Tag Archives: เผด็จการรัฐสภา

นักเคลื่อนไหวควรปฏิเสธการถูกครอบงำโดย “ทฤษฎีสมคบคิด”

เมื่อสามปีก่อนมีบทความในบีบีซีภาษาไทยที่อธิบายว่า “นักจิตวิทยาให้คำอธิบายเรื่องความเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ว่า ทฤษฎีสมคบคิดเป็นวิธีการหนึ่งเพื่อพยายามหลีกหนีความจริงที่รับฟังได้ยาก ของคนกลุ่มดังกล่าว

ในแง่สำคัญ การที่คนไทยจำนวนมากเชื่อใน “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือ “นิยายจอมปลอม” ก็เพราะสังคมเราตกอยู่ภายใต้เผด็จการประยุทธ์ หรือที่หลายคนเรียกว่า “สังคมใต้กะลา” คือในสังคมไทยปัจจุบัน ผู้นำรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐมักโกหกเป็นประจำ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตนเองและให้ความชอบธรรมกับพฤติกรรมชั่วร้ายของตนเอง ดังนั้นจึงเกิดแนวโน้มว่าประชาชนจะไม่เชื่อคำพูดหรือแถลงการณ์ใดๆ ของรัฐ และพยายามแสวงหา “ความจริงอื่น” แต่ปัญหาคือ ถ้า ”ความจริงอื่น” ที่คนหันไปเชื่อเป็นการโกหกอีกชนิดหนึ่ง สังคมจะจมอยู่ในความงมงาย ซึ่งความงมงายมักนำไปสู่ความอำพาตในการต่อสู้

วัคซีนโควิด

ตัวอย่างแรกของ “ทฤษฏีสมคบคิด” ที่จะยกมาพิจารณาคือเรื่องวัคซีนโควิด แน่นอนรัฐบาลเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงในการนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนอย่างเป็นระบบ สาเหตุมาจากการที่รัฐบาลของประยุทธ์ไม่ให้ความสำคัญกับการปกป้องประชาชน มัวแต่กอบโกยผลประโยชน์ และเต็มไปด้วยคนที่มีความคิดล้าหลังคับแคบ ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตจริงๆ ได้ เพราะจมอยู่ในความคิดอวดเก่งว่า “ทหาร รถถัง และปืน” สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้และประชาชนธรรมดา “โง่” สิ่งนี้นำไปสู่การสั่งจองวัคซีนล้าช้า การไม่สั่งวัคซีนจากหลายๆ แห่งตั้งแต่แรก และมัวแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างความชอบธรรมในเรื่องวัคซีนให้กับราชวงศ์และทหาร สังคมไทยจึงขาดแคลนวัคซีนอย่างที่เห็นอยู่

อีกปัญหาหนึ่งคือการที่เผด็จการทหารไม่มีความคิดแบบ “รัฐสวัสดิการ” ซึ่งทำให้ผู้บริหารไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญของการปกป้องผู้สูงอายุและคนที่มีโรคประจำตัวก่อนอื่น และสังคมก็ขาดหมอชุมชนและสถาบันในชุมชนที่จะฉีดวัคซีนให้พลเมืองอย่างเป็นระบบ มันนำไปสู่กันลัดคิวของคนมีเส้น และการแตกกระจายของสำนักงานที่จะนำเข้าวัคซีนจนวุ่นวายไปหมด

แต่จากปัญหาอันใหญ่หลวงเหล่านี้และการโกหกของผู้นำประเทศ ก็เกิด “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่ขัดกับหลักวิทยาศาสตร์ และนำไปสู่การมองว่าวัคซีนซิโนแวค ของจีนเป็นวัคซีน “อันตราย” และขาดประสิทธิภาพ มีการพูดถึง แอสตร้าเซนเนก้า ในทำนองคล้ายๆ กัน และหลายคนก็หันไปชื่นชม ไฟเซอร์

ในความจริงถ้าดูข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่น่าไว้ใจขององค์กรอนามัยโลก (WHO) จะพบว่าทั้งสามวัคซีนมีประสิทธิภาพพอๆ กัน และอยู่ในระดับที่ใช้งานได้ โดยเฉพาะในการปกป้องคนจากการมีอาการรุนแรงหรือการเสียชีวิต และในเรื่องผลข้างเคียง ทั้งสามวัคซีนมีผลข้างเคียง ที่ไม่ค่อยพูดกันในสังคมไทยคือผลข้างเคียงต่อหัวใจของวัคซีนไฟเซอร์ในชายหนุ่ม

แต่ในเรื่องผลข้างเคียง ถ้าพูดถึงความเสี่ยง ต้องยอมรับว่าต่ำมากถ้าพิจารณาประชาชนเป็นล้านๆ ที่ได้รับวัคซีนไปแล้วในหลายประเทศ และถ้าระบบสาธารณสุขพยายามลดความเสี่ยงโดยใช้วัคซีนชนิดที่แตกต่างกันกับคนกลุ่มต่างๆ ก็สามารถลดความเสี่ยงได้อีก แต่พวกที่เชื่อ “ทฤษฎีสมคบคิด” ไม่สนใจที่จะแสวงหาข้อมูลวิทยาศาสตร์ และไม่สามารถวิจารณ์รัฐบาลประยุทธ์ได้ตรงจุด ซึ่งทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนแอกว่าที่ควร

นอกจากนี้ไฟเซอร์เป็นวัคซีนราคาแพงเพราะบริษัทต้องการกอบโกยกำไรสูงสุด และวัคซีนต้องเก็บไว้ในตู้แช่ที่มีอุณหภูมิต่ำ ซึ่งต่างจาก ซิโนแวคกับ แอสตร้าเซนเนก้า ในแง่ราคาซิโนแวคก็แพง แต่แอสตร้าเซนเนก้าตั้งใจผลิตในราคาที่ไม่แสวงหากำไร

ในอนาคต ขณะที่ไวรัสโควิดกำลังแปรพันธุ์อย่างต่อเนื่อง จะต้องมีการสร้างวัคซีนใหม่ๆ เรื่อย ๆ และถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย การเข้าใจวิทยาศาสตร์และการเสนอรูปแบบวิธีจัดการบริหารสังคมที่ไม่ใช่รูปแบบของทหารเผด็จการจะเป็นเรื่องสำคัญมาก

วชิราลงกรณ์และอำนาจกษัตริย์

ตัวอย่างที่สองของ “ทฤษฏีสมคบคิด” ที่จะยกมาพิจารณา คือเรื่องอำนาจทางการเมืองของกษัตริย์วชิราลงกรณ์ ความคิดนี้ จริงๆ แล้วถูกสร้างขึ้นมาโดยเผด็จการทหารและนายทุน เพื่อให้ความชอบธรรมกับตนเอง เพราะถ้ามีละครกราบไหว้และคลานเข้าไปหากษัตริย์ เผด็จการทหารสามารถอ้างได้ว่าทุกอย่างที่เขาทำ ทำไปภายใต้คำสั่งของกษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกันเผด็จการทหารและนายทุนจะยืนยันเสมอว่า “กษัตริย์ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง” ซึ่งทำให้คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะเชื่ออะไรได้

มันเป็นโศกนาฏกรรมที่นักเคลื่อนไหวจำนวนมากหลงเชื่อว่าวชิราลงกรณ์มีอำนาจทางการเมืองล้นฟ้า และสั่งการเผด็จการประยุทธ์ในทุกเรื่องได้ ความเชื่อแบบ “ทฤษฎีสมคบคิด” อันนี้ไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน เช่นในเรื่องการ “โอนอำนาจ” ระหว่างภูมิพลกับวชิราลงกรณ์เกิดได้อย่างไร โดยเฉพาะในสามสี่ปีก่อนที่ภูมิพลจะเสียชีวิต หรือในเรื่องที่ไม่มีตัวอย่างของเผด็จการที่ไหนที่สั่งการมาจากต่างประเทศในขณะที่ใช้เวลาอยู่นอกประเทศนาน หรือในเรื่องความปัญญาอ่อนของวชิราลงกรณ์ผู้ที่ไม่สนใจปัญหาสังคมและการเมืองเลย ฯลฯ

“ทฤษฏีสมคบคิด” เรื่องกษัตริย์วชิราลงกรณ์นำไปสู่เรื่องตลกร้ายเมื่อเดือนที่แล้วที่มีคนเชื่อแบบผิดๆ กันว่าวชิราลงกรณ์เสียชีวิตไปแล้ว เสียดายที่ไม่จริง แต่มันไม่เคยมีหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อนี้ และถ้าคนเชื่อว่ามีการโอนอำนาจระหว่างภูมิพลที่หมดสภาพในปีท้ายๆ ของชีวิตสู่วชิราลงกรณ์ มันก็มีการโอนอำนาจต่อได้

แต่ที่เป็นโศกนาฏกรรมแท้คือการที่ “ทฤษฎีสมคบคิด” เรื่องอำนาจกษัตริย์ ในรูปธรรมทำให้ผู้มีอำนาจตัวจริง คือเผด็จการทหารของประยุทธ์ สามารถลอยนวลได้ เพราะมีการมองว่าไม่ใช่ปัญหาหลัก ถึงกับมีคนดังหลายคนเสนอในทำนองว่า “ถ้าไล่แก๊งประยุทธ์ได้ กษัตริย์ก็จะยังอยู่” ซึ่งหมายความว่าการไล่เผด็จการทหารไม่มีประโยชน์ และข้อสรุป ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ คือไม่ต้องให้ความสำคัญกับการต่อสู้ ยุทธศาสตร์แห่งการต่อสู้ หรือการจัดตั้งขบวนการต่อสู้ แค่อยู่บ้านนินทากษัตริย์และราชวงศ์ในอินเตอร์เน็ด หรือ “ตลาด Royalist Marketplace” ก็พอ และในความจริงไม่มีผู้มีอิทธิพลใดๆ ในสังคมนินทาราชวงศ์นี้ ที่สนใจหาทางเอาชนะเผด็จการประยุทธ์อย่างเป็นรูปธรรมเลย เวลามีคนเสนอว่าต้องสร้างกระแสนัดหยุดงานเพื่อไล่รัฐบาล อย่างที่เขาทำกันที่พม่าหรือที่อื่น ก็จะออกมาพูดว่าไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีการเสนอทางเลือกอื่นที่เป็นรูปธรรมเลย

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลก เพราะขบวนการเคลื่อนไหวที่นำโดยคนหนุ่มสาวเมื่อปีที่แล้ว อ่อนตัวลงและพ่ายแพ้อำนาจเผด็จการในขณะนี้ และผลที่เห็นชัดเจนคือแกนนำผู้กล้าหาญจำนวนมากติดคดีร้ายแรง 112 ซึ่งในที่สุดจะจบลงด้วยการติดคุกถ้าไม่มีการฟื้นตัวของการต่อสู้ในอนาคต

สร้างพรรค

ในยุคนี้มีคนหนุ่มสาวหลายคนที่สนใจเรื่องแนวสังคมนิยมมาร์คซิสต์ มันถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะต้องรวมตัวกันสร้างหน่ออ่อนของพรรคปฏิวัติสังคมนิยมอย่างจริงจัง เพื่อที่จะให้มีการวิเคราะห์ลักษณะสังคมปัจจุบันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ แทนความเชื่อใน “ทฤษฎีสมคบคิด”  และเพื่อนำเสนอรูปธรรมทางออกในการต่อสู้กับเผด็จการ ที่เรียนบทเรียนจากอดีต และสามารถเดินหน้าสู่ชัยชนะได้

อ่านเพิ่ม

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el  

ว่าด้วยวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/31ernxt

คนหนุ่มสาวควรอัดฉีดความกล้าหาญสู่ขบวนการแรงงานและผู้รักประชาธิปไตยทั่วไป    https://bit.ly/3jBKXKV

ทำไมนักมาร์คซิสต์ต้องสร้างพรรค? http://bit.ly/365296t

ใจ อึ๊งภากรณ์

เผด็จการไทยไร้ประสิทธิภาพในการปกป้องประชาชนจากโควิด

รัฐบาลเผด็จการไทยไร้ประสิทธิภาพเพราะเน้นแต่กำไรกลุ่มทุนและผลประโยชน์ตนเอง ไม่ยอมใช้มาตรการทางวิทยาศาสตร์เพื่อปกป้องการแพร่เชื้อ และไม่ยอมใช้งบประมาณรัฐเพื่อเป็นสวัสดิการที่เพียงพอสำหรับคนที่ควรจะพักงานและอยู่บ้าน ในขณะเดียวกันมีการทุ่มเทเงินให้ปรสิตชั้นสูงและกองทัพ และมีการจับมือกับพรรคพวกในการผลิตวัคซีนอีกด้วย และที่แย่สุดคือการนำวัคซีนมาฉีดให้ประชาชนล้าช้ากว่าประเทศอื่นๆ และไม่ทำอย่างเป็นระบบ

อีกเรื่องที่เป็นอปสรรค์ในการจัดการกับโควิดในไทย คือการที่ประชาชนไว้ใจรัฐบาลไม่ได้ เพราะถูกจับว่าโกหกในอีดตอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกๆ เรื่อง

ในแง่หนึ่งความล้มเหลวของรัฐบาลเผด็จการไทยไม่ค่อยต่างจากรัฐบาลในประเทศอื่นที่เน้นผลประโยชน์กลุ่มทุนและอภิสิทธ์ชน

ในอังกฤษรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมของนายทุนใหญ่ พยายามตลอดเวลาที่จะผลักให้คนกลับไปทำงานและเปิดโรงเรียนเพื่อให้คนที่มีลูกกลับไปทำงานได้ นายกรัฐมนตรี Boris Johnson เคยพูดว่า “ให้ศพมันกองไปเรื่อยๆ จะไม่ล็อคดาว์น” และผลคือมียอดคนตายสูงจากโควิดถึงแสนกว่าคน นับว่าอังกฤษมีสัดส่วนคนตายสูงกว่าหลายประเทศในโลก

แต่การที่รัฐบาลอังกฤษกลัวความไม่พอใจของประชาชน กดดันให้มีการสั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าเร็วกว่าหลายๆ ประเทศ แต่ในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและประชาชนวิจารณ์ระบบการเมืองอย่างเปิดเผยไม่ได้ เช่นในไทย แรงกดดันแบบนี้จะอ่อนแอกว่า แถมในไทยพวกนายพลที่เป็นคณะเผด็จการ เช่นประยุทธ์ หลงตนเองคิดว่าการเป็นทหารทำให้เก่งทุกอย่างได้ ทั้งๆที่ตรงข้ามกับความจริง

สิ่งที่ตอนนี้เข้ามาช่วยประชาชนอังกฤษคือการที่มีระบบสาธารณสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐสวัสดิการ พนักงานต่างๆ ในระบบสาธารณสุข (NHS) ได้วางแผนการฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึงและเป็นระบบ จนตอนนี้ประชาชนเกินครึ่งหนึ่งได้รับการฉีดยาอย่างน้อยเข็มแรก และคนจำนวนมากได้เข็มที่สองแล้วด้วย

แต่ในด้านลบการที่ประเทศพัฒนาในตะวันตก อย่างอังกฤษ สหรัฐ และประเทศอียู ปกป้องบริษัทยาและไม่ยอมยกเลิกสิทธิบัตรยา ทำให้มีการลงมือแจกจ่ายสูตรการทำวัคซีนให้ทุกประเทศอย่างทั่วถึงไม่ได้ และผลิตวัคซีนในราคาถูกไม่ได้ ทำให้ประชาชนในประเทศยากจนขาดแคลนวัคซีน นี่คือหน้าตาโหดร้ายของจักรวรรดินิยมในระบบทุนนิยม (ดูข่าวล่าสุดข้างล่าง)

อย่างไรก็ตามผลประโยชน์ของจักรวรรดินิยมตรงข้ามกับผลประโยชน์ของกรรมาชีพคนทำงานในประเทศตะวันตก เพราะถ้าทุกคนทั่วโลกไม่ร่วมมือกันโดยไม่คำนึงถึงกำไรของกลุ่มทุน มันทำให้ประชาชนทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใด เสี่ยงกับการระบาดรอบใหม่ๆ ของโควิดและการแปรพันธุ์ของไวรัส

อังกฤษฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกไปแล้ว 34.7 ล้านคน เกินครึ่งของประชากร ส่วนใหญ่ประชาชนได้วัคซีน AstraZeneca และตอนนี้ยอดคนตายจากโควิดในอังกฤษลดลงมาก ขณะนี้เหลือแค่4คนต่อวันเนื่องจากการใช้วัคซีน ซึ่งต่างจากประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันที่รัฐบาลล้าช้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน ประเทศเหล่านั้นกำลังถึงขั้นวิกฤตจากการระบาดรอบสามของโควิด

3 วันหลังจากที่ผมได้รับการฉีด AstraZeneca เข็มที่สอง ผมไม่มีผลข้างเคียงอะไรเลย หลังเข็มแรกมีไข้อ่อนๆ

สำหรับเรื่องผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจาก AstraZeneca ในอังกฤษมีคนตายจากลิ่มเลือด 41 คน (เท่ากับสัดส่วน 1.2 คนจากประชาชน 1 ล้านคนที่ได้วัคซีน) ซึ่งถ้าเทียบกับยอดคนตายด้วยโควิด 127,500 คนตั้งแต่มีการระบาด จะเห็นว่าวัคซีนมีความเสี่ยงน้อยกว่าการติดเชื้อ แต่ตอนนี้อังกฤษประกาศว่าจะให้คนอายุต่ำกว่า40เลือกวัคซีนอื่นได้

สังคมไทยเต็มไปด้วยข้อมูลที่บิดเบือนเรื่องวัคซีน มีการวาดภาพวัคซีนร้ายแรงเกินเหตุ และประชาชนจำนวนมากยังไม่ได้รับวัคซีน สาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลเผด็จการไร้ประสิทธิภาพ และโกหกประชาชนเป็นประจำ พร้อมกับการที่ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและตรวจสอบรัฐบาล ยิ่งกว่านั้นประเทศไทยไม่มีระบบสาธารณสุขที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างรัฐสวัสดิการ

ส่วนวัคซีน “ซิโนวัค” ที่หลายคนเป็นห่วง วัคซีนนี้ใกล้จะได้รับการรับรองจาก EU และ องค์กรWHO และข้อมูลพิสูจน์ว่าสามารถป้องกันไม่ให้ตายจากโควิดหรือมีอาการรุนแรงถึง 90% แต่ในการป้องกันการติดเชื้อ และมีอาการอ่อนๆ วัคซีนนี้มีประสิทธืภาพ 50-60% ซึ่งถือว่าไม่เลว

ในเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีนที่อาจทำให้คนตาย ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอว่ามีคนตายจากวัคซีนซิโนวัคหรือไม่ แต่เรื่องนี้ยังสรุปกันยาก อาจมีข้อมูลใหม่เข้ามาในอนาคต แต่ประเด็นคือผู้นำทางการเมืองในไทยไม่มีการใช้วัคซีนนี้กับตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจในหมู่ประชาชน และการที่สังคมไทยเต็มไปด้วยข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับวัคซีน ซึ่งจะไม่ช่วยในการรณรงค์ให้คนรับวัคซีนอย่างเพียงพอ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ข่าวล่าสุด

รัฐบาลสหรัฐประกาศว่าอยากจะยกเลิกสิทธิบัตรยาสำหรับวัคซีนโควิดชั่วคราว และอียูอาจทำตามในอนาคต?

สัญญาณเตือนภัย

ขบวนการประชาธิปไตยที่นำโดยคนหนุ่มสาวได้สร้างความตื่นเต้นและความหวังล้นฟ้าสำหรับคนไทยเป็นล้านๆ และคนต่างประเทศที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคมของตนเองทั่วโลก

แต่สัญญาณเตือนภัยเริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ว่าจะมีการลดเพดานและจะจบลงด้วยการประนีประนอมแบบแย่ๆ สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเพราะนักเคลื่อนไหวและแกนนำต้องการให้จบแบบนั้น แต่จะเกิดขึ้นถ้าไม่มีการทบทวนและพัฒนาการต่อสู้เพื่อให้รัฐบาลเผด็จการบริหารประเทศไม่ได้ เพราะการชุมนุมไปเรื่อยๆ ในรูปแบบเดิมๆ และรูปแบบเชิงสัญลักษณ์ จะเอาชนะทหารไม่ได้

ภัยหลักตอนนี้คือการยอมปล่อยให้รัฐสภาจัดการเรื่องการปฏิรูปสังคม เพราะถ้าเราไม่ระวังรัฐสภาที่คุมโดยทหารจะยอมแค่ให้แก้บางมาตราในรัฐธรรมนูญเท่านั้น จะไม่มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยประชาชน ประยุทธ์จะไม่ลาออก และจะไม่มีการปฏิรูปกษัตริย์

ขบวนการประชาธิปไตยปัจจุบันที่นำโดยคนหนุ่มสาวควรภูมิใจในผลงานในสามเดือนที่ผ่านมาเพราะมีการชุมนุมใหญ่ของคนจำนวนมากเป็นประวัติศาสตร์ มีการพัฒนาข้อเรียกร้อง มีการแสดงความกล้าหาญที่จะวิจารณ์กษัตริย์ และมีการดึงเรื่องสิทธิทางเพศ และสิทธิของชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานีเข้ามาเพื่อขยายแนวร่วม สิ่งเหล่านี้ขบวนการเสื้อแดงในอดีตไม่สามารถทำได้

และทั้งๆ ที่ขบวนการนี้นำโดยคนหนุ่มสาว ข้อเรียกร้องหลักของขบวนการเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวเท่านั้น ทุกคนเดือดร้อนและคนจำนวนมากต้องการให้สังคมเปลี่ยนแปลง

ดังนั้นการประนีประนอมหรือลดเพดานจะไม่มีวันแก้ปัญหาของสังคมได้ และไม่มีวันทำให้คนส่วนใหญ่พอใจ

มันถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจังเรื่องยุทธ์วิธีที่จะพัฒนาการต่อสู้ให้ได้ชัยชนะ

ปัญหาอันหนึ่งคือการใช้วิธี “ทุกคนเป็นแกนนำ” สามารถช่วยให้การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งๆ ที่แกนนำหลายคนถูกจับก็จริง แต่ไม่นำไปสู่การสร้างโครงสร้างภายในขบวนการที่จะกำหนดแนวทางด้วยวิธีประชาธิปไตยได้ แน่นอนแกนนำไม่ได้หวังเป็นเผด็จการ แต่ถ้าไม่มีโครงสร้างเพื่อให้มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างเป็นระบบ แกนนำจะเป็นผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยปริยาย และจะไม่สามารถดึงคนรากหญ้ามาช่วยตัดสินแนวทางได้ นี่คือประสบการณ์จากขบวนการเคลื่อนไหว Podemos ที่อ้างว่าไม่มีแกนนำในสเปน

ขบวนการที่ไทยได้รับความคิดและความสมานฉันท์จากขบวนการฮ่องกง ซึ่งน่าจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดเรื่องความสำคัญของการนัดหยุดงาน ซึ่งเป็นข้อสรุปสำคัญของหลายส่วนที่ฮ่องกง

ทุกวันนี้มีนักสหภาพแรงงานเข้าร่วมชุมนุมกับคนหนุ่มสาว และกระแสความชื่นชมในขบวนการประชาธิปไตยยังสูงอยู่ ดังนั้นคนหนุ่มสาวและนักสหภาพแรงงานก้าวหน้าควรลงมือเดินเข้าไปหาคนทำงานในสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน สำนักงาน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล และสถานที่ทำงานอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อพูดคุยกับคนทำงานในเรื่องการใช้พลังทางเศรษฐกิจที่มาจากการนัดหยุดงานเพื่อหนุนการชุมนุมของคนหนุ่มสาว

แน่นอน จะมีคนที่ออกมาพูดว่าการนัดหยุดงาน “ทำไม่ได้” หรือ “คนงานไทยไม่มีวันนัดหยุดงาน” หรือ “คนงานกำลังจะเอาตัวรอดไม่ได้” แต่พวกนี้จะเป็นคนที่ไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และปิดหูปิดตาถึงการพัฒนาทางความคิดที่เกิดขึ้นในรอบสามสี่เดือนที่ผ่านมาในไทย ยิ่งกว่านั้นผู้เขียนขอท้าคนที่พูดแบบนี้ว่า “ถ้าไม่เห็นด้วยกับการพยายามสร้างกระแสการนัดหยุดงาน ท่านมีข้อเสนออื่นอะไรที่เป็นรูปธรรมที่จะทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้?” “ท่านมีข้อเสนออะไรที่จะนำไปสู่ชัยชนะของขบวนการ?”

ใจ อึ๊งภากรณ์

ระวังพวกที่จะพาเราหลงทางจากเป้าหมายข้อเรียกร้อง 3+10

ใจ อึ๊งภากรณ์

นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทยควรระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้พวกประนีประนอมพาเราไปหลงทาง เบี่ยงเบน ไปจากเป้าหมายข้อเรียกร้อง “3+10”

อันนี้เป็นปัญหาปกติในกระบวนการต่อสู้ เราเคยเจอในกรณีการล้มเผด็จการทหารช่วง ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ที่ฝ่ายชนชั้นปกครองเชิญนายภูมิพลออกมาเพื่อแต่งตั้ง สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตประธานศาลฎีกา เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และนำไปสู่การตั้ง “สภาสนามม้า” [ดู https://bit.ly/3ggYMLW ] มันเป็นวิธีที่ชนชั้นปกครองไทยสามารถกู้สถานการณ์ไม่ให้ลามไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างแท้จริงตามที่คนจำนวนมากต้องการ โดยเฉพาะนักศึกษา กรรมาชีพ และพลเมืองที่สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในที่สุดมันเปิดโอกาสให้ชนชั้นปกครองฝ่ายอนุรักษ์นิยมตั้งตัวใหม่และกลับมาในช่วง ๖ ตุลา ๒๕๑๙

a3_0

ทั้งในสถานการณ์สากลและไทย เมื่อมีการลุกฮือล้มเผด็จการ มักจะมีกลุ่มคนที่เสนอให้ประนีประนอม พวกนี้ส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกชนชั้นปกครองเก่า อีกส่วนเป็นพวกนักการเมืองและนักวิชาการกระแสหลักที่ต้องการแค่ปฏิรูประบบ เป้าหมายของสองกลุ่มนี้คือเพื่อปกป้องโครงสร้างอำนาจเดิม

เรื่องแบบนี้มันเกิดที่ ซูดาน เลบานอน อียิปต์ ฮ่องกง และที่อื่นๆ มันเป็นความขัดแย้งระหว่างพวกที่อยากเปลี่ยนระบบให้น้อยที่สุดพร้อมปกป้องอำนาจเดิม กับพวกที่ต้องการเปลี่ยนสังคมอย่างถอนรากถอนโคน

ข้อเรียก 3 ข้อของ “คณะประชาชนปลดแอก” เป็นข้อเรียกร้องที่ต้องการล้มเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ ล้มรัฐธรรมนูญทหาร และยุติการคุกคามประชาชนโดยทหาร มันจะไม่ประสบความสำเร็จจนกว่าประยุทธ์กับคณะทหารออกไปจากการเมืองไทย

ดังนั้นเราควรระมัดระวังคนที่เสนอให้แค่ “แก้” รัฐธรรมนูญทหาร เพราะมันจะเป็นการเสนอกระบวนการที่ใช้เวลานาน และเปิดช่องให้เผด็จการของประยุทธ์อยู่ต่อไป ถ้าเผด็จการประยุทธ์อยู่ต่อได้แบบนี้ ฝ่ายประนีประนอมหวังว่ากระแสการลุกฮือจะลดลง และนี่คืออันตรายสำหรับฝ่ายเรา

ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังที่หยุดนิ่ง อยู่กับที่ มักจะถอยหลังในไม่ช้า

เราต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่ใช่ไปแก้รัฐธรรมนูญเผด็จการ

ข้อเรียกร้อง 10 ข้อให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ก็เช่นกัน ถ้าปล่อยให้พวกประนีประนอมเดินเรื่อง โดยเฉพาะพรรคการเมืองอย่าง “เพื่อไทย” กับ “ก้าวไกล” รับรองมันจะถูกผลักออกไปจากวาระทางการเมืองอย่างแน่นอน

FB_IMG_1597581301917

ในความเป็นจริงข้อเรียกร้อง 10 ข้อเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ จะไม่ประสบความสำเร็จตราบใดที่เผด็จการประยุทธ์หรือเผด็จการทหารอื่นๆ ยังคุมอำนาจอยู่ เพราะทหารคือผู้ที่มีอำนาจในสังคมไทย และเป็นผู้ที่ใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือของเขาเองเสมอ

ดังนั้นเราต้องคงไว้เป้าหมายข้อเรียกร้อง “3+10” ทั้งหมดพร้อมๆ กัน

ในความเห็นผม จริงๆ แล้วประเทศไทยควรเป็นสาธารณรัฐ คือยกเลิกสถาบันกษัตริย์ไปเลย เพราะสถาบันกษัตริย์ไทยมันปฏิรูปให้ดีขึ้นไม่ได้ และลัทธิกษัตริย์นิยมเป็นอุปสรรคต่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมมาตลอด

[อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2Qf5yHB  https://bit.ly/2Qk0eCS  https://bit.ly/2QfI2dh และ หนังสือ “ระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ที่เขียนหลังรัฐประหาร๑๙กันยา๒๕๔๙ https://bit.ly/3gStOLd ]

เราจะคงไว้เป้าหมาย “3+10” อย่างไร?

  1. อย่าไปฝากความหวังอะไรทั้งสิ้นกับ “ผู้ใหญ่” ในวงวิชาการ หรือนักการเมืองจากพรรคกระแสหลัก อย่าให้เขาออกแบบวิธีปฏิรูปสังคมไทย
  2. พวกเรา โดยเฉพาะนักเคลื่อนไหวหนุ่มสาว จะต้องรีบคุยกันเพื่อหาจุดร่วมว่าต้องการเห็นสังคมไทยแบบไหน ต้องการรัฐธรรมนูญแบบไหน และต้องการให้มีสถาบันกษัตริย์หรือไม่ พูดง่ายๆ ควรมีสมัชชาใหญ่ของคณะปลดแอกประชาชนและพันธมิตรอื่นๆ เพื่อเอา “เนื้อ” มาใส่โครงกระดูกของข้อเรียกร้อง “3+10” และคุยกันว่าจะเดินหน้าอย่างไร
  3. ไม่ควรหยุดการเคลื่อนไหวเพื่อส่งต่อเรื่องให้คนอื่น และควรมีความพยายามที่จะขยายมวลชนไปสู่นักสหภาพแรงงาน เกษตรกร และคนธรรมดากลุ่มอื่นๆ ควรมีการคุยกันว่าคนที่อยู่ในสถานที่ทำงานสามารถประท้วงได้อย่างไร เช่นการนัดหยุดงาน
  4. เราต้องเรียกร้องให้ยุติคดีของเพื่อนเราทุกคนที่ถูกหมายเรียกหมายจับทันที

อย่ายอมประนีประนอมเพื่อรักษาระบบที่ทำลายสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม!!

เดินหน้าต่อไปถึงเส้นชัย!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

ต้องยอมรับครับว่าเมื่อเห็นภาพนักศึกษาและประชาชนที่ออกมาประท้วงเผด็จการวันนี้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผมน้ำตาไหลด้วยความดีใจ พวกเรารอวันนี้มานาน

FB_IMG_1597581477208

ผมไม่อยากจะ “แนะนำ” อะไรมากกับ “คณะประชาชนปลดแอก” เพราะเขาพิสูจน์ไปแล้วว่าเขาจัดการประท้วงที่ประสบความสำเร็จสุดยอด แต่ผมมีความหวังว่าการต่อสู้จะไม่จบแค่นี้ ผมหวังว่าจะมีการขยายมวลชน โดยเฉพาะในหมู่นักสหภาพแรงงาน และผมหวังว่าจะมีการชุมนุมอีก และถ้าเป็นไปได้มีการเดินออกจากสถานที่ทำงานด้วย และที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าคือผมหวังว่าจะมีการเรียกร้องขีดเส้นตายให้ยกเลิกทุกข้อหาที่รัฐไปยัดให้แกนนำขบวนการชุมนุมทุกคน

FB_IMG_1597582400786

ในความจริงเพื่อนๆทุกคนที่รักประชาธิปไตยคงทราบว่าเราหยุดตอนนี้ไม่ได้ และการต่อสู้วันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่งดงาม

FB_IMG_1597581301917

ในเรื่องการ “ปฏิรูป” สถาบันกษัตริย์ ผมเข้าใจว่าทำไมนักเคลื่อนไหวที่กล้าพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะจะอ้างตลอดว่า “ไม่ได้หวังจะโค่นล้มสถาบัน” แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การพูดแบบนี้ถือว่ายังอยู่ในกรอบที่เผด็จการทหารและพวกอนุรักษ์นิยมวางไว้และใช้เพื่อกดขี่คนในสังคม ถ้าเราจะมีเสรีภาพและประชาธิปไตยแท้จริงเราต้องสามารถเสนอการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์โดยไม่ต้องมาแก้ตัวแบบนี้ ยิ่งกว่านั้นเราต้องสามารถเสนอให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ไปเลยถ้าเรามีความคิดแบบนั้น

เพื่อนๆ ผู้รักประชาธิปไตยครับ กรุณาอย่าหยุดจนกว่าเผด็จการทหารหมดไปจากสังคมไทยและเรามีเสรีภาพในการแสดงออกเต็มที่

และเพื่อนๆ ที่อยากไปไกลกว่านั้น คืออยากสร้างสังคมที่เท่าเทียมและไร้ชนชั้น กรุณาอย่าหยุดจนกว่าเราจะสามารถสร้างสังคมนิยมในประเทศไทย

 

การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์เป็นก้าวสำคัญ แต่หยุดไม่ได้

ใจ อึ๊งภากรณ์

การชุมนุมใหญ่ที่ธรรมศาตร์ในวันที่ 10 สิงหาคม มีข้อเรียกร้อง 10 ข้อที่สำคัญคือ ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบและวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ได้ ยกเลิกการรวบทรัพย์สินภายใต้วชิราลงกรณ์และเพิ่มความโปร่งใสในเรื่องเงิน ลดงบประมาณที่จัดสรรให้กษัตริย์ ยกเลิก “ราชการในพระองค์” ยกเลิกอำนาจกษัตริย์ในการแสดงความเห็นทางการเมือง ยกเลิกการเชิดชูกษัตริย์เกินเหตุเพียงด้านเดียว ยกเลิกการที่กษัตริย์จะรับรองรัฐประหาร และเปิดกระบวนการที่จะสืบความจริงเกี่ยวกับผู้เห็นต่างที่ถูกอุ้มฆ่า

117361552_10158431778723965_6127601580717401228_o

ถือได้ว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นก้าวสำคัญในการสร้างพื้นที่ประชาธิปไตยในสังคมไทย และทุกคนที่รักเสรีภาพควรจะสนับสนุน

แต่ยังมีประเด็นสำคัญที่เราต้องพิจารณาในการต่อสู้ต่อไปคือ เราจะสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะกดดันรัฐบาลทหารให้ยอมรับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร?

สิ่งแรกที่ต้องพูดคือการต่อสู้อยู่ในขั้นตอนริเริ่ม หยุดไม่ได้ ต้องขยายขบวนการเคลื่อนไหวไปสู่ประชาชนผู้ทำงานเป็นหมื่นเป็นแสน ซึ่งการก่อตั้ง “คณะประชาชนปลดแอก” เป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่จุดนี้ และแน่นอนมันไม่เกิดขึ้นเอง พวกเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนหรือทำงานที่ไหนต้องร่วมกันช่วยสร้าง

และที่สำคัญคือเราไม่ควรลดความสำคัญของข้อเรียกร้องให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยประชาชน ให้ยุบสภา และเลิกคุกคามประชาชนผู้รักเสรีภาพ ซึ่งหมายความว่าเราต้องเคลื่อนไหวต่อเพื่อให้รัฐบาลเผด็จการลาออก

ทุกคนคงเข้าใจดีว่าการล้มเผด็จการไม่ใช่เรื่องเล็ก แค่การรณรงค์ให้ไม่รับปริญญา ซึ่งเป็นการประท้วงปัจเจกเชิญสัญลักษณ์ อาจช่วยในการรณรงค์หรือขยายจิตสำนึก แต่มันล้มเผด็จการไม่ได้

Lebanon-Beirut-August-8-2020-e1596964569861
เบรูต เลบานอน

ในขณะที่ผู้คนกำลังชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ เราเห็นรูปธรรมของม็อบที่ล้มรัฐบาลสำเร็จในเมืองเบรูต ประเทศเลบานอน มีผู้ชุมนุมออกมาเป็นแสนจากทุกส่วนของสังคม การประท้วงแบบนี้เคยเกิดที่ไทยในช่วง ๑๔ ตุลา และพฤษภา ๓๕ และเคยเกิดในประเทศอื่นๆ หลายประเทศ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เราต้องร่วมกันคิดว่าเราจะสร้างขบวนการอันยิ่งใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร และเราไม่ควรลืมว่าประชาชนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการรัฐสภาปัจจุบัน เพราะคนส่วนใหญ่ลงคะแนนเสียงต้านพรรคทหาร ดังนั้นมันมีกระแสที่จะช่วยเรา

มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พลเมืองที่ออกมาประท้วงจะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน และคนจำนวนมากจะอยู่ในสภาพการพัฒนาความคิดความเข้าใจท่ามกลางการต่อสู้ และมันเป็นเรื่องธรรมดาที่องค์กรต่างๆ นักการเมือง นักเคลื่อนไหว และนักวิชาการ จะพยายามเสนอแนวคิดที่ตนเองมองว่ามีน้ำหนักมากที่สุด บางทีเพื่อเสริมการต่อสู้ บางทีเพื่อยับยั้งการต่อสู้ นั้นคือสาเหตุที่การตั้งพรรคฝ่ายซ้ายเป็นเรื่องสำคัญ

รัฐบาลเถื่อน

สิ่งหนึ่งที่ผมมองว่าพลเมืองที่ออกมาสู้ต้องเข้าใจคือเรื่องศูนย์กลางอำนาจ ในความเห็นผมสมาชิกของขบวนการประชาธิปไตยไม่ควรประเมินอำนาจของวชิราลงกรณ์สูงเกินไป เพราะอาจจะทำให้มีการเบี่ยงเบนเป้าหมายจากคณะทหารเผด็จการ และมันมีผลต่อยุทธศาสตร์ที่ฝ่ายเราใช้

ผมเขียนเรื่องข้อจำกัดของอำนาจกษัตริย์ไว้หลายที่ เช่น “การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล”  https://bit.ly/2XIe6el  และ“ว่าด้วยวชิราลงกรณ์” https://bit.ly/31ernxt

อีกเรื่องที่ผมคิดว่าทุกคนควรทำความเข้าใจ คือประเด็นว่าทำไมชนชั้นปกครองในหลายประเทศทั่วโลก นิยมให้คงไว้สถาบันกษัตริย์ เพราะในมุมมองผม การคงไว้สถาบัยกษัตริย์ในรูปแบบตะวันตกภายใต้รัฐธรรมนูญเป็นผลเสียกับฝ่ายเรา เพราะเป็นเครื่องมือในการเสนอลัทธิอภิสิทธิ์ชนว่าคนเราเกิดสูงและเกิดต่ำและบางคนมีสิทธิ์จะเป็นผู้นำในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็นผู้ตาม มันออกแบบมาเพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำในสังคม ดังนั้นทุกคนที่รักสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมควรนิยมการยกเลิกระบบกษัตริย์เพื่อให้มีสาธารณรัฐ [ดู “ไทยควรเป็นสาธารณรัฐ” https://bit.ly/30Ma32f ]

แต่ระบบสาธารณรัฐภายใต้ทุนนิยม ไม่พอที่จะนำไปสู่เสรีภาพและความเท่าเทียมอย่างแท้จริง แค่ดูสถานการณ์ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส หรือเวียดนาม ก็จะเห็นภาพชัดเจน พูดง่ายๆ เราต้องคิดต่อไปถึงเรื่อง “รัฐ” ภายใต้ระบบทุนนิยม และความสำคัญในการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อล้มรัฐของนายทุนผู้เป็นชนชั้นปกครองในโลกสมัยใหม่ [ดู “รัฐกับการปฏิวัติ” https://bit.ly/2PEQK4K ]

เมื่อเราคิดถึงเรื่อง “รัฐ” และ “ชนชั้น” เราจะเข้าใจว่า “ข้าราชการ” ชั้นผู้ใหญ่ ศาล และ ตำรวจ ไม่เคยรับใช้ประชาชนในโลกสมัยใหม่ การคิดว่าจะเป็นอย่างนั้นโดยไม่ล้มรัฐของนายทุนและสร้างรัฐใหม่ของประชาชนผู้ทำงานเป็นการเพ้อฝัน และแน่นอนเสรีภาพและประชาธิปไตยสมบูรณ์ต้องอาศัยกระบวนการปฏิวัติด้วยพลังมวลชน แทนที่จะไปฝากความหวังไว้ที่รัฐสภา

 

ทนาย อานนท์ นำพา พูดในสิ่งที่ทุกคนควรพูด แต่เผด็จการทหารเป็นศัตรูหลัก

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทนายอานนท์ นำพา ยืนขึ้นพูดในสิ่งที่ทุกคนควรจะพูดและนำมาถกเถียงกันในสังคมไทย และวิธีที่ดีที่สุดที่จะแสดงความสมานฉันท์กับคุณอานนท์คือพวกเราทุกคนต้องร่วมกันพูดทั่วสังคม เพราะถ้าคนออกมาพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะเป็นพันๆ แสนๆ การที่รัฐจะเล่นงานคุณอานนท์จะเป็นเรื่องที่ยากขึ้น

Untitled-4

ผมเข้าใจว่าทำไมทนายอานนท์พูดในลักษณะที่ “ปกป้องสถาบันกษัตริย์” เพราะเขาอยู่ในไทย แต่ผมเดาว่ามันจะไม่ช่วยอะไร เพราะฝ่ายทหารและพวกคลั่งเจ้า และแม้แต่พวกเราเอง ก็จะตีความไปอีกแบบหนึ่งอยู่ดี

แต่สิ่งที่ทนายอานนท์ควรหลีกเลี่ยงในอนาคตคือการใช้คำเหยียดเชื้อชาติอย่าง “ฝรั่งมังค่า” เพื่อ “พิสูจน์” ว่าตนเองรักชาติ ในยุคนี้ที่มีการประท้วงการเหยียดสีผิว Black Lives Matter คนที่รักเสรีภาพควรจะมีจิตสำนึกในเรื่องนี้

ตราบใดที่คนไทยไม่เคารพคนที่มีสีผิวหรือเชื้อชาติอื่น คนไทยจะไม่สามารถปลดแอกตนเองจากเผด็จการที่ครองอำนาจและใช้ลัทธิชาตินิยมกับกษัตริย์นิยมเพื่อกดขี่เรา

ผมสนับสนุนเสรีภาพในการพูดของอานนท์ นำพา โดยไม่มีเงื่อนไข และผมคารวะความกล้าหาญของเขาในการออกมาพูดเรื่องกษัตริย์ และในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

2019-05-04T072632Z-948315276-RC1EE0951570-RTRMADP-3-THAILAND-KING-CORONATION

แต่นั้นไม่ได้แปลว่าผมเห็นด้วยกับการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองของเขาทั้งหมด

ในความเห็นผม อานนท์ นำพา พูดเกินเหตุในเรื่อง “พระราชอำนาจ” โดยเฉพาะในการคุมทหาร และสังคมไทยไม่ได้ถูกหมุนนาฬิกากลับไปสู่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่อย่างใด สังคมไทยถูกลากกลับไปสู่ระบบเผด็จการทหารต่างหาก แต่เป็นเผด็จการทหารภายใต้ภาพลวงตาแห่งการเลือกตั้งและรัฐสภา

ทหารที่ทำรัฐประหารก่อนที่วัชิราลงกรณ์จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ ไม่ได้รับคำสั่งอะไรจากกษัตริย์ และพวกเขาไม่โง่พอที่จะยกอำนาจทหาร หรืออำนาจในการคุมกองทัพ ให้คนปัญญาอ่อนเพี้ยนๆ อย่างวชิราลงกรณ์

และพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้โดนยุบเพราะมีสส.คนหนึ่งไปวิจารณ์พระราชอำนาจ แต่โดนยุบเพราะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพในการดึงคะแนนเสียงประชาชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ มาค้านเผด็จการทหาร

แน่นอน พวกทหารชั้นสูงในยุคนี้เป็นพวกที่สนับสนุนเจ้าอย่างสุดขั้ว และนี่คือสาเหตุที่เขาอยากลบล้างประวัติศาสตร์การปฏิวัติ ๒๔๗๕ แต่เขาอวยเจ้าเพื่อใช้เจ้าเป็นเครื่องมือของตนเอง และพร้อมจะเอาใจวชิราลงกรณ์ในเรื่องเงินทองและสิทธิส่วนตัวของเขา เพื่อที่จะใช้กษัตริย์เป็นเครื่องมือต่อไป

[ถ้าใครสนใจก็สามารถอ่านการวิเคราะห์ของผม:

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el

และว่าด้วยวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/31ernxt ]

คุณูปการของอานนท์ นำพา และสิ่งที่เขาออกมาพูด คือเป็นการให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าทำไมประเทศไทยควรเป็นสาธารณรัฐ ทั้งๆ ที่อานนท์ไม่ได้พูดว่าเป็นเป้าหมายของเขา

17880152_10154927047036154_3616575511584400172_o

ถ้าเราสามารถลด “ความศักดิ์สิทธิ์” ของสถาบันกษัตริย์ลง และวัชิราลงกรณ์ดูเหมือนจะทำงานหนักเสียเองตรงนี้ เราจะช่วยลดอำนาจของทหารฝ่ายคลั่งเจ้า แต่อย่าลืมว่าเผด็จการทหารไทยสมัยจอมพลป. ก็สามารถครองอำนาจได้โดยไม่ใช้ลัทธิกษัตริย์

46398d1788a446259c92282a67db5141

เราทุกคนต้องชื่นชมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาวในยุคนี้ และนำข้อเรียกร้องของเขามาเป็นของเรา และมันเป็นเรื่องที่ดียิ่งที่มีการขยายองค์กรไปเป็น “คณะประชาชนปลดแอก” การต่อสู้ยุคนี้ต้องก้าวไปไกลกว่าการต่อสู้ของเสื้อแดงและการล้มเผด็จการไทยในอดีต

[ดู คนหนุ่มสาวควรอัดฉีดความกล้าหาญสู่ขบวนการแรงงานและผู้รักประชาธิปไตยทั่วไป    https://bit.ly/3jBKXKV ]

คนหนุ่มสาวควรอัดฉีดความกล้าหาญสู่ขบวนการแรงงานและผู้รักประชาธิปไตยทั่วไป

ใจ อึ๊งภากรณ์

ทุกคนที่รักประชาธิปไตยคงจะปลื้มและได้ความหวังจากการประท้วงเผด็จการรอบใหม่โดยนักศึกษาและคนหนุ่มสาว ถือได้ว่าเป็นการรื้อฟื้นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอีกครั้ง

50129529371_4a1c52db15_k
ภาพจากประชาไท

ในแง่สำคัญๆ เราต้องดูภาพกว้างในระดับสากลของการต่อสู้ครั้งนี้ และต้องไม่มองว่าเป็นแค่เรื่องไทยๆ ซึ่งแปลว่าต้องดูบทเรียนจากทั่วโลกและประวัติศาสตร์ไทยพร้อมๆ กัน

ในยุคสองปีที่ผ่านมา ทั่วโลก เราเห็นปรากฏการณ์ของคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ “ไม่กลัวใคร” ออกมาประท้วงเรื่องปัญหาโลกร้อน และเรื่องการกดขี่คนผิวดำในขบวนการ Black Lives Matter ซึ่งการประท้วงในช่วงการระบาดของโควิดผูกพันกับวิกฤตความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่มาจากโควิด การประท้วงล่าสุดในไทยก็ไม่ต่างออกไป มันผูกพันกับการที่เผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์พยายามใช้โควิดในการเพิ่มอำนาจให้ตนเองในการปราบปรามประชาชน นอกจากนี้มันผูกพันกับความแย่ๆ ในสังคมไทยที่เริ่มเห็นชัดมากขึ้น เช่นการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง การใช้อำนาจเพื่อสร้างสองมาตรฐาน โดยเฉพาะในระบบศาล การเชิดชูกษัตริย์เลวที่ใครๆ เกลียดชัง และการปล่อยให้ความยากจนและความเดือดในสังคมเพิ่มขึ้นขณะที่ทหารและนายทุนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างสบาย ฯลฯ

นักมาร์คซิสต์ตั้งแต่สมัยมาร์คซ์กับเองเกิลส์มองว่าในสังคมมีขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของคนชั้นล่างแค่ขบวนการเดียว และการเคลื่อนไหวนี้ท้าทายเบื้องบนเสมอ แต่ขบวนการนี้มีหลายแขนหลายขาตามยุคต่างๆ ซึ่งแต่ละแขนขาเชื่อมกับลำตัวหลักเสมอ เช่นขบวนการคนผิวดำ ขบวนการนักศึกษา ขบวนการต้านสงคราม ขบวนการต้านโลกร้อน ขบวนการสิทธิสตรี และขบวนการเกย์และเลสเปี้ยนฯลฯ ล้วนแต่มีมีสายเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น เพราะเกิดจากปัญหาของระบบทุนนิยม มันมีการเรียนรู้จากกัน และขบวนการเหล่านี้ก็มีทั้งขาขึ้นและขาลง มีลักษณะเข้มแข็งขึ้นและอ่อนแอลงตามคลื่นที่เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้นการวาดภาพว่าขบวนการเหล่านี้เป็นขบวนการที่แยกส่วนจากกัน จึงเป็นภาพเท็จ

50129748457_498a0855f4_k
ภาพจากประชาไท

ด้วยเหตุนี้เราต้องมองว่าการลุกฮือของนักศึกษาคนหนุ่มสาวในรอบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไม่เชื่อมโยงกับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในอดีต เช่นขบวนการ ๑๔ ตุลา ขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ ขบวนการเสื้อแดง และการออกมาประท้วงของแต่ละกลุ่มหลังรัฐประหารของประยุทธ์

Lumpoon2
ภาพจากประชาไท

แต่สิ่งที่สำคัญและอาจว่า “ใหม่” ก็ได้คือความ “ไม่กลัว” ของคนหนุ่มสาว คือขณะนี้กล้ามากกว่าคนที่ผ่านการต่อสู้มาและมีบาดแผลจากอดีต

a3_0

ประเด็นสำคัญคือคนหนุ่มสาวยุคนี้ต้องช่วยกันอัดฉีดความกล้าหาญเข้าสู่ขบวนการแรงงาน ชนชั้นกรรมาชีพ และประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่อยู่ในวัยทำงาน และสิ่งนี้ทำได้เพราะคนจำนวนมากไม่พอใจอย่างยิ่งกับเผด็จการรัฐสภาปัจจุบัน แต่เขาอาจแค่ขาดความมั่นใจในการออกมาต่อสู้

ทำไมเราต้องให้ความสำคัญกับขบวนการแรงงานและชนชั้นกรรมาชีพ? คำตอบง่ายๆ คือเรื่องอำนาจทางเศรษฐกิจที่มาจากการนัดหยุดงาน

ในเดือนที่ผ่านมาเราเห็นการนัดหยุดงานของคนงานผิวขาวและผิวดำร่วมกันในสหรัฐอเมริกา ภายใต้ข้อเรียกร้อง Black Lives Matter ซึ่งเสริมพลังให้กับกระแสต้านการเหยียดสีผิว ในรอบสิบปีที่ผ่านมาทั่วโลกการล้มเผด็จการหรือท้าทายเผด็จการที่มีพลังมักจะมีขบวนการสหภาพแรงงานเข้าร่วมด้วย

และนี่เป็นสาเหตุที่เราต้องมีพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายที่พร้อมจะปลุกระดมการเมืองภาพกว้างในขบวนการกรรมาชีพ ไม่ใช่พูดแต่เรื่องปากท้องอย่างเดียว แต่พรรคแบบนี้ก็ต้องได้รับการอัดฉีดความ “ไม่กลัวใคร” จากคนหนุ่มสาวเช่นกัน

อย่าลืมว่าการล้มเผด็จการทหารในช่วง ๑๔ ตุลา อาศัยทั้งการมีพรรคฝ่ายซ้าย (พคท.) และการที่นักศึกษาสามารถออกมาต่อสู้ร่วมกับประชาชนผู้ทำงานจำนวนมาก

อ่านเพิ่ม

ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในปัจจุบัน – จุดยืนมาร์คซิสต์   https://bit.ly/2UpOGjT

การลุกฮือของมวลชนทั่วโลก 2019 https://bit.ly/2OxpmVr

นักเคลื่อนไหวไทยควรร่วมต้านปัญหาโลกร้อน https://bit.ly/2ZWipnF

 

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล

ใจ อึ๊งภากรณ์

มันมีตัวอย่างจากไหนในโลก ในยุคปัจจุบันหรืออดีต ที่ผู้ปกครองเผด็จการอาศัยอยู่นอกประเทศและสั่งการจากแดนไกล? อันนี้เป็นคำถามที่ท่านจะต้องตอบ ถ้าท่านจะอ้างว่าวชิราลงกรณ์อยู่เบื้องหลังระบบเผด็จการและการทำลายประชาธิปไตย หรือแม้แต่การอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง

ตัวอย่างจากทั่วโลกและในไทยชี้ให้เห็นว่าผู้นำเผด็จการมักเกรงกลัวว่าจะถูกโค่นล้มเมื่อไปต่างประเทศ และเป็นเป็นความกลัวที่ตรงกับประวัติศาสตร์ด้วย แต่พวกคลั่งซุบซิบเกี่ยวกับกษัตริย์ไม่เคยสนใจที่จะเปิดตาศึกษาประวัติศาสตร์โลกหรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ไทย คงจะเป็นเพราะส่วนใหญ่หมกมุ่นกับการด่ากษัตริย์เพื่อ “ความมัน” โดยไม่มีข้อเสนออะไรเป็นรูปธรรมในการล้มระบบเผด็จการไทย

นอกจากนี้ในช่วงที่นายภูมิพลหมดสภาพและใกล้ตาย ซึ่งเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งปี ใครคุมอำนาจในสังคมไทย? ร่างหมดสภาพของภูมิพลหรือทหารเผด็จการ? และอย่าลืมว่าพวกที่เสนอว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นฟ้า เคยทำนายว่าเมื่อภูมิพลตาย จะมีสงครามแย่งบัลลังก์ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเลย

กรุณาอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ผมต้องทิ้งงานสอนที่จุฬาฯ และทิ้งบ้านเกิดที่กรุงเทพฯ และมาลี้ภัยที่อังกฤษ เพราะผมวิจารณ์นายภูมิพลในหนังสือ A Coup For The Rich โดยเฉพาะเรื่องที่เขาไม่เคยปกป้องประชาธิปไตย และหน้าด้านเสนอลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงในขณะที่ตนเองรวยที่สุดในประเทศ และผมไม่เคยหยุดวิจารณ์วชีราลงกรณ์ ราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ หรือพวกราชวงศ์ปรสิตทั้งหลายทั่วโลก ผมนิยมระบบสาธารณรัฐและสังคมนิยม

นอกจากนี้ตอนทีผมยังทำงานที่จุฬาฯ และยังไม่โดนคดี ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เริ่มรณรงค์ให้ยกเลิกกฏหมาย 112 อีกด้วย

10565125_10153078949002729_301020582058691456_n

การมองว่าวชิราลงกรณ์เป็นตัวร้ายที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อสั่งการต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองและสังคมไทย เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ และที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีก มันกลายเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ทหารลอยนวล เพราะตาบอดถึงอำนาจจริงที่ทำลายประชาธิปไตยและฆ่านักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย นั้นคือผู้นำทหาร

บ่อยครั้งการมองว่าวชิราลงกรณ์เป็นตัวร้ายที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อสั่งการต่างๆ เป็นข้ออ้างสำเร็จรูปในการไม่ทำอะไร หรือในการวิจารณ์คนที่เคลื่อนไหวหรือต้องการสร้างขบวนการมวลชนเพื่อล้มระบบเผด็จการ ผมได้ยินมาจนเบื่อคำอ้างว่า “ถ้าออกมาชุมนุมแล้วล้มเผด็จการทหาร กษัตริย์ก็ยังอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร” หรือคนที่เล่าว่านักต่อสู้เพือประชาธิปไตยในอดีต ไม่ว่าจะ ๑๔ ตุลา หรือ พฤษภา ๓๕ “โดนหลอกและโดนพาไปตายฟรี” ซึ่งเป็นคำพูดของนักวิชาการต้านเจ้าที่มีชื่อเสียง

แทนที่จะมองว่าวชิราลงกรณ์คุมเผด็จการประยุทธ์ ความจริงมันตรงข้าม คือเผด็จการประยุทธ์เลี้ยงวชิราลงกรณ์และระบบกษัริย์ไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการมอมเมาประชาชนหรือสร้างความกลัว เหมือนคนรวยเลี้ยงหมาดุไว้ป้องกันขโมย มีใครบ้างจะอ้างว่าหมาดุเป็นตัวคุมอำนาจจริงในบ้านคนรวย?

กษัตริย์วชิราลงกรณ์แสดงความโลภและพยายามกวาดกองทุนต่างๆ เกี่ยวกับกษัตริย์ มาเป็นของตัวเองในลักษณะส่วนตัว และพยายามบังคับให้กองทหารหลายหน่วยมาดูแลตัวเขา แต่นั้นไม่ใช่อาการของคนที่มีอำนาจแท้เหนือสังคม มันเป็นแค่ความกระตือรือร้นของวชิราลงกรณ์ที่จะเสพสุขกับทรัพย์สินมหาศาลและนางสนม และเผด็จการทหารก็มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงเครื่องมือของมัน ก็เลยปล่อยให้ทำ

วชิราลงกรณ์ไม่เคยสนใจนโยบายการเมืองกับเศรษฐกิจ หรือสนใจที่จะกำหนดทิศทางของสังคมแม้แต่นิดเดียว แถมไม่มีปัญญาจะคิดเรื่องแบบนี้ด้วย ผู้นำที่มีอำนาจจริงย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เสมอ และย่อมพยายามเอาใจประชาชนด้วยการสร้างภาพที่ดีกับตนเองอีกด้วย เพราะรู้ว่าในการปกครองประชาชนต้องมีการเอาใจพลเมืองพร้อมกับการใช้กำลัง ตรงข้ามกับวชิราลงกรณ์เขาไม่แคร์อะไรนอกจากตัวเอง ไม่ต่างจากหมาดุที่เฝ้าบ้านคนรวยที่ไม่มีปัญญาที่จะแคร์อะไรนอกจากจะได้กินอาหารมื้อต่อไป

การมีอำนาจในสังคม มีไว้เพื่อกำหนดนโยบายต่างๆ ในสังคม ดังนั้นคนที่ไม่กำหนดนโยบายอะไรต่อสังคมย่อมไม่มีอำนาจ

สำหรับคนที่มองว่าเผด็จการทหารไม่แย่เท่ากับระบบกษัตริย์ กรุณาไปศึกษาการทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย หรือการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งผู้นำคนนี้เกลียดระบบกษัตริย์

ส่วนใหญ่แล้วคนที่คลั่งซุบซิบเกี่ยวกับกษัตริย์ไทย เป็นคนที่นิยมแนวคิด “ไทยเป็นสังคมพิเศษเฉพาะ” เพื่อจะได้ไม่ต้องศึกษาระบบกษัตริย์เปรียบเทียบด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ เช่นพวกนี้มักจะมองว่ากษัริย์ไทยไม่ต้องสั่งอะไรโดยตรงอย่างชัดเจนแต่คนรับใช้มักเดาใจ“พระองค์”ได้เอง [ดู https://bit.ly/3h2DROi และ https://bit.ly/2GcCnzj ] หรือพวกที่ชื่นชมสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษ สวีเดน หรือญี่ปุ่น โดยไม่ศึกษาว่าสถาบันดังกล่าวยังคงไว้ทำไมและรับใช้ผลประโยชน์ชนชั้นไหนในสังคม

สิ่งที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์ของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่หมกมุ่นกับการด่ากษัตริย์เพื่อ “ความมัน” คือการศึกษาระบบกษัตริย์เปรียบเทียบในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ เพราะคนที่ศึกษาเรื่องนี้จะพบว่าสาเหตุหลักที่มีการคงไว้ระบบกษัตริย์ในบางประเทศของยุโรป ในมาเลเซีย หรือในญี่ปุ่น ก็เพื่อที่จะส่งเสริมแนวคิดอนุรักษนิยมของชนชั้นนายทุนที่หมั่นสอนประชาชนชั้นล่างว่า “การเกิดสูงและเกิดต่ำเป็นเรื่องธรรมชาติ” ดังนั้นนายทุนใหญ่ คนรวย และเหล่ารัฐบุรุษต่างๆ สมควรที่จะมีอำนาจในการปกครอง และสมควรที่จะร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่คนธรรมดาต้องเชื่อฟังและทำตาม เพราะคนธรรมดาไม่มีความสามารถในการปกครองตนเอง

นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์ในโลกสมัยใหม่ ย่อมเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการเป็น “ที่พึ่งสุดท้ายในยามวิกฤต” คือทำตัวเป็นสัญลักษณ์ของชาติเพื่อออกมาโชว์ตัวในยามวิกฤตที่นักการเมืองหรือผู้นำชนชั้นปกครองทำอะไรไม่ได้ ในแง่นี้ไทยก็ไม่ต่าง ลองดูพฤติกรรมของภูมิพลในเหตุกรณ์ ๑๔ ตุลา หรือพฤษภา ๓๕ ก็ได้ คือต้องถูกผลักออกมาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านั้นลามไปสู่การล้มอำนาจของชนชั้นปกครองโดยประชาชน ในลักษณะเดียวกันท่ามกลางวิกฤตโควิด ราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ ก็ถูกเข็นออกมาปราศัยทางโทรทัศน์ เพื่อพยายามเสนอว่าพลเมืองอังกฤษต้องสามัคคีกัน แทนที่จะวิจารณ์นโยบายแย่ๆ ของรัฐบาลที่ทำให้คนตายหลายหมื่น

ในประเทศที่เป็นสาธารณรัฐเขาอาศัยสัญลักษณ์อื่นในการส่งเสริมแนวคิดนี้ เช่นแนวชาตินิยม หรือนิยายเรื่องการปฏิวัติในอดีต แต่ที่สำคัญคือสถาบันกษัตริย์ในทุกประเทศในยุคปัจจุบัน รวมถึงประเทศไทย เป็นแค่สัญลักษณ์ล้าหลังที่ชนชั้นปกครองพยายามใช้ในการคุมพลเมือง การสร้างภาพว่าราชินีอังกฤษ “แต่งตั้ง” นายกรัฐมนตรี หรือศาลตุลาการ ฯลฯ หรือการที่ราชินีอังกฤษจะเปิดสภาหรือพูดถึงรัฐบาลว่าเป็นรัฐบาล “ของเขา” เป็นเพียงพิธี ไม่ต่างจากไทย ไทยมีข้อแตกต่างคือมีประวัติความเป็นเผด็จการมาหลายปี ในขณะที่กระแสความคิดของคนไทยส่วนใหญ่นิยมประชาธิปไตย ท่ามกลางความขัดแย้งนี้พวกเผด็จการไทยจึงต้องหา “สิ่งศักดิสิทธิ์” มาช่วยกดทับพลเมืองเพื่อพยุงเผด็จการ และสาเหตุที่ยังทำได้ก็เพราะระดับการต่อสู้จากระดับรากหญ้าในไทย โดยเฉพาะจากขบวนการกรรมาชีพ ยังอ่อนแอ

กษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ร่ำรวย และเสพสุขบนหลังประชาชนก็จริง มีคนเชิดชูและหมอบคลานเข้าหาก็จริง แต่กษัตริย์คนนี้ไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง และถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยทหารและชนชั้นนำอื่นๆ เช่นนักการเมืองนายทุนอย่างทักษิณ การเชิดชูกษัตริย์แบบบ้าคลั่งที่เกิดขึ้น กระทำไปเพื่อให้ความชอบธรรมกับการกระทำของทหารและชนชั้นนำคนอื่นเท่านั้น

รัชกาลที่ ๑๐ ยิ่งอ่อนแอกว่าพ่อของเขา และไม่สนใจเรื่องการเมืองและสังคมไทยเลย วชิราลงกรณ์ ต้องการเสพสุขที่เยอรมันอย่างเดียว

ประเด็นสำคัญคือ สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ วชิราลงกรณ์ ดูเหมือนไม่มีความสำคัญแม้แต่นิดเดียวต่อเรื่องชีวิตธรรมดาหรือปัญหาปากท้อง เวลาคนออกมาเคลื่อนไหวเพราะเดือดร้อนหรือโกรธแค้น ซึ่งยังเกิดขึ้นเป็นประจำ เป้าหมายของเขาอยู่ที่รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์

46398d1788a446259c92282a67db5141

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ  ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในสังคม พลเมืองไทยต้องรวมตัวกันเคลื่อนไหวในขบวนการมวลชนอันยิ่งใหญ่ ต้องลงถนน และต้องเคลื่อนกับขบวนการกรรมาชีพ ต้องสร้างพรรคที่พร้อมจะนำการเคลื่อนไหว ต้องเรียนบทเรียนเกี่ยวกับจุดอ่อนจาก ๑๔ ตุลา พฤษภา ๓๕ และเสื้อแดง เพื่อพัฒนาพลังการเคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซุบซิบเรื่องวชิราลงกรณ์ การที่ภาระอันยิ่งใหญ่นี้ยังไม่สำเร็จก็เพราะยังไม่มีการลงมือจัดตั้งขบวนการอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะอะไรที่วชิราลงกรณ์ทำหรือไม่ทำ

 

อ่านเพิ่ม

บทความวิชาการของ ใจ อึ๊งภากรณ์ https://independent.academia.edu/GilesUngpakorn

การเปลี่ยนแปลงจากศักดินาสู่ทุนนิยมในไทย https://bit.ly/2ry7BvZ

มาร์คซิสต์วิเคราะห์ปัญหาสังคมไทย https://bit.ly/3112djA

บทบาทแท้ของนายภูมิพล และสถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง https://bit.ly/2BLf2Gy

ข่าวมรณกรรมนายภูมิพล https://bit.ly/2XHjyhG

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

ความเลวของวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/2Lptg4d

เราจะสู้อย่างไร? https://bit.ly/2RQWYP4

ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในปัจจุบัน – จุดยืนมาร์คซิสต์   https://bit.ly/2UpOGjT

 

การอุ้ม วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ – ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ไม่ว่าจะมีการสั่งฆ่าโดยตรง หรือมีการเปิดไฟเขียวให้คนอื่นฆ่า ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องเป็นผู้ที่ถืออำนาจในยุคนั้นๆ ความรับผิดชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความผิดที่มาจากการสั่งการโดยตรงทั้งๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดคนหนึ่งอาจสั่งการไปด้วย ปัญหาที่มักพบคือพิสูจน์คำสั่งโดยตรงยาก แต่ประเด็นคือคนที่มีอำนาจเพราะมีตำแหน่งต้องรับผิดชอบ เพราะผู้บริหารองค์กรหรือประเทศมีอำนาจ และต้องรับผิดชอบต่ออำนาจที่สังคมมอบให้หรือที่เขายึดมาจากสังคมผ่านการทำรัฐประหาร

ในแง่นี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของสหาย สุรชัย, ภูชนะ กับ กาสะลอง

และประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง), สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งเราคงต้องสรุปว่าทหารของ คสช. อุ้มฆ่าสามคนนี้

และล่าสุดแก๊งเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ต้องรับผิดชอบกับการอุ้มตัววันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์

563000006013201

 

10 ปีหลังการสังหารเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย โดยอนุพงษ์ เผ่าจินดา, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ฆาตกรแก๊งนี้ยังลอยนวล

16 ปีหลังเหตุสังหารประชาชนมาเลย์มุสลิมที่ตากใบ ทหารตำรวจและทักษิณ ชินวัตร ยังลอยนวล

27 ปีหลังการสังหารผู้รักประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕ ฆาตกรทหารยังลอยนวล

44 ปีหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ฆาตกรทหารและตำรวจยังลอยนวล และฆาตกรหลายคนคงตายไปแล้ว

ตั้งแต่กบฏผู้มีบุญในอีสาน ที่เกิดขึ้นเพื่อต้านการกดขี่ที่มาพร้อมกับการสร้างรัฐไทยสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่๕ ชนชั้นปกครองไทยมือเปื้อนเลือดจาก “อาชญากรรมรัฐ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก และไม่มีเคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดที่ถูกลงโทษ วัฒนธรรมการลอยนวลของอาชญากรระดับสูงในสังคมไทยจึงถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ในกรณีการอุ้มฆ่านักสิทธิมนุษยชน เช่นทนายสมชาย หรือนักเคลื่อนไหวไทยในประเทศลาวและเขมร เราต้องเข้าใจว่ารัฐบาลเผด็จการทรราชในไทยและทั่วโลก มักจะออกมาโกหกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้เป็นธรรมดา และวิธีการที่พวกนี้ใช้มักจะไม่เหลือหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้เราสืบค้นได้ แต่นั้นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนในการก่ออาชญากรรม

เผด็จการทหารไทยมีประวัติในการเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าคนที่เห็นต่างหรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “โกตี๋” กับ “ดีเจซุนโฮ” ที่อยู่ในประเทศลาว เป็นตัวอย่างที่ดีของการถูกอุ้มฆ่า กองทัพไทยใช้กองกำลังลับ เพื่อฆาตกรรมวิสามัญคนมาเลย์มุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลไทยในปาตานี และใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้กองทัพไทยมีประวัติในการข้ามพรมแดนเข้าไปในประเทศลาวเพื่อไปใช้อาวุธแบบลับๆ ร่วมกับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม มันชวนให้เราคิดว่าการข้ามพรมแดนไปฝั่งลาว-เขมรของทหารไทยเป็นเรื่องธรรมดา

ที่เห็นชัดคือประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง และเราไม่สามารถพึ่งพรรคการเมืองกระแสหลักได้ในขณะนี้ ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน เพื่อขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในสังคมของเรา