Tag Archives: เลือกตั้งอังกฤษ

ทำไมพรรคแรงงานอังกฤษแพ้การเลือกตั้ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

คำอธิบายเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งที่อังกฤษของพวกกระแสหลักหรือบุคคลที่ขี้เกียจวิเคราะห์การเมืองอย่างเป็นระบบ จะไม่อธิบายความจริงเกี่ยวกับสังคมอังกฤษเลย การพูดว่าประชาชนยังชื่นชมกับแนวการเมืองอนุรักษ์นิยม หรือการเสนอว่ากรรมาชีพงมงาย หรือการเสนอว่าพรรคแรงงานกับ เจเรมี คอร์บิน “ซ้ายเกินไป” เป็นการวิเคราะห์ผิวเผินที่ไม่ตรงกับโลกจริงแต่อย่างใด

นโยบายที่พรรคแรงงานเสนอภายใต้ ‎เจเรมี คอร์บิน เป็นนโยบายที่ก้าวหน้าที่สุดในรอบสี่สิบปี มีการเสนอว่าต้องลงทุนเพิ่มในระบบรักษาพยาบาล หลังจากที่ถูกตัดภายใต้นโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม มีการเสนอให้ตัดค่าโดยสารรถไฟ แก้ปัญหาคนไร้บ้าน แก้ปัญหาความยากจนอย่างเป็นรูปธรรม มีการเสนอให้นำสาธารณูปโภคกลับมาเป็นของรัฐเพื่อลดค่าน้ำค่าไฟและเพื่อควบคุมปัญหาโลกร้อน มีการเสนอให้สร้างงานในขณะที่ลดการเผาเชื้อเพลิงคาร์บอน มีการเสนอให้เก็บภาษีเพิ่มจากคนส่วนน้อยที่เป็นคนรวย และนโยบายดังกล่าวโดยรวมแล้วเป็นที่ถูกใจของประชาชนเพราะเป็นนโยบายที่สร้างประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่

เราทราบว่านโยบายดังกล่าวเป็นที่นิยมของคนจำนวนมากเพราะพรรคแรงงานได้คะแนนเสียงทั้งหมด 10.3 ล้านเสียง และเขตเลือกตั้งส่วนใหญ่ตามเมืองใหญ่ๆ ที่มีกรรมาชีพมากมาย เช่น London, Liverpool, Manchester, Birmingham และ Bristol ล้วนแต่เป็น “เขตแดง” ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม อย่างที่เราทราบกัน พรรคอนุรักษ์นิยมได้คะแนนทั้งหมด 13.9 ล้านเสียง และได้ที่นั่งมากขึ้นจนได้เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา

ทำไมพรรคแรงงานแพ้?

ในการเลือกตั้งอังกฤษปีนี้พรรคแรงงานแพ้เพราะถ้าเปรียบเทียบกับปี 2017 พรรคแรงงานไม่ยอมเคารพผลของประชามติเรื่องการออกจากอียูและเอียงไปในทางอยู่ต่อในอียู ยิ่งกว่านั้นพรรคหันมาเสนอว่าต้องมีประชามติรอบใหม่ ซึ่งเป็นการเอนไปทางขวาเพื่อเอาใจชนชั้นกลาง

uk-divide-2

คนที่อยู่ในเขตทางเหนือและตะวันออกของอิงแลนด์ ที่อาศัยในชุมชนกรรมาชีพที่อุตสาหกรรมโดนทำลาย รู้สึกโดนทอดทิ้งโดยอียูและรัฐบาลกลางของอังกฤษมานาน ในปี 2016 เขาจึงทุ่มเทคะแนนเพื่อออกจากอียู

ในการเลือกตั้งปี 2017 เขายังเชื่อว่านโยบายซ้ายของ คอร์บิน จะปรับปรุงชีวิตของเขาได้ เพราะพรรคแรงงานยืนยันว่าจะเคารพผลประชามติที่จะออกจากอียู แต่เมื่อพรรคแรงงานในการเลือกตั้งปีนี้ไม่ยอมเคารพความไม่พอใจของเขากับอียู และดูเหมือนจะเอาใจคนชั้นกลางทางใต้มากกว่าที่จะฟังปัญหาของเขาในการเลือกตั้งรอบนี้ เขาเริ่มหมดความเชื่อมั่นในนโยบายของพรรคแรงงาน และคนจำนวนหนึ่ง คือประมาณ 10% ของคนที่เคยลงให้พรรคแรงงาน จึงผิดหวังอย่างหนักและหันไปลงคะแนนให้พรรค Brexit กับพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งคนที่เปลี่ยนข้างในเขตต่างๆ ทางเหนือและตะวันออกมีจำนวนเพียงพอที่จะทำให้พรรคอนุรักษ์นิยมชนะ แต่เราควรเข้าใจด้วยว่าพวกนี้ให้จอห์นสัน”ยืม”เสียงของเขาชั่วคราวเท่านั้นเพื่อให้อังกฤษออกจากอียู

อีกปัญหาหนึ่งของพรรคแรงงาน ถ้าเทียบกับปี 2017 คือวิธีหาเสียงของคอร์บิน เพราะในปี 2017 มีการชุมนุมใหญ่ตามเมืองต่างๆ และคอร์บินก็มาปราศัยให้คนจำนวนมาก มันสร้างกระแสและความตื่นเต้น แต่ปีนี้พรรคตัดสินใจที่จะหาเสียงในกรอบกระแสหลักแทน

Jeremy-Corbyn-12.12.2019

การที่ฝ่ายขวาในพรรคแรงงานเอง โจมตีคอร์บินอย่างต่อเนื่องโดยไม่แคร์ว่าพรรคจะแพ้หรือชนะการเลือกตั้ง ก็เป็นประเด็น การกล่าวหาเท็จว่าคอร์บินเกลียดยิวเพราะสนับสนุนชาวปาเลสไตน์เป็นตัวอย่างที่ดี และการที่ทีมของคอร์บินไม่ยอมรุกสู้ตีคำกล่าวหากลับไปก็เป็นปัญหา

แน่นอนสื่อกระแสหลักก็รุมโจมตีพรรคแรงงาน แต่นั้นเป็นเรื่องปกติและเกิดในปี 2017 มันจึงไม่อธิบายอะไรมากนัก ในแง่หนึ่งการที่คนจะเชื่อสื่อของนายทุนหรือไม่ขึ้นอยู่กับความมั่นใจในตนเอง และความมั่นใจนั้นมีความสัมพันธ์กับระดับการต่อสู้และการนัดหยุดงานในสังคม ปัญหาคือระดับการนัดหยุดงานในอังกฤษช่วงนี้ค่อนข้างต่ำ

มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สื่อกระแสหลักแห่งหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่า บอริส จอห์นสัน อาจเป็นนายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายของสหราชอาณาจักร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองสกอตแลนด์ ต่างจากอิงแลนด์มากพอสมควร

สกอตแลนด์เป็นประเทศเล็กในส่วนเหนือของสหราชอาณาจักร มีประชากรแค่ 5.4 ล้านคน เมือเทียบกับ 66.4 ล้านคนทั่วอังกฤษ และในรอบ 40 ปีที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่ในสกอตแลนด์ไม่ได้สนับสนุนพรรคอนุรักษ์นิยม แต่บ่อยครั้งถูกบังคับให้อยู่ในประเทศที่มีรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม หลังจากที่มีการกระจายอำนาจบางส่วนไปสู่รัฐสภาสกอตแลนด์เราจะเห็นนโยบายทางสังคมที่เน้นความยุติธรรมเท่าเทียมมากกว่าในอิงแลนด์ แต่อำนาจของรัฐสภาสกอตแนด์มีจำกัด จึงเกิดกระแสให้มีประชามติให้แยกดินแดนขึ้นในปี 2014 ฝ่ายที่อยากแยกดินแดนแพ้ 44.7% ต่อ 55.3% ซึ่งถือว่าสูสีกัน

การที่อิงแลนด์ลงคะแนนส่วนใหญ่ที่จะออกจากอียูในขณะที่สกอตแลนด์ลงคะแนนให้อยู่ต่อ บวกกับการที่รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมตั้งรัฐบาลมาอีกหลายรอบ ทำให้พรรคชาตินิยมกอตแลนด์ (SNP) ชนะเกือบทุกที่นั่งในสกอตแลนด์ในการเลือกตั้งรอบนี้ และผลการเลือกตั้งให้ความชอบธรรมกับการเรียกร้องให้จัดประชาตืรอบที่สอง เพื่อแยกประเทศ แต่ทั้งพรรคอนุรักษ์นิยมกับพรรคแรงงานสกอตแลนด์คัดค้านการแยกดินแดน

ถ้าประชาชนสกอตแลนด์สามารถแยกประเทศได้ มันจะเป็นเรื่องดี เพราะมันจะทำให้สหราชอาณาจักรในฐานะจักรวรรดินิยมเก่า ที่เกาะติดสหรัฐอเมริกาและร่วมก่อสงครามกับสหรัฐ หมดพลังไป และในการเลือกตั้งปีนี้พรรคในไอร์แลนด์เหนือที่ต้องการออกจากสหราชอาณาจักรและรวมประเทศกับไอร์แลนด์ใต้ได้ที่นั่งมากที่สุดเป็นครั้งแรก

การพังทลายของสหราชอาณาจักร ถ้าเกิดขึ้นจริง จะสร้างวิกฤตให้ชนชั้นปกครองอังกฤษและรัฐบาลจอห์นสันเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะเกิดอีกรอบในอนาคต และการที่พรรคอนุรักษ์นิยมไม่สามารถให้อะไรที่เป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ สร้างวิกฤตให้กับรัฐบาลจอห์นสันได้ แต่มันมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องมีการยกระดับการต่อสู้นอกรัฐสภา โดยเฉพาะการนัดหยุดงานและการลงถนนของคนที่ประท้วงปัญหาโลกร้อน สิ่งเหล่านี้เราเห็นในฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ

ในภาพรวมเราจะเห็นว่าอังกฤษอยู่ในสภาพวิกฤตการเมืองมาตั้งแต่ปี 2010 เพราะผลของนโยบายรัดเข็มขัดที่ตามหลังวิกฤตเศรษฐกิจ มันทำลายเสถียรภาพของระบบการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง และวิกฤตการเมืองนี้มีลักษณะเดียวกับวิกฤตการเมืองที่ทำให้คนลุกฮือสู้ในหลายประเทศของโลก เพียงแต่มันออกมาในลักษณะที่แตกต่างกันเท่านั้น

(อ่านเพิ่มเรื่องการลุกฮือของมวลชนทั่วโลก 2019 https://bit.ly/2OxpmVr )

ทางเลือกใหม่ในการเลือกตั้งอังกฤษ

ใจ อึ๊งภากรณ์

การเลือกตั้งของอังกฤษที่จะจัดขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน เป็นครั้งแรกในรอบสี่สิบกว่าปีที่ประชาชนมีทางเลือกอย่างแท้จริงระหว่างนโยบายที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุน และนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนส่วนใหญ่ที่เป็นกรรมาชีพผู้ทำงาน

ในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะภายใต้ โทนี่ แบลร์ พรรคแรงงานที่เป็นพรรคของสหภาพแรงงานอังกฤษ มีนโยบายที่คล้ายคลึงกับพรรคอนุรักษณ์นิยมของนายทุน จนดูไม่ออกว่าแตกต่างกันอย่างไร รัฐบาลของ โทนี่ แบลร์ เน้นนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้วบวกกับการทำสงครามร่วมกับสหรัฐอเมริกา เขาพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงกรรมาชีพและเรียกพรรคแรงงานว่า “พรรคแรงงานใหม่” หลังจากที่แบลร์ลาออก รัฐบาลพรรคแรงงานในยุควิกฤตเศรษฐกิจโลกปี  2008 ใช้นโยบายรัดเข็มขัดที่ทำลายฐานะทางเศรษฐกิจของคนส่วนใหญ่ เพื่อเอาใจกลุ่มทุนและนายธนาคาร นโยบายดังกล่าวสร้างความไม่พอใจ และปูทางไปสู่ชัยชนะของพรรคอนุรักษ์นิยมสองรอบ รัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมก็ใช้นโยบายรัดเข็มขัดสุดขั้วและค่อยๆ ทำลายระบบสวัสดิการและสาธารณสุขของประเทศเพื่อเพิ่มกำไรสำหรับกลุ่มทุนใหญ่ โดยที่พรรคแรงงานมือไม้อ่อนในการคัดค้าน เพราะผู้นำพรรคตอนนั้นไม่ค่อยเห็นต่างจากรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยม

ต่อมาเมื่อปี 2015 เจเรมี คอร์บิน สส.ฝ่ายซ้ายชนะการเลือกตั้งภายในพรรคแรงงาน และขึ้นมาเป็นผู้นำใหม่ ตั้งแต่แรก คอร์บิน ใช้นโยบายและวิธีการใหม่ทางการเมือง คือปฏิเสธนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด และปฏิเสธพฤติกรรมของพวกนักการเมืองกระแสหลัก เขาเป็นตัวอย่างของนักการเมืองรากหญ้าที่อยู่เคียงข้างคนธรรมดา ในรัฐสภา คอร์บิน ใช้คำถามที่ประชาชนธรรมดาเขียนมา เพื่อจี้นายกรัฐมนตรี วิถีชีวิตของ คอร์บิน ขึ้นชื่อว่าเรียบง่าย และท่าทีของเขาสุภาพเสมอ

การที่สมาชิกธรรมดาของพรรคแรงงานเทคะแนนให้ คอร์บิน แสดงให้เห็นว่าอังกฤษไม่ต่างจากประเทศอื่นในยุโรปที่ประชาชนส่วนหนึ่งเบื่อหน่ายเต็มที่กับนโยบายฝ่ายขวาที่ทำลายความมั่นคงของประชาชน กระแสแบบนี้เกิดขึ้นใน กรีซ ไอร์แลนด์ และแม้แต่ในฝรั่งเศสซึ่งดูได้จากคะแนนเสียงที่ จอนลุค เมลองชง ได้รับในการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก กระแสซ้ายแบบนี้สำคัญ เพราะสามารถคานการฉวยโอกาสจากวิกฤตเศรษฐกิจของพวกฟาสซิสต์ขวาจัด ที่พยายามสร้างกระแสเกลียดชังคนต่างชาติ

อย่างไรก็ตามพวกสส.เก่าภายในพรรคแรงงานหลายคน เป็นพวกฝ่ายขวาที่พยายามโค่น คอร์บินตลอดเวลา และไม่สนใจว่าสมาชิกพรรคส่วนใหญ่จะคิดอย่างไร พวกนี้พร้อมจะเปิดการต่อสู้ภายในพรรค ไม่ว่าจะมีผลกระทบต่อการเลือกตั้งอย่างไร

สำหรับการเลือกตั้งในวันที่ 8 มิถุนายน นโยบายของพรรคแรงงานเป็นนโยบายที่ก้าวหน้าและซ้ายที่สุดในรอบสี่สิบกว่าปี คอร์บิน ประกาศว่าพรรคแรงงานเป็นพรรคที่เข้าข้างผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่พรรคที่จะเอื้อประโยชน์กับคนส่วนน้อยที่เป็นเศรษฐีนายทุน พรรคแรงงานประกาศว่าจะยกเลิกค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัย จัดอาหารกลางวันฟรีให้เด็กในโรงเรียน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างจริงจัง นำสาธารณูปโภคสำคัญๆ กลับมาเป็นของรัฐ เพิ่มงบประมาณให้กับระบบสาธารณสุข เพิ่มสิทธิเสรีภาพให้สหภาพแรงงาน สร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นให้คนธรรมดา ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติสีผิว และแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื้อรังในสังคม ที่สำคัญคืองบประมาณที่จะใช้ในเรื่องเหล่านี้จะมาจากการเก็บภาษีรายได้เพิ่มขึ้นจากคนรวยและเศรษฐี นับว่าเป็นนโยบายที่ให้ความหวังกับคนธรรมดาที่หมดหวังและถูกกดทับจากนโยบายรัดเข็มขัดมานาน

หลังจากที่มีระเบิดพลีชีพที่เมืองแมนเชสเตอร์ คอร์บิน ปราศัยว่าถ้าประชาชนจะปลอดภัยจากการก่อการร้าย นโยบายต่างประเทศของอังกฤษจะต้องเปลี่ยนไป ต้องเลิกก่อสงครามเพื่อผลประโยชน์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง เพราะสงครามเหล่านี้นอกจากจะผิดศีลธรรมแล้ว ยังชักศึกเข้าบ้านอีกด้วย คอร์บิน มีประวัติการต้านสงครามมานานตลอดยุคของรัฐบาล โทนี่ แบลร์ และภายใต้รัฐบาลอนุรักษ์นิยม

Jeremy Corbyn speaks during an event to mark the 70th anniversary of the Hiroshima bomb, in Tavistock Square, London.

สหายไทยบางคนที่ไปร่วมงานสมัชชาสังคมโลกที่อินเดียในปี 2004 อาจเห็น คอร์บินปราศัยในงานนั้น

วิธีการหาเสียงของคอร์บินแตกต่างจากการหาเสียงของผู้นำแบบ โทนี่ แบลร์ หรือผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมปัจจุบัน เพราะพวกนั้นมักจะเน้นการใช้สื่อโดยเฉพาะโทรทัศน์ แต่ คอร์บิน เน้นการปราศัยกลางแจ้งหรือในหอประชุมใหญ่ตามเมืองต่างๆ เพื่อพบประชาชนต่อหน้าต่อตา และปลุกระดมกระแสความหวังใหม่ บ่อยครั้งการปราศัยดังกล่าวจะมีคนมาฟังเป็นพันๆ คน และเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่

ในขณะที่ทีมของ คอร์บิน เสนอนโยบายที่สร้างความหวัง พรรคอนุรักษ์นิยมของ เทเรซา เมย์ เสนอแต่นโยบายที่จะใช้การรัดเข็มขัดต่อไป มีการพูดว่าจะตัดอาหารฟรีที่เด็กยากจนในโรงเรียนได้รับ มีการโจมตีฐานะทางเศรษฐกิจของคนชรา และมีการกลับลำเวลาประชาชนไม่พอใจกับนโยบายดังกล่าว การหาเสียงของพรรคอนุรักษ์นิยมไร้ระบบและไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง แต่สื่อกระแสหลักทุกแห่ง รวมถึงบีบีซี และหนังสือพิมพ์การ์เดียน ก็คอยสนับสนุน เมย์ ด้วยการโจมตี คอร์บิน อย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าชนชั้นปกครองอังกฤษกลัวการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่

ล่าสุด เทเรซา เมย์ ไม่กล้าออกมาโต้ดีเบดสดสองต่อสองผ่านโทรทัศน์กับ คอร์บิน แต่คอร์บิน มองว่าถ้าออกโทรทัศน์สดบ่อยๆ ประชาชนจะเห็นธาตุแท้ของเขาได้ แทนที่จะฟังหรืออ่านความเห็นเกี่ยวกับเขาผ่านสื่อฝ่ายขวา นี่คือสาเหตุหนึ่งที่คะแนนนิยมในพรรคแรงงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้โพลทางการเมืองแสดงให้เห็นว่าพรรคแรงงานเริ่มเพิ่มคะแนนนิยมจากเดิมที่ตกต่ำมาในการเลือกตั้งสองรอบที่แล้วมา เพราะเมื่อมีการเปิดการหาเสียงรอบนี้พรรคอนุรักษ์นิยมนำพรรคแรงงาน 19% แต่ตอนนี้นำแค่ 3% เอง บางโพลถึงกับเสนอว่าพรรคแรงงานนำ 1%  และคะแนนนิยมในคอร์บินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คะแนนนิยมใน เมย์ ลดลง นับว่าเป็นผลงานที่น่าทึ่งสำหรับทีมฝ่ายซ้ายของ คอร์บิน และถ้าคอร์บินไม่ชนะการเลือกตั้งในที่สุด ยังต้องถือว่าเป็นเครื่องวัดกระแสฝ่ายซ้ายในสังคมที่ต้านนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาด

ในหมู่คนหนุ่มสาวคะแนนนิยมในพรรคแรงงานพุ่งสูงถึง 68% ในขณะที่พรรคอนุรักษ์นิยมได้แค่ 16%

อย่างไรก็ตามเราต้องระมัดระวังที่จะทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากโพล สิ่งที่เป็นไปได้สูงคือจำนวนสส.ของแต่ละพรรคอาจไม่พอที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

เราคงต้องรอวันเลือกตั้งเพื่อดูว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร ถ้าคอร์บินชนะ ซึ่งยังไม่มีหลักประกันอะไรว่าจะได้เสียงข้างมาก รัฐบาลของเขาจะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มทุนใหญ่และสื่อกระแสหลัก ที่จะพยายามทุกอย่างเพื่อทำลายความหวังของประชาชนที่เลือกพรรคแรงงาน เพราะแม้แต่ในระบบประชาธิปไตยทุนนิยมของอังกฤษ กลุ่มทุนและชนชั้นปกครองมักจะมีอำนาจมากกว่าพลเมืองธรรมดา และพร้อมจะขัดขวางเสียงของประชาชนเสมอ วิธีที่จะเพิ่มอำนาจของประชาชนธรรมดาคือต้องเพิ่มความเข้มแข็งของขบวนการแรงงาน และขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในการหนุน คอร์บิน

ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไร ต้องมีการต่อสู้ทั้งในและนอกรัฐสภา เพื่อสนับสนุนผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่

9 มิถุนายน 2017 เพิ่มเติม……

ผลการเลือกตั้งอังกฤษ

พรรคอนุรักษ์นิยมของ เทเรซา เมย์ เสียคะแนนเสียงและไม่สามารถได้ที่นั่งข้างมากในรัฐสภาอย่างที่เคยมี นับว่าเป็นความพ่ายแพ้ของ เมย์ และพรรคอนุรักษ์นิยม ทั้งๆ ที่พรรคได้ที่นั่งมากที่สุด เราต้องไม่ลืมว่าเมย์ยุบสภาครั้งนี้เพื่อหวังเพิ่มคะแนนและที่นั่งเพื่อเจรจากับอียู

สงครามภายในพรรคอนุรักษ์นิยมจะทำให้ เทเรซา เมย์ อยู่ไม่ได้นาน และคงต้องมีการเลือกตั้งอีกครั้งก่อนสิ้นปี

ทั้งๆ ที่พรรคแรงงานได้ที่นั่งน้อยกว่าพรรคอนุรักษ์นิยม เจเรมี คอร์บิน และนโยบายที่ก้าวหน้าและเน้นการเมืองฝ่ายซ้ายของพรรคแรงงาน สามารถครองใจประชาชน 12.8 ล้าน หรือ 40% ของผู้ออกมาใช้เสียง และที่น่าทึ่งคือคนหนุ่มสาวออกมาเทคะแนนให้พรรคอย่างถล่มทลาย

คะแนนเสียงของพรรคแรงงานพิสูจน์ว่าการเมืองฝ่ายซ้ายสามารถครองใจประชาชนจำนวนมาก มันพิสูจน์ว่าประชาชนจำนวนมากต้องการทางเลือกที่ไม่ใช่การเมืองฝ่ายขวาของพวกเสรีนิยมกลไกตลาด เพราะการเมืองแบบนี้ทำลายชีวิตของคนธรรมดาจำนวนมากผ่านการรัดเข็มขัด มันพิสูจน์ว่าการเสนอทางเลือกซ้ายเป็นคำตอบในรูปธรรมเพื่อขจัดกระแสฟาสซิสต์ทั่วโลก มันพิสูจน์ว่าคนที่ประกาศว่า “ฝ่ายซ้ายหมดยุค” ไม่เข้าใจการเมืองในโลกจริง

เจเรมี คอร์บิน เพิ่มคะแนนเสียงให้พรรคแรงงานเหนือผลการเลือกตั้งปี 2015 2010 และ2005 ซึ่งเป็นยุคที่พรรคแรงงานเป็น “แรงงานใหม่” ที่เน้นนโยบายฝ่ายขวาตามนโยบายของ โทนี่ แบลร์

เลือกตั้งอังกฤษ: ประชาชนสก็อตแลนด์เบื่อหน่ายพรรคกระแสหลัก แต่ในอิงแลนด์ขาดพรรคทางเลือกใหม่

ใจ อึ๊งภากรณ์

ผลการเลือกตั้งในอังกฤษที่น่าสนใจที่สุดคือในสก็อตแลนด์ คะแนนเสียงที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของพรรคชาตินิยมสก็อตแลนด์ (SNP) เป็นปรากฏการณ์ใหม่ คะแนนเสียงท่วมท้นนี้ไม่ได้เกิดจากกระแสชาตินิยมแต่อย่างใด แต่เกิดจากความไม่พอใจของประชาชนสก็อตแลนด์ต่อนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดที่ทำลายชีวิตคนธรรมดา พรรค SNP แปรตัวไปมีจุดยืนตรงกับที่พรรคแรงงานเคยมีในอดีต คือเป็นพรรคที่มีนโยบาย “สังคมนิยมประชาธิปไตย” ที่ปกป้องรัฐสวัสดิการและระบบสาธารณสุข และต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ นี่คือสาเหตุที่พรรค SNP ชนะในเกือบทุกเขต และยึดฐานเสียงเดิมของพรรคแรงงานในสก็อตแลนด์เกือบหมด รวมถึงเมืองกลาสโกซึ่งเป็นจุดรวมกรรมาชีพที่สำคัญ

ถึงแม้ว่าพรรค SNP ไม่ลงสมัครนอกเขตสก็อตแลนด์ แต่คนจำนวนมากในอิงแลนด์ ซึ่งไม่มีสิทธิ์เลือก SNP ก็ยังแสดงความชื่นชม และอยากเห็นพรรคที่มีนโยบายคล้ายๆ กันได้ที่นั่ง แต่ปัญหาคือในอิงแลนด์ขาดพรรคทางเลือกใหม่ที่มีนโยบายสังคมนิยมประชาธิปไตย และใหญ่พอที่จะสร้างความน่าเชื่อถือที่มาจากความเป็นไปได้ว่าจะชนะที่นั่ง

พรรค SNP ประกาศชัดเจนว่าจะลงคะแนนเสียงในสภาเพื่อกีดกันไม่ให้พรรคอนุรักษ์นิยมตั้งรัฐบาล และมีการชวนให้พรรคแรงงานร่วมในจุดยืนนี้ด้วย แต่นโยบายของพรรคแรงงาน ซึ่งแยกไม่ออกจากนโยบายกลไกตลาดเสรีของพรรคอนุรักษ์นิยม ทำให้พรรคแรงงานในอิงแลนด์หมดสภาพที่จะเป็นแรงบันดาลใจและดึงคะแนนเสียงของคนที่อยากปกป้องรัฐสวัสดิการ แนวโน้มคือพรรคอนุรักษ์นิยมอาจตั้งรัฐบาลได้อีกครั้งเพราะได้ที่นั่งส่วนใหญ่ในอิงแลนด์ อิงแลนด์เป็นประเทศที่ใหญ่กว่าสก็อตแลนด์และมี สส. มากกว่าหลายเท่า

ตอนนี้ชัดเจนว่าพรรคอนุรักษ์นิยมตั้งรัฐบาลได้ แต่มันไม่ได้แปลว่าพรรคนี้ครองใจคนส่วนใหญ่แต่อย่างใด ทั้งพรรคแรงงานและพรรคอนุรักษ์นิยมได้คะแนนนิยมพรรคละประมาณ 33% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชาชนอังกฤษหนึ่งในสามไม่สนับสนุนทั้งสองพรรค กระแสที่เห็นชัดแต่สร้างผลออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน คือความเบื่อหน่ายกับพรรคกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยม พรรคแรงงาน หรือพรรคเสรีนิยมที่เคยร่วมรัฐบาลกับพรรคอนุรักษ์นิยม

พูดง่ายๆ ผลการเลือกตั้งอังกฤษเป็นความพ่ายแพ้ของพรรคแรงงานที่ใช้นโยบายฝ่ายขวา ที่ไม่แตกต่างจากพรรคอนุรักษ์นิยม และเป็นชัยชนะของพรรค SNP ที่มีนโยบายสังคมนิยมประชาธิปไตย ในสภาพเช่นนี้พรรคอนุรักษ์นิยมคงจะสามารถอาศัยช่องโหว่ในอิงแลนด์เพื่อพยายามตั้งรัฐบาล

นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดที่พรรคกระแสหลักร่วมกันสนับสนุน จะเน้นการตัดสวัสดิการ การตัดงบประมาณรัฐ และการทำลายระบบรัฐสวัสดิการด้วยการดึงบริษัทเอกชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายที่เอาใจกลุ่มทุน โดยให้ประชาชนส่วนใหญ่จ่ายหนี้สาธารณะที่ธนาคารและพวกเล่นหุ้นเคยก่อขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2008 และนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดนี้มีผลให้เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวช้า คนตกงาน และคนทำงานจนลง

ในขณะที่เศรษฐีนายทุนใหญ่เพิ่มความร่ำรวยมากขึ้นมหาศาล ประชาชนอังกฤษอย่างน้อยหนึ่งล้านคนไม่สามารถเลี้ยงตัวได้ และหลายครอบครัวต้องไปพึ่งศูนย์แจกอาหารฟรีที่อาสาสมัครตั้งขึ้น และในขณะที่รัฐบาลอังกฤษใช้จ่ายเงินในการทำสงครามอย่างต่อเนื่อง ประชาชนจำนวนมากเดือดร้อนเพราะขาดบ้านที่อยู่อาศัยเพราะรัฐบาลไม่ยอมลงทุนในการสร้างบ้าน นอกจากนี้พนักงานจำนวนมากที่ทำงานในภาครัฐ โดยเฉพาะพนักงานเงินเดือนต่ำในโรงพยาบาล จะไม่มีการปรับเงินเดือนขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ คือถูกตัดเงินเดือนนั้นเอง และพนักงานตามเทศบาลต่างๆ ก็ถูกเลิกจ้างจำนวนมากอีกด้วย

ในแง่หนึ่งคะแนนเสียงที่ SNP ได้นั้นเป็นผลพวงของการจัดประชามติเมื่อปีที่แล้วว่าสก็อตแลนด์ควรแยกออกจากอังกฤษหรือสหราชอาณาจักรหรือไม่ ซึ่งคะแนนของทั้งสองฝ่ายสูสีกันมาก และทั้งๆ ที่เสียงของคนไม่อยากแยกประเทศจะชนะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นประเด็นหลักในการเลือกแยกประเทศของคนจำนวนมากก็ไม่ใช่แนวคิดชาตินิยม แต่เป็นเรื่องการคัดค้านแนวเสรีนิยมต่างหาก

เราควรเข้าใจว่าพรรค SNP เป็นพรรคที่จะประนีประนอมกับนายทุนเสมอ ไม่ต่างจากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยทั่วไปอื่นๆ ในอดีต นี่คือสาเหตุที่ฝ่ายซ้ายพยายามสร้างขั้วสังคมนิยมที่อิสระจากพรรค SNP และพรรคแรงงาน แต่เนื่องจากฝ่ายซ้ายยังอ่อนแอและในบางที่ไม่ยอมสามัคคีกัน เรายังมีปัญหามาก ในอิงแลนด์คนที่ก้าวหน้าจำนวนมากจึงเลือกลงคะแนนให้พรรคกรีน หรือถ้าอาศัยอยู่ในประเทศเวลส์ก็จะลงคะแนนให้พรรคชาตินิยมเวลส์ PC (Plaid Cymru ) แต่สองพรรคนี้ก็ยังเล็ก

โดยบังเอิญผู้นำของพรรค SNP กรีน และPC เป็นผู้หญิง และคนจำนวนมากมองว่าต่างจากนักการเมืองเดิมๆ ที่น่าเบื่อ โดยที่ผู้นำ SNP มียอดนิยมสูงมาก ภาพที่ประกอบบทความนี้สะท้อนมิตรภาพระหว่างสามสตรี ในขณะที่ผู้นำพรรคแรงงานยืนเงิบอยู่คนเดียว

สถานการณ์การวิกฤตแห่งศรัทธาในพรรคกระแสหลักนี้ ไม่ได้มีแค่ในอังกฤษ เราเห็นในกรีซ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี่ เยอรมัน และในสแกนดิเนเวียอีกด้วย มันเป็นอาการเบื่อหน่ายกับนโยบายของพรรคกระแสหลักที่ไม่ต่างกันและที่เน้นแต่การตัดงบประมาณ การเพิ่มจำนวนคนตกงาน และการทำลายรัฐสวัสดิการเพื่อประโยชน์กลุ่มทุน ดังนั้นในสถานการณ์แบบนี้ประชาชนจำนวนมากอาจแสวงหาพรรคทางเลือกใหม่ ซึ่งอาจเป็นฝ่ายซ้าย หรืออาจเป็นฝ่ายขวาสุดขั้วแบบฟาสซิสต์ก็ได้ ในกรณีหลัง ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงในฝรั่งเศส และฟินแลนด์ หรือในบางประเทศของยุโรปตะวันออก กระแสการเหยียดสีผิวและหาแพะรับบาปจะเพิ่มขึ้น มีการต่อต้านคนมุสลิม และต่อต้านคนที่พยายามย้ายถิ่นเข้ามาในยุโรปเพื่อหนีสงครามที่จักรวรรดินิยม ทั้งใหญ่และเล็ก ก่อขึ้นในตะวันออกกลางและส่วนอื่นของโลก นโยบายกีดกันคนย้ายถิ่นหรือผู้ลี้ภัยของสหภาพยุโรป ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมเรือร่มในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เพราะผู้ลี้ภัยต้องอาศัยพวกค้ามนุษย์เพื่อพยายามหาช่องเข้ายุโรป

ในกรณีอังกฤษพรรคฝ่ายขวาสุดขั้วที่ได้ประโยชน์คือพรรค “อิสรภาพสำหรับสหราชอาณาจักร” (UKIP) และถึงแม้ว่าพรรคนี้ได้แค่ 1 ที่นั่งเอง แต่การที่พรรคกระแสหลัก รวมถึงพรรคแรงงาน พยายามตามกระแสเหยียดสีผิวและต้านคนย้ายถิ่น เพื่อเอาใจคนที่อาจพิจารณาเลือก UKIP ทำให้บรรยากาศในสังคมอังกฤษเอียงไปทางด้านพวกเหยียดสีผิว มีแต่พรรค SNP กรีน ชาตินิยมเวลส์ และฝ่ายซ้ายที่คัดค้านกระแสนี้

เมื่อพรรคอนุรักษ์นิยมตั้งรัฐบาล มันจะมีแรงกดดันจาก UKIP และฝ่ายขวาของพรรคอนุรักษ์นิยมเอง เพื่อให้มีการจัดประชามติว่าอังกฤษควรถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่ ซึ่งจะก่อให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเพิ่มขึ้น เพราะกลุ่มทุนหลายกลุ่มจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากได้ประโยชน์ทางธุรกิจจากการที่อังกฤษเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ในขณะเดียวกันถ้ามีแนวโน้มว่าอังกฤษจะออกจากสหภาพยุโรป ในสก็อตแลนด์ก็จะมีกระแสเพื่อจัดประชามติแยกประเทศรอบใหม่

ประเด็นสำคัญสำหรับพลเมืองส่วนใหญ่คือเรื่องเศรษฐกิจ การมีงานทำ ระดับเงินเดือน และการปกป้องระบบสาธารณสุขกับรัฐสวัสดิการจากการถูกทำลาย และเรื่องนี้คงแก้ไม่ได้ถ้าอาศัยแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐสภาเท่านั้น มันต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานและประชาชนก้าวหน้านอกรัฐสภาเป็นหลัก

(ปรับปรุุงภายหลังผมการเลือกตั้งออกมาหมดแล้ว)