทย เราต้องดูที่การเสียสละของประชาชนไทยที่ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพมาอย่างต่อเนื่อง ประชาชนธรรมดาจึงควรจะร่วมกันเป็นตัวแทนของชาติมากกว่า

ดังนั้น วชิราลงกรณ์ และคนอื่นๆ ทุกคนในตระกูลจักรี ไม่สมควรจะเสพสุขทำนาบนหลังเราต่อไป ประเทศไทยควรเป็นสาธารณรัฐ

ca0BlIYE_400x400

 

เลนินกับนิยามของ “อำนาจ”

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อไม่นานมานี้ผมกับอาจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้ถกเถียงกันเรื่อง “อำนาจ” ของกษัตริย์ไทย ทั้งในสมัยรัชกาลที่ ๙ และ ในสมัยรัชกาลที่ ๑๐

ผมเสนอมานานแล้วกษัตริย์ไทยไม่มีอำนาจในการสั่งการ ไม่สามารถสั่งให้ทหารยิงประชาชน ไม่สามารถสั่งให้มีการทำรัฐประหาร และไม่สามารถสั่งการในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจได้ ผมเสนอว่าทหารและชนชั้นปกครองอื่นๆ มักใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความชอบธรรมในสิ่งที่พวกนี้ทำต่างหาก

ส่วน อ. สมศักดิ์ เสนอว่าเราต้องเข้าใจ “อำนาจ” ในแง่ที่ไม่ใช่อำนาจสั่งการอะไร แต่เป็นอิทธิพลทางความคิดในสังคมมากกว่า เขาจึงเชื่อว่าในยุคท้ายๆ หลังพฤษภา ๓๕  กษัตริย์ภูมิพลมีอำนาจมากที่สุดในหมู่ชนชั้นปกครองไทย

สำหรับผม เรื่องนี้มีความสำคัญในแง่ที่เราต้องเข้าใจว่ามันมีอำนาจอะไรที่เป็นอุปสรรคในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และมันมีความสำคัญในการตั้งเป้าในการล้ม “อำนาจ” ของเผด็จการ ดังนั้นการพูดลอยๆ ว่ากษัตริย์ภูมิพลเคยมีอำนาจสูงสุด เพราะมีบารมีหรืออะไรทำนองนั้น โดยไม่สนใจว่าอำนาจนี้สั่งการอะไรได้หรือไม่ ผมมองว่าเป็นคำพูดนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ และใช้ในการออกแบบยุทธศาสตร์เพื่อการปลดแอกสังคมไทยไม่ได้อีกด้วย

แน่นอนมันมีสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิ” ความคิด ที่หลากหลายและดำรงอยู่ในสังคม บางลัทธิความคิด เช่นลัทธิชาตินิยม หรือลัทธิเชิดชูกษัตริย์ เป็นลัทธิล้าหลังที่ปกป้องเผด็จการ แต่ “ลัทธิ” ไม่ใช่ “อำนาจ”

ลัทธิมันช่วยให้ความชอบธรรมหรือหนุนเสริมอำนาจ ถ้าพลเมืองจำนวนมากคล้อยตามลัทธิดังกล่าว และเราน่าจะหนีไม่พ้นข้อสรุปว่าลัทธิกษัตริย์นิยมในไทย หนุนเสริมอำนาจของทหาร

ในเรื่อง “อำนาจ” มันมีข้อแตกต่างระหว่างนิยามของ “อำนาจ” ตามแนวคิดของฟูโก้ (Foucault) นักปรัชญาฝรั่งเศส กับแนวคิดของเลนิน นักปฏิวัติมาร์คซิสต์ของรัสเซีย

ฟูโก้ เสนอว่า “อำนาจ” มีอยู่ในรูปแบบต่างๆ ทั่วทุกส่วนของสังคม เมื่อมีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่นความไม่เท่าเทียมทางอำนาจระหว่างครูใหญ่กับครูธรรมดา ระหว่างครูกับนักเรียน ระหว่างผู้บริหารโรงพยาบาลกับพยาบาล หรือระหว่างหมอในโรงพยาบาลกับลูกจ้างธรรมดาอย่างผมเป็นต้น และฟูโก้เสนอว่าถ้าเราจะเข้าใจอำนาจแบบนี้เราต้องดูความคิดที่ท้าทายหรืออยู่ตรงข้ามกับอำนาจแต่ละอำนาจ เขาพูดถึงระบบ “อำนาจทางความรู้” ในสังคมที่ครอบงำเรา

ในแง่หนึ่งสิ่งที่ฟูโก้บรรยายก็มีจริง คือความไม่เท่าเทียมทางอำนาจในหลากหลายรูปแบบนี้ดำรงอยู่จริง และมันไม่ใช่สิ่งที่ เลนินหรือนักมาร์คซิสต์จะปฏิเสธ แต่ประเด็นที่เราต้องสนใจมากที่สุดคืออำนาจต่างๆ ที่หลากหลาย มันมีความสำคัญไม่เท่ากัน เพราะถ้าเราจะปฏิวัติเพื่อทำให้ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน อุปสรรคหลักคือ “อำนาจรัฐ” ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานชนชั้นนายทุน และอำนาจนั้นมาจากการครอบครองและควบคุมปัจจัยการผลิตในสังคม มันเป็นอำนาจวัตถุนิยมที่จับต้องได้ และเป็นอำนาจรูปธรรมที่อาศัยกลุ่มคนถืออาวุธ กฏหมาย คุกและการครองสื่อ นี่คือลักษณะอำนาจรัฐในทุกประเทศทั่วโลกภายใต้ระบบทุนนิยมในโลกปัจจุบัน รวมถึงไทยด้วย

นี่คือสาเหตุที่เลนินสนใจอำนาจรัฐเป็นหลัก

กลุ่มคนที่ควบคุมอำนาจรัฐ อาจแย่งชิงอำนาจกันเอง แต่อำนาจรัฐมีความสำคัญเพราะมันนำไปสู่ความสามารถในการก่อรัฐประหาร หรือปกป้องรัฐบาลทหารเผด็จการ คนที่ล้มประชาธิปไตยในสังคมต่างๆ คนที่ทำลายการปฏิวัติอียิปต์ หรือคนที่ปราบปรามเสื้อแดง ไม่ใช่ครูใหญ่ ผู้บริหารโรงพยาบาล หรือหมอในโรงพบาบาล แต่เป็นคนที่คุมอำนาจรัฐ

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องให้ความสำคัญกับอำนาจรัฐที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นอำนาจในการสั่งการอย่างเป็นรูปธรรม และถ้าเราจะล้มอำนาจนี้เราต้องสร้างพรรคปฏิวัติที่ยืนอยู่บนรากฐานมวลชนกรรมาชีพผู้ทำงาน

บทความนี้อาศัยความคิดที่เสนอในหนังสือ “Lenin For Today” (2017) โดย John Molyneux. Bookmarks Publications.

อ่านเพิ่ม “รัฐกับการปฏิวัติ” ของเลนิน http://bit.ly/1QPRCP6

ทำไมเผด็จการประยุทธ์น้ำลายฟูมปากเรื่องการเผยแพร่รูปและข่าวเรื่องกษัตริย์?

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังจากที่รัฐบาลเผด็จการทหารประกาศห้ามไม่ให้ประชาชนติดตาม ติดต่อ เผยแพร่ หรือกระทำการใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการเผยแพร่ เนื้อหา ข้อมูล ของ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ และ แอนดรูว์ แม็กเกรเกอร์ มาร์แชล ซึ่งคำประกาศดังกล่าวไม่อาศัยหลักกฏหมายที่มีความชอบธรรมแต่อย่างใด คำถามสำคัญคือ คำประกาศดังกล่าวบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับอำนาจทางการเมืองในไทย?

ผมไม่ทราบว่า “คุณโอ” โกรธเคืองเรื่องการเผยแพร่รูปภาพและข่าวดังกล่าวหรือไม่ อย่างที่บางท่านสงสัย แต่มันก็มีคำถามตามมาคือ ถ้าไม่อยากให้เผยแพร่ ทำไมไปโง่เดินห้างในต่างประเทศกับเมียเพื่อโชว์ลายสักและร่างกายให้กับสาธารณชน? ตรงนี้ผมไม่สามารถตอบได้ เพราะเดาใจคนเพี้ยนแบบนี้ไม่เป็น

แต่มันมีสาเหตุอันสำคัญยิ่งที่รัฐบาลเผด็จการต้องการจะคุมการเผยแพร่ของภาพและข่าวดังกล่าว เพราะมันเพิ่มความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของเผด็จการในระยะยาว

อดีตกษัตริย์ภูมิพล ราชินี และลูกชายที่ปัจจุบันขึ้นมาเป็นกษัตริย์ มีภาพเสมือนว่ามีอำนาจ แต่แท้จริงไม่มีอำนาจ และไม่เคยมีอำนาจ มีแต่บทบาทหน้าที่ในละครใหญ่เพื่อการหลอกปกครองประชาชนโดยทหารและชนชั้นนำไทย

เวลาทหารจะก่อรัฐประหารหรือทำอะไรที่มีผลกระทบต่อสังคม มีการคลานเข้าไปหากษัตริย์ เพื่อสร้างภาพว่าไป “รับคำสั่ง” แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงการ “แจ้งให้ทราบ” ว่าทหารตัดสินใจทำอะไรก่อนหน้านั้น มันเป็นละครครั้งใหญ่ที่ผู้คลานมีอำนาจเหนือผู้ถูกกราบไหว้ องค์มนตรีมีไว้เพื่อเป็นกลุ่มประสานงานระหว่างส่วนต่างๆ ของชนชั้นปกครอง เช่นทหารชั้นผู้ใหญ่ นายทุนใหญ่ นักการเมืองอาวุโส หรือข้าราชการชั้นสูง และจะต้องสรุปความเห็นส่วนใหญ่ของพวกนี้ทั้งหมดเพื่อแนะแนวสั่งการให้กษัตริย์

การสร้างภาพว่ากษัตริยเป็นใหญ่ มีประโยชน์ต่อเผด็จการที่คอยบังคับให้เราจงรักภักดีต่อกษัตริย์และราชวงศ์ เพราะการจงรักภักดีดังกล่าวเป็นการจงรักภักดีต่อทหารและส่วนอื่นๆ ของชนชั้นปกครอง

ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์จะไม่พบช่วงไหนที่กษัตริย์ภูมิพลเคยมีอำนาจสั่งการอะไรได้ อาจแสดงความเห็นบ้าง แต่บ่อยครั้งก็ไม่มีใครฟัง เช่นกรณีที่นายภูมิพลชมเผด็จการสุจินดาในปี ๒๕๓๕ หรือกรณีรัฐบาล หลัง ๖ ตุลา ๒๕๑๙ ที่มีนายกรัฐมนตรีคนโปรดของนายภูมิพล แต่อยู่ได้แค่ปีเดียว เพราะทหารและอำมาตย์อื่นมองว่ารัฐบาลนี้สุดขั้วเกินไปและกำลังสร้างปัญหา หรือแม้แต่กรณีการใช้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งไม่มีใครใช้อย่างจริงจัง แม้แต่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ตอนที่นายกทักษิณมีอำนาจและอิทธิพล นายภูมิพลก็ชมสงครามยาเสพติดที่ฆ่าคนบริสุทธิ์กว่าสามพันคน  และมีการร่วมธุรกิจระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์กับบริษัท Shin Corp ของนายกทักษิณอีกด้วย

ในกรณีกษัตริย์ใหม่ “คุณโอ” ไม่เคยสนใจการเมืองและสังคมไทยเลย เพราะหมกมุ่นแต่ในการเสพสุขส่วนตัว การเรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญก็เป็นตัวอย่างที่ดี เพราะมีผลกระทบกับธุระและผลประโยชน์ส่วนตัวของกษัตริย์ที่จะใช้วิธีชีวิตตามใจชอบเท่านั้น การปลดเจ้าหน้าที่รอบข้างในวังก็เช่นกัน มันไม่ต่างจากอำนาจของโจรมาเฟียท้องถิ่นตัวเล็กๆ เพราะมันไม่เกี่ยวอะไรกับอำนาจทางการเมืองที่จะกำหนดนโยบายทางสังคมการเมืองในระดับชาติ หรือนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด

การใช้สถาบันกษัตริย์โดยทหารเผด็จการ เพื่อให้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความชอบธรรมในการแทรกแซงการเมือง จำต้องแลกกับการให้เสรีภาพกับกษัตริย์ ในเรื่องวิถีชีวิตส่วนตัว ต้องแลกกับการเอาเงินสาธารณะไปให้กษัตริย์ใช้อย่างฟุ่มเฟือย และต้องแลกกับการยกยอกษัตริย์ให้หัวพองโตด้วยการคลานและกราบไหว้ ในขณะที่อำนาจทางการเมืองและสังคมจริงอยู่ในมือทหารและพรรคพวกในหมู่ชนชั้นปกครอง

แต่ละครการสร้างความชอบธรรมให้เผด็จการนี้ขึ้นอยู่กับการสร้างภาพความน่าเชื่อถือของตัวบุคคลที่เป็นกษัตริย์ด้วย และในกรณี “คุณโอ” ความน่าเชื่อถือนี้ถูกทำลายตลอดเวลาจากพฤติกรรมของตัวเขาเอง เช่นการเดินห้างกับเมียเพื่อโชว์ลายสัก หรือพฤติกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

ดังนั้นการเผยแพร่ภาพความจริงและข่าวเกี่ยวกับ “ผู้ที่ยืนอยู่เหนือหัวเราทั้งชาติ” จึงเป็นภัยต่อความมั่นคงของเผด็จการ แต่ไม่ใช่ภัยต่อความมั่นคงของประชาชนแม้แต่นิดเดียว และการพยายามคุมโซเชียล์มีเดีย เป็นงาน “กลิ้งหินขึ้นภูเขา” ซึ่งไม่มีวันสำเร็จ

แต่ขออนุญาตเตือนเพื่อฝูงผู้รักประชาธิปไตยหน่อย การหมกมุ่นกับพฤติกรรมในวังมากเกินไป เสี่ยงกับการเบี่ยงเบนการวางแผนการต่อสู้เพื่อล้มเผด็จการและสร้างประชาธิปไตย เพราะพุ่งเป้าไปที่ตัวปลอม และอาจทำให้เราลืมความสำคัญของการสร้างขบวนการมวลชนอีกด้วย