Tag Archives: เผด็จการไทย

ประยุทธ์ไปเยี่ยมเพื่อนแท้ที่พม่าเพราะที่อื่นต่างรังเกียจ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่เป็นประชาธิปไตย รังเกียจและไม่อยากคบหัวหน้าเผด็จการไทย ประยุทธ์จึงจำเป็นต้องไปสร้างภาพน่าสมเพชว่าเป็น “รัฐบุรุษสากล” โดยการไปเยือนต่างประเทศได้ แต่ในความเป็นจริงรัฐบาลเพื่อนแท้ของเผด็จการมือเปื้อนเลือดประยุทธ์มีน้อยเหลือเกิน อันดับหนึ่งคือพม่า

การที่ผู้นำไปเยือนประเทศอื่น ส่วนใหญ่เป็นการสร้างภาพที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ดีเท่านั้น บางครั้งผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งอาจพาทีมผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนไปด้วย แต่เผด็จการไทยตอนนี้ทั้งขาดความชอบธรรมและขาดความสามารถ

Members-of-Burmas-militar-006

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความใกล้ชิดระหว่างประยุทธ์กับเผด็จการทหารพม่า มาจากการที่ทั้งสองฝ่ายอยากออกแบบระบบ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่มีการเลือกตั้งแต่ไม่มีสิทธิเสรีภาพจริง คือไม่ว่าพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้ง อำนาจแท้ยังอยู่ในมือทหาร แถมอาจมีการกีดกันไม่ให้นักการเมืองที่ประชาชนชื่นชมสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ศาสตร์มารนี้ทหารพม่าชำนาญมาก ประยุทธ์ก็คงอยากไปแลกเปลี่ยนหาความรู้

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัวผม แต่เป็นความเห็นของสื่อต่างประเทศมากมาย รวมถึงหนังสือพิมพ์ชั้นนำ “ไฟแนนเชียลไทมส์” ของนักลงทุนอังกฤษด้วย และเป็นความเห็นของสำนักข่าวรอยเตอร์อีกด้วย

สื่อต่างประเทศมองว่า ไม่ว่าประยุทธ์จะเซ็นข้อตกลงอะไรกับเผด็จการพม่า มันก็เป็นแค่นามธรรมที่ขาดรายละเอียด เพราะการสร้างภาพเป็นเรื่องหลัก

อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นจุดร่วมของเผด็จการทหารไทย กับเผด็จการทหารพม่า คือเขาไม่แคร์เหี้ยอะไรกับพลเมืองของตนเอง ทหารพม่าอาจตั้งคำถามกับการที่ตำรวจไทยทำให้แรงงานพม่าเป็นแพะรับบาปในกรณีอาชญากรรมที่เกาะเต่า แต่มันเป็นแค่คำถามตามพิธีกรรมเท่านั้น เผด็จการทหารพม่าไม่สนใจปัญหาพลเมืองพม่าพอที่จะกระจายรายได้และสร้างงานให้เขา เพื่อนบ้านพม่าจึงต้องข้ามมาฝั่งไทยเพื่อหางานเลี้ยงครอบครัว ในขณะเดียวกันพวกนายพลพม่าก็เสพสุขใช้จ่ายตามวิถีชีวิตเศรษฐี

ส่วนรัฐบาลประยุทธ์ก็พ้อมจะทำให้คนงานพม่าเป็นแพะรับบาป ขับไล้คนงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านออกไป และปล้นสิทธิเสรีภาพจากพลเมืองไทย พร้อมกับทำลายระบบสาธารณะสุขและรายได้ของแรงงานไทย

มิตรภาพระหว่างคนไทยกับคนพม่า หรือกับพลเมืองประเทศเพื่อนบ้านย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่น่ายกย่อง แต่มิตรภาพระหว่างทรราชไทยกับพม่าเป็นอุปสรรค์ต่อการสร้างสิทธืเสรีภาพประชาธิปไตยในไทยและในพม่า

ประเด็นสำคัญคือ พลเมืองไทยที่รักประชาธิปไตยจำนวนมากคงเข้าใจสิ่งที่ผมเขียนอยู่แล้ว แต่จะมีสื่อหรือองค์กรทางการเมืองไทยสักกี่แห่งที่กล้าพูดความจริงง่ายๆ แบบนี้

จาก ๖ ตุลา ถึงเผด็จการยุคนี้

ใจ อึ๊งภากรณ์

ถ้าเราเปรียบเทียบเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ๒๕๑๙ กับ วิกฤตประชาธิปไตยภายใต้เผด็จการทหารยุคนี้ เราจะเห็นชัดว่า “เรื่องประชาธิปไตย” กับเรื่องความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น เป็นเรื่องที่แยกออกจากกันไม่ได้

การปราบปรามนักศึกษาและประชาชนฝ่ายซ้ายที่ธรรมศาสตร์ ในปี ๒๕๑๙ เป็นผลพวงของการลุกฮือล้มเผด็จการในวันที่ ๑๔ ตุลา สามปีก่อนหน้านั้น และรากฐานการลุกฮือของนักศึกษา กรรมาชีพ และเกษตรกรสมัยนั้น มาจากความเหลื่อมล้ำทางอำนาจการเมืองกับฐานะทางเศรษฐกิจ และสภาพสังคมที่ถูกแช่แข็งไว้ภายใต้เผด็จการ สฤษดิ์ ถนอม ประภาส คือไม่มีการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตย ไม่มีการปรับค่าจ้าง ไม่มีการพัฒนาสภาพการจ้างงาน และไม่มีการพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของเกษตรกรในชนบท ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจก็ขยายตัว แต่ในขณะเดียวกันมีคนรุ่นใหม่ที่ตื่นตัว และไม่ยอมรับสภาพเช่นนี้อีกต่อไป มีคลื่นการนัดหยุดงานของกรรมาชีพเกิดขึ้น นักศึกษาตื่นตัวมากขึ้น และเกษตรกรเริ่มออกมาประท้วง  นั้นคือสาเหตุที่มวลชนเหล่านี้ชื่นชมแนวสังคมนิยมในหลากหลายรูปแบบ เพราะสังคมนิยมคือแนวคิดที่ต้องการล้มเผด็จการขุนศึกและนายทุน และแก้ไขปัหญาความเหลื่อมล้ำพร้อมๆ กัน

ที่สำคัญคือมีการจัดตั้งคนชั้นล่างในรูปแบบพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ซึ่งมีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสังคมและยึดอำนาจรัฐ นี่คือสิ่งที่ชนชั้นปกครองไทยรับไม่ได้ และเป็นสาเหตุที่เขาเข่นฆ่าประชาชนและก่อรัฐประหาร

วิกฤตปัจจุบันมีจุดร่วมตรงที่ ข้อเสนอของทักษิณและพรรคไทยรักไทยหลังวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง เปิดโอกาสให้มีการพัฒนาสังคมให้ทันสมัย พร้อมกับมีการดึงประชาชนเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนา และประชาชนก็อาศัยระบบการเลือกตั้งเพื่อแสดงความชื่นชมกับนโยบายรูปธรรมของไทยรักไทย การที่ไทยรักไทยครองใจประชาชนผ่านนโยบาย มีผลทำให้ชนชั้นปกครองไทยซีกอนุรักษ์นิยม รับไม่ได้กับประชาธิปไตยและการพยายามแก้ปัญหาความเหลื่อม เขาหวงสภาพเดิมที่เขาเป็นอภิสิทธิ์ชน

แต่ไทยรักไทยไม่ใช่พรรคฝ่ายซ้ายและไม่ใช่พรรคของคนชั้นล่างแบบ พคท. นี่คือความแตกต่างที่สำคัญ ในยุคไทยรักไทยคนรุ่นตุลาหมดความศรัทธาในแนวสังคมนิยมและพคท.ไปนานแล้ว เพราะ พคท.เป็นฝ่ายแพ้ และมีจุดอ่อนเพราะมีแนวโน้มเป็นเผด็จการ การใช้แนวจับอาวุธแทนการจัดตั้งกรรมาชีพในเมือง ก็เป็นจุดอ่อนที่สำคัญอีกอันหนึ่ง แต่พวกคนเดือนตุลาที่หมดศรัทธา ทิ้งจุดเด่นสำคัญของ พคท. ไป คือความสำคัญในการจัดตั้งมวลชนทางการเมือง ให้เป็นพรรคการเมืองของคนชั้นล่าง หลายคนก็เลยไปหลงรักทักษิณและพรรคนายทุนของเขาแทน แต่ที่แย่กว่านั้นก็คืออดีตคนเดือนตุลาที่กลายเป็นสลิ่มและรับใช้ทหารทุกวันนี้

คนรุ่นตุลาที่หมดความศรัทธาในแนวสังคมนิยม ไม่เคยเข้าใจสังคมนิยมแบบ มาร์คซ์ เองเกิลส์ เลนิน หรือตรอทสกี้ เขารับมาแต่แนวเผด็จการชาตินิยมของสตาลินกับเหมา เกือบทุกคนจึงก้มหัวให้นายทุนและระบบทุนนิยม ทั้งๆ ที่มันเป็นระบบที่สร้างความเหลื่อมล้ำมหาศาล มันเป็นเรื่องตลกที่คนอย่างทักษิณเข้าใจทุนนิยมมากกว่าอดีต พคท. เกือบทุกคน และทักษิณพร้อมจะใช้ทุนนิยมแบบที่ใช้งบประมาณรัฐในการพัฒนาชีวิตคนจน แทนทุนนิยมตลาดเสรี 100% แต่ทักษิณก็ไปไม่ไกล เพราะต่อต้านระบบรัฐสวัสดิการ

ถ้าเราพูดถึงความรุนแรงของชนชั้นปกครองไทย ความโหดร้ายทารุณของตำรวจ ตชด. ในวันที่ ๖ ตุลาที่ธรรมศาสตร์ และของทหารภายใต้ประยุทธ์ที่ราชประสงค์ ก็พอๆ กัน คือใช้อาวุธสงครามฆ่าประชาชนมือเปล่า เป้าหมายคือการทำลายขบวนการประชาชน

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อเราเปรียบเทียบ ๖ ตุลา กับตอนนี้คือ บทบาทของชนชั้นกลาง เพราะที่สนามหลวงในวันที่ ๖ ตุลา มีม็อบอันธพาลชนชั้นกลางฉลองการเข่นฆ่านักศึกษาอย่างป่าเถื่อนที่สุด ม็อบดังกล่าวมีสองกลุ่มหลักคือ ลูกเสือชาวบ้าน กับพวกนวพล นอกจากนี้มีม็อบคนตกงานหรือนักศึกษาอาชีวะ ที่เป็นกระทิงแดง

และเราก็ทราบดีว่าในวิกฤตปัจจุบัน พวกพันธมิตรปิดสนามบิน และพวกสลิ่มประชาธิปัตย์ที่ทำลายการเลือกตั้ง ก็เป็นคนชั้นกลาง

สรุปแล้วคนชั้นกลางไม่ใช่พลังก้าวหน้า และไม่ใช่ที่พึ่งของนักประชาธิปไตยแต่อย่างใด

ผลพวงของ ๖ ตุลา และการเอาชนะ พคท. ทำให้ไทยมีประชาธิปไตยครึ่งใบที่เน้นระบบอุปถัมภ์ แทนนโยบายทางการเมือง สถานการณ์นี้เริ่มถูกแก้ไขเมื่อมีการรณรงค์ให้ช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และการเสนอนโยบายของไทยรักไทย หลังวิกฤตเศรษฐกิจ และหลังการล้มเผด็จการในปี ๒๕๓๕ แต่ในไม่ช้าสังคมไทยก็ถูกหมุนกลับไปสู่ยุคมืดอีก

สาเหตุสำคัญที่ฝ่ายประชาธิปไตยในยุคนี้อ่อนแอเกินไป คือคนที่เรียกตัวเองว่า “ภาคประชาชน” ในขบวนการเอ็นจีโอ ซึ่งหลายคนเป็นอดีตคนเดือนตุลา หันหลังให้กับการจัดตั้งทางการเมือง หันหลังให้กับความคิดทางการเมืองภาพกว้าง ปฏิเสธทฤษฏี ปฏิเสธการยึดอำนาจรัฐ และหันไปตั้งความหวังกับทุกรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย ในที่สุดก็ถูกลากไปกับกระแสสลิ่ม

นอกจากนี้คนเสื้อแดง ที่เป็นนักประชาธิปไตยรุ่นใหม่ ก็ “ลืม” บทเรียนในการจัดตั้งพรรคของ พคท. และไม่ได้ศึกษาแนวชนชั้น หรือแนวสังคมนิยม จึงอ่อนแอในการนำตนเองอย่างอิสระจาก ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ หรือนักการเมืองพรรคเพื่อไทย

ด้วยเหตุนี้เราไม่ควรแปลกใจที่ปีนี้ พวกปฏิกิริยาที่บริหารธรรมศาสตร์ และพวกทหารมือเปื้อนเลือดที่ปกครองประเทศ ต้องการห้ามไม่ให้เราจัดงาน ๖ ตุลา

เขาต้องการฝังประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน

นายกไม่สังกัดพรรคการเมือง? มันเป็นสูตรอดีตกษัตริย์เนปาล

ใจ อึ๊งภากรณ์

ตอนนี้มีเสียงกระซิบจากคอกปฏิกูลการเมือง ว่ามีพวก “ผู้รู้” ที่อยากเสนอให้นายกรัฐมนตรีไทยในอนาคตไม่สังกัดพรรคการเมือง โดยพวกนี้อ้างว่าจะลดการแสวงหาผลประโยชน์ให้พรรคพวกตัวเอง เผลอๆ มันจะเสนอกันว่าในรัฐสภาไม่ควรมีพรรคการเมืองด้วย ตามอย่างวุฒิสภา

สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจคือ ระบบการเลือกตั้งที่ไร้พรรคการเมือง เป็นระบบ “การเมืองที่ไร้นโยบาย” หรือ “การเมืองที่ไร้การเมือง” นั้นเอง มันเคยถูกใช้ภายใต้เผด็จการกษัตริย์เนปาล ก่อนที่ประชาชนจะลุกฮือขับไล่กษัตริย์ออกไป มันเป็นสูตรเผด็จการชัดๆ

ถ้านายกรัฐมนตรี หรือ สส. ไม่สังกัดพรรคการเมือง ก็แปลว่าจะไม่มีการหาเสียงด้วยการเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรม เหมือนพวกที่เสนอตนเองเป็น ส.ว. แล้วห้ามเสนอนโยบาย ก็มีแต่รูปภาพใส่เครื่องแบบทหารหรือพลเรือน มีแต่การโอ้อวด “ผลงาน” ในลักษณะตำแหน่งที่เคยครอง และมีแต่การพูดนามธรรมว่าจะ “รับใช้ชาติและประชาชน”

การที่ระบบการเมืองและระบบการเลือกตั้งไม่มีการเสนอนโยบายการเมือง แปลว่าประชาชนไม่มีอะไรให้เลือก แปลว่าเราจะย้อนยุคกลับไปสู่ระบบการเมืองอุปถัมภ์ แจกโน้นแจกนี่ หางานและตำแหน่งให้พรรคพวก และซื้อเสียง มันแปลว่าประชาชนจะไม่มีสิทธิในการมีส่วนร่วม เพื่อกำหนดว่าสังคมจะถูกบริหารภายใต้นโยบายอะไรเลย นั้นคือความฝันของประยุทธ์และพรรคพวก

อย่าลืมว่าสิ่งที่ทำให้อำมาตย์ เผด็จการทหาร และคนชั้นกลาง เจ็บใจมากที่สุด คือการที่พรรคไทยรักไทยเคยครองใจประชาชน อย่างที่ไม่เคยมีพรรคไหนทำได้ ก็ด้วยการเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ นี่คือสาเหตุที่พรรคอื่นไม่สามารถเอาชนะได้ และนี่คือสาเหตุที่พวกต้านประชาธิปไตยมองว่ามีวิธีเดียวที่จะจัดการกับพรรคทักษิณได้ คือการทำรัฐประหารทางทหารและทางระบบตุลาการ

ตอนนี้เราก็มีนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งตนเองและไม่สังกัดพรรคการเมือง สมัยสฤษดิ์ก็เช่นกัน และเผด็จการทหารก็เป็นเจ้าจอมโกงกินเล่นพรรคเล่นพวกที่ทำลายสังคมไทย

ประชาธิปไตยไทยพัฒนาให้ดีกว่ายุคทักษิณได้ ด้วยการมีหลากหลายพรรคการเมือง เช่นพรรคของชนชั้นกรรมาชีพหรือเกษตรกร และพรรคสังคมนิยม แทนที่จะมีแค่พรรคนายทุน การลดบทบาทพรรคการเมืองเป็นการถอยหลังลงคลอง