Tag Archives: เลือกตั้ง62

เราจะสู้อย่างไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในยุคการโกงการเลือกตั้งโดยเผด็จการทหาร และการสืบทอดอำนาจผ่านการสร้างภาพความเป็น “ประชาธิปไตย” เราจะเห็นว่าพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย อย่างพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ไม่ยอมสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เพื่อต่อสู้กับอิทธิพลของเผด็จการ มีแต่การพึ่งพาศาลลำเอียง และกระบวนการในรัฐสภาเท่านั้น ในรูปธรรมมันเป็นการยอมจำนนต่อแผนของเผด็จการ

โกงเลือกตั้ง

แต่เมื่อนักประชาธิปไตยบางคนเสนอว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะลงถนน” ก็มีพวกหดหู่ยอมจำนนออกมาวิจารณ์ว่าการลงถนนหรือการประท้วงจะนำไปสู่การปราบปรามโดยฝ่ายตรงข้าม ตกลงถ้าเราฟังพวกนี้เราก็ควรกลับบ้านไปมุดหัวและยอมจำนนเท่านั้น

แน่นอนการออกมาค้านเผด็จการเป็นสิ่งที่อาจมีความเสี่ยงอยู่ มันขึ้นอยู่กับวิธีการต่อสู้ ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะสู้อย่างไรต้องมาจากการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในหมู่นักกิจกรรมที่อยู่ในประเทศไทย แต่ที่สำคัญคือ การออกมาคัดค้านเผด็จการไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงเสมอ มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่แน่นอนคือ การเลือกที่จะไม่สู้จะไม่มีวันสร้างประชาธิปไตยและทำลายเผด็จการ

การสร้างประชาธิปไตยแท้ในไทย ย่อมอาศัยทั้งขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มีมวลชนจำนวนมาก และพรรคการเมืองแบบสังคมนิยมของคนชั้นล่าง ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เราคงจะไม่สำเร็จ

พรรคซ้ายหรือพรรคสังคมนิยมของคนชั้นล่างจำเป็นต้องสร้าง เพราะพรรคของนายทุนไม่สนใจสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม

ข้อสรุปจากความล้มเหลวของฝ่ายประชาธิปไตยตอนนี้คือ เราต้องเน้นการนำร่วมกันจากล่างสู่บนที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่การนำของผู้ใหญ่ที่มีผลประโยชน์ที่ต่างกับมวลชน และเราควรดึงขบวนการกรรมาชีพและคนหนุ่มสาวมาร่วมด้วย

เราไม่ควรสู้แบบยึดถนนตั้งหลักเป็นเดือน แต่ควรประท้วงใหญ่สั้นๆ และควรมีการสร้างความเข้มแข็งในการนัดหยุดงาน เพื่อใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือเราต้องชัดเจนว่าเราต้องการเห็นสังคมแบบไหน

ในยุคหลังเสื้อแดงมีคนหนุ่มสาวและคนอื่นจำนวนหนึ่ง ที่กล้าหาญออกมาสู้กับเผด็จการประยุทธ์ แต่บ่อยครั้งพวกเขาหันหลังให้กับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวมวลชน และไปเน้นการสู้แบบปัจเจก และอาศัยการทำข่าวเท่านั้น ผลที่น่าสลดใจคือคนดีๆ ก็ไปติดคุกและปัจเจกคนอื่นโดนกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่อง

เราจำการลุกฮือ ๑๔ ตุลาได้ไหม? มวลชนครึ่งล้านคนออกมาชุมนุมหลังจากที่นักกิจกรรมโดนเผด็จการจับ และในที่สุดเผด็จการก็ถูกล้มไป ถ้าคนไทยเคยทำได้ในอดีต ตอนนี้ก็ยังทำได้ แต่ต้องมีการวางแผนและการจัดตั้ง

FI-fists_0

การเคลื่อนไหวที่จะมีพลัง ไม่สามารถจัดได้ถ้าเราเพียงแต่ประกาศชวนเชิญประชาชนมาร่วมผ่านสื่อมวลชนหรือโซเชียลมีเดีย ถ้าในอนาคตจะมีการจัดให้มีพลังมากขึ้น คือมีคนมาร่วมจำนวนมาก ควรจะมีการจงใจสร้างเครือข่ายและแนวร่วมอย่างจริงจังกับกลุ่มคนที่มีความคิดคล้ายๆ กัน

ต้องมีการใช้เวลาเพื่อไปคุยกับคนที่มีประวัติในการค้านเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นอดีตคนเสื้อแดง กลุ่มสหภาพแรงงาน กลุ่มนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มนักศึกษาจากสถาบันที่หลากหลาย และควรมีการนัดคุยกันหลายรอบ เพื่อร่วมกันตกลงว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันอย่างไร และเมื่อไร นอกจากนี้ตัวแทนของทุกกลุ่มที่ร่วมกันควรจะถือว่าเป็นแกนนำของแนวร่วมใหม่อันนี้ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การจัดตั้งแบบประชาธิปไตย”

แน่นอนการทำงานแนวร่วมแบบนี้ต้องมีการประนีประนอมกันในการวางแผนแนวปฏิบัติ แต่นั้นไม่ได้แปลว่าจะมีมุมมองในหลายแง่ของการเมืองที่ต่างกันไม่ได้ จริงๆ แล้วการมีหลากหลายมุมมองทางการเมืองเป็นเรื่องดี เพราะจะนำไปสู่การถกเถียงเรื่องการเมืองภาพกว้าง ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเมืองแบบนี้และช่วยให้ทุกคนมีความคิดที่ชัดเจนมากขึ้น

เราไม่ควรลืมว่าประชาธิปไตยควรจะรวมไปถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิที่จะมีค่าแรงที่เลี้ยงชีพได้ สิทธิของทุกเพศรวมถึงเกย์ ทอม ดี้ กะเทย ฯลฯ สิทธิของชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี สิทธิของแรงงานข้ามชาติ สิทธิในการนับถือศาสนาตามที่ปัจเจกเลือกที่จะนับถือ หรือสิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลและการศึกษาคุณภาพดีอย่างถ้วนหน้าฯลฯ

ฝังอยู่ในข้อเสนอของการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของผม คือความสำคัญของการสร้างพรรคของคนชั้นล่าง ซึ่งผมเขียนเรื่องนี้บ่อย หาอ่านได้ที่นี่ http://bit.ly/2nfpcVA

แต่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยที่เราควรจะมี จะต้องไม่จำกัดไว้ในแวดวงคนที่อยากสร้างพรรคเท่านั้น ต้องกว้างกว่านั้นอีกมาก

การนัดหยุดงานกับพลังในการสร้างเสรีภาพ

ท่ามกลางความมืดมนของเผด็จการที่วางแผนคุมสังคมเราในระยะยาว เราต้องตั้งคำถามว่าพลังไหนในสังคมจะปลดแอกประชาชนและสร้างเสรีภาพ?

การสร้างพลังของขบวนการสหภาพแรงงานในไทย มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างเสรีภาพ สังคมเราจะได้ไม่ต้องวนเวียนอยู่กับเผด็จการ การทำรัฐประหาร  และสภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคมอย่างต่อเนื่องเหมือนไม่มีจุดจบ นี่คือบทเรียนจากประเทศต่างๆ ในยุโรปตะวันตก เกาหลีใต้ ลาตินอเมริกา อียิปต์ ซูดาน และแอลจีเรีย

การลงถนนเพื่อประท้วงของมวลชน จะมีพลังมากขึ้นถ้ามีการนัดหยุดงาน การปราบปรามด้วยความรุนแรงของฝ่ายเผด็จการทำได้ยากขึ้นเมื่อเน้นการนัดหยุดงานด้วย

อย่างไรก็ตามขบวนการแรงงานไทยตอนนี้อ่อนแอเกินไป ไร้ประสิทธิภาพในการนำตนเองเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งถูกฝ่ายปฏิกิริยาแทรกแซง และเกือบจะไม่มีการจัดตั้งทางการเมือง บางส่วนของขบวนการมองรัฐบาลทหารว่าเป็น “ผู้อุปถัมภ์” อีกด้วย ที่สำคัญคือควบคู่กับการสร้างพลังของกรรมาชีพ เราไม่สามารถละเว้นการสร้างพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพด้วย ดังนั้นภารกิจสำคัญของเราควรจะเป็นการสร้างพรรคสังคมนิยมของคนหนุ่มสาวมีไฟที่ลงไปทำงานกับขบวนการสหภาพแรงงาน

ทำไมกรรมาชีพมีบทบาทชี้ขาดในการสร้างประชาธิปไตย เสรีภาพ และสังคมนิยม?

ชนชั้นกรรมาชีพตามนิยมของนักมาร์คซิสต์ คือ ทุกคนที่ไร้ปัจจัยการผลิต ดังนั้นลูกจ้างทุกคนที่ไม่มีอำนาจให้คุณให้โทษถือว่าเป็นกรรมาชีพ ไม่ว่าจะเป็นกรรมกรโรงงาน พนักงานปกคอขาว คนขับรถเมล์ พนักงานในภาคบริการ พยาบาล หรือครูบาอาจารย์

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ เป็นเพราะชนชั้นกรรมาชีพมีอำนาจซ่อนเร้นอยู่สูง เนื่องจากกรรมาชีพเป็นชนชั้นใหม่ที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้นมาในใจกลางของระบบ เศรษฐกิจทุนนิยมต้องอาศัยการทำงานของชนชั้นกรรมาชีพทั้งสิ้น นายทุนนายจ้างและเครื่องจักรต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานแทนชนชั้นกรรมาชีพได้ เมื่อกรรมาชีพนัดหยุดงานทั่วประเทศ ทหารและตำรวจปราบยากกว่าการชุมนุมบนท้องถนน

stop dictatorship

สรุปแล้วสิ่งที่เราน่าจะทำตอนนี้คือ

  1. ตั้งวงคุยอย่างจริงจังเพื่อทบทวนแนวการต่อสู้ที่ผ่านมา และถกเถียงแลกเปลี่ยนว่าเราต้องการสังคมแบบไหน โดยใช้ประสบการณ์จากโลกจริงมาเป็นตัวอย่าง
  2. ต้องมีการใช้เวลาเพื่อสร้างเครือข่ายการเคลื่อนไหว และควรมีการนัดคุยกันหลายรอบ เพื่อร่วมกันตกลงว่าจะเคลื่อนไหวด้วยกันอย่างไร และเมื่อไร
  3. ควรเริ่มเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง จากเล็กไปใหญ่ โดยเน้นการดึงมวลชนเข้ามาเพิ่มขึ้นตลอดเวลา เน้นการลงถนนเป็นครั้งๆ ไม่ใช่ชุมนุมยืดเยื้อ และควรตั้งเป้าให้มีการหยุดงานด้วย
  4. ควรพยายามสร้างพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพ แทนที่จะตั้งความหวังกับพรรคการเมืองของนายทุน

เรื่องนี้ไม่ง่าย แต่ในขณะเดียวกันมันไม่ยากเกินความสามารถของคนธรรมดาด้วย ใครที่บอกว่า “มันยากแต่ฉันจะพยายามทำ” คือคนที่ไม่ต้องการเป็นทาส

โจร500 สืบทอดอำนาจเผด็จการตามคาด แต่ทำไมพรรคฝ่ายประชาธิปไตยงอมืองอเท้าไม่นำการต่อสู้นอกสภา?

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในที่สุดผลของการวางไข่พิษโดยเผด็จการประยุทธ์ก็บรรลุผลตามคาด พลเมืองที่รักประชาธิปไตยส่วนใหญ่คงไม่แปลกใจนัก เพราะเราเห็นการออกแบบประชาธิปไตยจอมปลอมโดยคณะโจรมานาน

ยุง

แต่ประเด็นที่พวกเราทุกคนต้องตั้งเป็นคำถามกับแกนนำพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยคือ “ทำไมไปเล่นตามกติกาโจรทุกอย่างและไม่เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับผลล่วงหน้า?”

การร่วมในกระบวนการเลือกตั้งของเผด็จการ และผลคะแนนเสียงที่ออกมา คือพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะต้านเผด็จการได้เสียงข้างมากและได้จำนวนที่นั่งข้างมาก เป็นโอกาสทองที่จะประกาศต่อมวลชนว่าพลเมืองไทยส่วนใหญ่คัดค้านการสืบทอดอำนาจโดยเผด็จการ และเป็นโอกาสทองที่จะใช้ความชอบธรรมจากผลการเลือกตั้งนี้ เพื่อสร้างขบวนการมวลชนทีเป็น “แนวร่วมเพื่อประชาธิปไตย” นอกรัฐสภา

แต่พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทยโยนโอกาสทองอันนี้ทิ้งลงน้ำ

แทนที่จะเริ่มสร้างขบวนการมวลชนเพื่อเป็นพลังในการทำลายเผด็จการ แกนนำของพรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย เลือกที่จะเล่นตามเกมส์เผด็จการหมดเลย มีแต่การยอมรับว่าจะเป็นฝ่ายค้านในสภาน้ำเน่า มีแต่การอาศัยกระบวนการอยุติธรรมของศาลเตี้ยใต้ตีนทหาร มีแต่การมองไปสู่การเลือกตั้งท้องถิ่น และการสร้างพรรคต่อไปเพื่อเล่นตามแนวเดิม

เผด็จการในไทยหรือที่อื่นทั่วโลกไม่เคยถูกล้มโดยการเล่นตามกติกาเผด็จการ เผด็จการจะถูกล้มได้ก็ด้วยพลังมวลชนบนท้องถนนและในสถานที่ทำงาน ขบวนการมวลชนเพื่อประชาธิปไตยในไทยควรจะถูกสร้างตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เมื่อมีกระแส “คนอยากเลือกตั้ง” แต่แกนนำพรรคเพื่อไทยและอนาคตใหม่ไม่สนใจ

ตอนนี้การเล่นตามเกมส์เผด็จการ และการหมกมุ่นกับกฏหมายโจรและศาลโจร ถึงทางตันแล้ว เพราะเรามีรัฐบาลทหารเถื่อนนำโดยอาชญากรที่ไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นสส.

สำหรับนักวิชาการและนักเคลื่อนไหว “สลิ่ม” ที่เคยแหกปากโกหกเรื่อง “เผด็จการรัฐสภา” ในยุคทักษิณ สิ่งที่เรามีวันนี้คือเผด็จการรัฐสภาตัวจริง

สภา
ภาพจาก ILaw

พวกเราคงทราบดีเรื่องที่มาที่ไปของการตั้งรัฐบาลเถื่อนชุดนี้ เริ่มจากการทำรัฐประหารล้มประชาธิปไตยของประยุทธ์ ผ่านการใช้ความรุนแรงกับฝ่ายประชาธิปไตยก่อนและหลังรัฐประหาร ผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญเผด็จการ ผ่านการเขียนยุทธศาสตร์แห่งชาติ20ปี ผ่านการเขียนกติกาการเลือกตั้งเพื่อสืบทอดอำนาจ ผ่านการใช้ศาลเตี้ยยุบพรรค ผ่านการแต่งตั้งสว.เถื่อนโดยทหาร และขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้กกต.ของทหารเพื่อโยกย้ายจำนวนที่นั่งจากพรรคอนาคตใหม่สู่พรรคเล็กที่ไม่มีใครสนับสนุน ผลก็อย่างที่เราเห็นอยู่

สิ่งเหล่านี้เป็นที่รับรู้ของทุกคน แต่แกนนำพรรคอนาคตใหม่กับพรรคเพื่อไทย ไม่เคยเสนอว่าจะจัดการกับการโกงการเลือกตั้งแบบนี้อย่างไร มีแต่การสร้างความฝันจอมปลอมว่าแค่การกาช่องในบัตรเลือกตั้งจะนำไปสู่การฆ่าเผด็จการได้ และมีแต่การสร้างความฝันว่ารัฐสภาจะคว่ำรัฐธรรมนูญและกติการทหารได้

ดู https://bit.ly/2Wu8eGH

ประเด็นที่เผชิญหน้าเราทุกคนคือ จะมีการทบทวนแนวยอมจำนนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยหรือไม่ หรือจะยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลเถื่อนต่อไป

ในบทความฉบับหน้าจะมีข้อเสนอว่าเราจะสู้เผด็จการอย่างไร

วิธีการคัดค้านเผด็จการแบบปัญญาอ่อน: จับมือกับแมลงสาบและงูเห่า หรือหวังพึ่งศาลเตี้ย

ใจ อึ๊งภากรณ์

หลังการเลื่อนประกาศผลการเลือกตั้งไปหลายสัปดาห์ภายใต้ข้ออ้างไร้สาระเรื่องพิธีกษัตริย์ เราก็เห็นว่า กกต. ใช้เวลานั้นเพื่อบิดเบือนผล ผ่านการแก้สูตรจำนวน สส. บัญชีรายชื่อ โดยตัดจำนวน สส. ของพรรคอนาคตใหม่ และดึงพรรคขนาดเล็กที่ไม่เคยประกาศจุดยืน เข้ามาในรัฐสภา

เป้าหมายชัดๆ ของการเปลี่ยนสูตรที่ใช้คำนวณ สส. บัญชีรายชื่อครั้งนี้ ก็เพื่อลดจำนวน สส. ของฝ่ายพรรคที่ต้านทหารและสนับสนุนประชาธิปไตย จนขาดเสียงข้างมากที่เคยมี เพื่อเปิดทางให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

Dt-n4cyVYAA7HNH

พรรคขนาดเล็กต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อ และไม่ทราบจุดยืน คงถูกซื้อโดยแก๊งประยุทธ์ไปแล้ว ทหารเผด็จการจะได้สืบทอดอำนาจต่อไปอย่างที่คนจำนวนมากคาดการณ์ไว้

พร้อมกันนั้นนักการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ก็โดนคดีไร้สาระ เพื่อกลั่นแกล้งไม่ให้ปฏิบัติการได้ แต่พรรคทหารไม่มีทางโดนคดี

ยิ่งกว่านั้นทหารเผด็จการก็แต่งตั้งพรรคพวกของตนเป็น สว. อีก 250 คน เพื่อประกันว่าทหารจะอยู่ต่อไปได้

นี่คือโฉมหน้าประชาธิปไตยจอมปลอมของประยุทธ์

อย่าลืมว่าคะแนนเสียงทั้งหมดทั่วประเทศ ชี้ให้เห็นว่าพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะต้านเผด็จการทหาร ได้คะแนนมากกว่าพรรคที่ประกาศว่าจะสนับสนุนเผด็จการประยุทธ์ และอย่าลืมว่าพรรคที่ต้านทหารได้ สส. เขต มากกว่าพรรคที่สนับสนุนประยุทธ์ด้วย [ดู https://bit.ly/2H91pBg ]

พูดง่ายๆ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยชนะการเลือกตั้ง แต่ทหารและหมารับใช้ทหารใน กกต. จัดการขโมยผลและโกงการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกติกาประชาธิปไตยและความต้องการของพลเมืองส่วนใหญ่

จับมือกับฆาตกรที่สนับสนุนเผด็จการเพื่อคัดค้านประยุทธ์?

มันเป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่งที่มีข่าวว่าพรรคฝ่ายประชาธิปไตย โดยเฉพาะพรรคอนาคตใหม่ ปัญญาอ่อนถึงขนาดคิดจะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์และภูมิใจไทย โดยอ้างว่าจะสกัดไม่ให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีได้

cc45f-558953_10151808470973823_83426302_n

การเสนอฆาตกรอย่างอภิสิทธิ์เป็นนายก หรือแม้แต่การจับมือกับพรรคแมลงสาบและงูเห่า ถือว่าเป็นการทรยศอุดมการณ์ประชาธิปไตยและตบหน้าถ่มน้ำลายใส่ประชาชนเสื้อแดงที่เคยออกมาต่อสู้กับเผด็จการในอดีตและเสียเลือดเนื้อไปมากมาย ยิ่งกว่านั้นมันเป็นวิธีการที่โง่เขลาอย่างยิ่ง เพราะการจับมือกับพรรคที่ไม่เคารพประชาธิปไตยสองพรรคนี้จะไม่มีวันนำไปสู่สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย จะไม่มีวันลบผลพวงเผด็จการ และจะไม่มีวันทำให้สังคมไทยเดินหน้าไปสู่ยุคใหม่ที่พรรคอนาคตใหม่ชอบพูดถึง

มันเป็นแนวการเมืองไร้เดียงสาที่มองว่า “การเมือง” เป็นแค่การเล่นเกมในรัฐสภาภายใต้กติกาของเผด็จการ โดยที่พลเมืองไทยเป็นล้านๆ ที่ต้องการประฃาธิปไตยเป็นแค่ “ผู้ชม” ที่ไม่ควรมีบทบาทหรือการมีส่วนร่วม และมันเป็นการเล่นเกมกับนักการเมืองระยำต่ำช้าอีกด้วย นี้หรือคือ “อนาคตใหม่” ของสังคมไทย?

DemLogo

อีกตัวอย่างหนึ่งของแนวการเมืองไร้เดียงสาที่มองว่า “การเมือง” เป็นแค่การเล่นเกมในรัฐสภา คือการที่พรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ ทำตัวมือไม้อ่อนเป็นเหยื่อ แล้วบอกว่าจะ “ฟ้องศาล” เพื่อหวังให้ศาลขัดขวางการโกงการเลือกตั้งของกกต.

ศาลเตี้ย

hqdefault

จำไม่ได้หรือว่าพฤติกรรมศาลเตี้ยไทยเป็นอย่างไรในหลายปีที่ผ่านมา? ทุกคดีสำคัญๆ ที่ศาลพิจารณาเข้าข้างพวกเผด็จการทั้งสิ้น ทำไมความจำสั้นจัง?

การพึ่งศาลแปลว่าคดีเรื่องการเลือกตั้งจะลากยาวเป็นเดือนๆ ปีๆ ในขณะที่บ้านเมืองยังอยู่ภายใต้อำนาจมืดของเผด็จการ ในทางปฏิบัติมันเท่ากับเป็นการยอมรับการโกงการเลือกตั้ง และในที่สุดเมื่อประกาศผลของคดีก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

CiHZjUdJ5HPNXJ92GRkJPGM3rHldarQkMI

พลังมวลชนนอกรัฐสภาเป็นเรื่องชี้ขาด แต่อนาคตใหม่กับเพื่อไทยไม่กล้าเดินเข้าหามวลชน

ในขณะนี้คงจะมีพลเมืองเป็นล้านๆ คนที่โกรธไม่พอใจกับ กกต. และการโกงการเลือกตั้งของฝ่ายเผด็จการ แกนนำของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยควรจะใช้อิทธิพลและความชอบธรรมที่มาจากการได้เสียงประชาชนในเขตต่างๆ เพื่อดึงคนทั่วประเทศมาชุมนุมใหญ่อย่างสันติที่กรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ๆ ซึ่งจะเป็นการสำแดงพลังของประชาชนที่รักประชาธิปไตยอย่างชัดเจน [ดู https://bit.ly/2Jsu6dN ]

COVER-คนอยากเลือกตั้ง

การเน้นพลังมวลชนแบบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเสริมสร้างกระแสประชาธิปไตยในประเทศของเรา และปูทางไปสู่การสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม เพราะไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนในโลกที่ไม่ได้สร้างจากการเคลื่อนไหวของมวลชน ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนที่สร้างจากการฝากความหวังไว้กับศาลที่เป็นเครื่องมือของเผด็จการ ไม่มีประชาธิปไตยที่ไหนที่สร้างจากการเล่นเกมกับนักการเมืองน้ำเน่า

ถ้าแกนนำพรรคฝ่ายประชาธิปไตยไม่ยอมพิจารณาการเคลื่อนไหวแบบนี้ ก็เท่ากับยอมแพ้ และผิดสัญญากับประชาชนว่าจะต่อต้านเผด็จการอย่างถึงที่สุด ถ้าเป็นเช่นนี้ประชาชนธรรมดาจะต้องเกาะกลุ่มกันและค่อยๆ สร้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเอง แต่ถ้าเราจะชนะ มันต้องขยายไปมากกว่าแค่คนสองคนยืนถือป้าย มันต้องมีการจัดตั้งมวลชน เรามีความชอบธรรมอย่างยิ่งที่จะทำในสิ่งนี้ เราไม่ควรยอมแพ้

 

วิเคราะห์ผลเลือกตั้ง: การแบ่งขั้วยังดำรงอยู่ และการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวมีความสำคัญยิ่ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

คนไทยที่รักประชาธิปไตยรู้อยู่ในใจอยู่แล้วว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะไม่เสรีและเป็นธรรม เพราะใครๆ ก็ทราบถึงมาตรการต่างๆ ของเผด็จการที่จะสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญทหาร แผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20ปี การแต่งตั้งสว. 250คน หรือความลำเอียงของ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ

แต่คนไทยที่รักประชาธิปไตยจำนวนมากอยากฝันถึงเรื่องดีๆ จึงปล่อยให้ตนเองแอบหวังว่าฝ่ายประชาธิปไตยจะชนะการเลือกตั้ง และยุคแห่งเผด็จการจะสิ้นลง ตรงนี้เข้าใจได้

แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมองความจริงที่ทุกคนรู้ในใจอยู่แล้ว คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการลบผลพวงของเผด็จการมันยังไม่จบ มันพึ่งเริ่มในรูปแบบใหม่เท่านั้นเอง และการกาบัตรเลือกตั้งไม่สามารถฆ่าเผด็จการได้ง่ายๆ

มันมีหลายคำถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของ กกต. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยุติประกาศคะแนนโดยไม่มีเหตุผลในเช้าวันที่25มีนาคม การที่คะแนนไม่ตรงกับจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ปัญหาบัตรจากนิวซีแลนด์ เรื่อง “บัตรเสีย” 2 ล้านเสียง และการที่ตัวเลขที่กกต.เดิมอ้างว่าเป็นการนับคะแนน 100% มีข้อผิดพลาดมากมาย เรารู้ด้วยว่า คสช. โกงการเลือกตั้งด้วยหลายวิธีที่อ้างกฏหมายที่มันเขียนเอง การยุบพรรคไทยรักษาชาติเป็นตัวอย่างสำคัญที่กระทบต่อคะแนนเสียง

ปัญหาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจคงจะเกิดจากสองสาเหตุหลักคือ ความไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิงของ กกต. และการจงใจโกงการเลือกตั้งโดย คสช.

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสที่ประชาชนสามารถแสดงความเห็นเกี่ยวกับเผด็จการประยุทธ์ได้ และผลคะแนนทั่วประเทศคงสะท้อนความจริงในระดับหนึ่ง เพราะไม่ว่าคะแนนเสียงทั่วประเทศจะเปลี่ยนหรือ “เขย่ง” แค่ไหน ภาพรวมก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปนัก คือฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนมากกว่าฝ่ายเผด็จการ

จำนวนคะแนนทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับมีความสำคัญ แต่ไม่ใช่ในแง่ที่ประยุทธ์เสนอเพื่อให้ความชอบธรรมกับการตั้งรัฐบาลโดยพรรคพลังประชารัฐ

จำนวนคะแนนทั้งหมดที่แต่ละพรรคได้รับมีความสำคัญในการประเมินเสียงประชาชนที่ต่อต้านเผด็จการ แล้วเทียบกับเสียงที่สนับสนุนเผด็จการ เราจำเป็นต้องไม่ลืมว่ากติกาการเลือกตั้งภายใต้ คสช. ทำให้พรรคการเมืองแตกเป็นหลายพรรคย่อย ดังนั้นการดูแค่คะแนนของพรรคเดียวจะไม่สะท้อนภาพจริง

จากการประกาศผลทั้งหมด100%โดยกกต. ในวันที่28มีนาคม จะเห็นว่าในหมู่พรรคการเมืองที่ประกาศล่วงหน้าก่อนวันเลือกตั้งว่าต้องการลบผลพวงของเผด็จการ คือพรรคเพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย ประชาชาติ และเพื่อชาติ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้คะแนนทั้งหมด 15.9 ล้านเสียง หรือ 41.5% ของผู้มาใช้สิทธิ์

พรรคพลังประชารัฐของประยุทธ์ได้ 8.4 ล้านเสียง และถ้าบวกกับเสียงของพรรคภูมิใจไทย 3.7 ล้าน และพรรครวมพลังประชาชาติ 0.4 ล้าน จะเห็นว่าพรรคที่ประกาศล่วงหน้าว่าจะสนับสนุนเผด็จการได้แค่ 12.5 ล้านเสียง หรือ 32.6% เท่านั้น เราไม่สามารถนับเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ 4 ล้านเสียงรวมเข้าไปตรงนี้ได้เพราะผู้นำพรรคประกาศล่วงหน้าว่าจะไม่สนับสนุนให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี

พูดง่ายๆ ฝ่ายเผด็จการแพ้เสียงข้างมากอย่างชัดเจน

พรรคประชาธิปัตย์เสียคะแนนไปมากมาย ตกจาก 11.4 ล้านเสียงในปี ๒๕๕๔ เหลือแค่ 4 ล้าน สาเหตุคงจะเป็นเพราะสลิ่มเสื้อเหลืองเทคะแนนที่เคยให้ประชาธิปัตย์ไปสู่พรรคเผด็จการโดยตรง พวกนั้นคงอยากสนับสนุนเผด็จการตัวจริงแทนที่จะเลือกทางอ้อม การด่ากันเองภายในพรรคประชาธิปัตย์หลังเลือกตั้งสะท้อนสิ่งนี้

ถ้าพิจารณาว่าจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๔ 1.1 เท่า เนื่องจากประชากรที่อายุเกิน 18 ปีเพิ่มขึ้น จะเห็นว่าคะแนนทั้งหมดของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคทหารปีนี้ คล้ายคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ในปี ๒๕๕๔

สัดส่วนผู้มาใช้สิทธิ์ในปีนี้ คือ 74.7% ของผู้มีสิทธิ์ 51.2 ล้าน สัดส่วนพอๆกับการเลือกตั้งปี ๒๕๕๔ ที่ 75% ของผู้มีสิทธิ์ 46.9 ล้าน ไปใช้สิทธิ์

ผลคะแนนทั่วประเทศแสดงให้เห็นว่าการแบ่งขั้วระหว่าง “เหลืองกับแดง” หรือ “เผด็จการกับประชาธิปไตย” ยังคงดำรงอยู่หลังจากการครองอำนาจเผด็จการมาหลายปี ไม่มีการแก้วิกฤตแต่อย่างใด

พรรคเพื่อไทยได้คะแนนน้อยลง ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ลงสมัครในทุกเขตเพื่อไม่ให้แข่งกับพรรคไทยรักษาชาติ และพอไทยรักษาชาติถูกยุบ คนที่เคยอยากจะลงให้พรรคนี้คงวุ่นวายพอสมควร มันอาจช่วยอธิบายได้บ้างว่าทำไมพรรคภูมิใจไทยเพิ่มคะแนนจาก 1.3 ล้านในปี ๕๔ เป็น 3.7 ล้านในปีนี้

คำพูดของกษัตริย์วชิราลงกรณ์เรื่องการ “เลือกคนดี” คงไม่มีผลอะไรทั้งสิ้นกับคนที่อยากเลือกฝ่ายเผด็จการหรือคนที่อยากเลือกฝ่ายประชาธิปไตย เพราะไม่ค่อยมีความหมาย และตีความยังไงก็ได้แล้วแต่ว่าอยู่ฝ่ายใด

ในแง่ของการกำหนดจำนวนสส.ในสภา จำนวนสส.บัญชีรายชื่อยังไม่แน่นอนและคงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบ้าง เพราะสูตรในการคำนวณมันซับซ้อน ทั้งนี้เพื่อกีดกันพรรคใหญ่ของทักษิณเป็นหลัก แต่ถ้าดูจำนวน สส. เขต พรรคเพื่อไทยได้มากกว่าพรรคพลังประชารัฐ และพรรคที่ประกาศต้านทหารทั้งหมด ได้มากกว่าพรรคที่ประกาศก่อนวันเลือกตั้งว่าจะสนับสนุนประยุทธ์

พูดง่ายๆ เผด็จการประยุทธ์แพ้ทั้งเสียงประชาชน และที่นั่งเขตในสภา

การที่เพื่อไทยนำทีมพรรคฝ่ายประชาธิปไตย 6 พรรคประกาศว่าจะตั้งรัฐบาล ถือว่ามีความชอบธรรม ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการเพื่อไทยระบุว่า ถ้ารวมพรรคเศรษฐกิจใหม่ของ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ แล้ว คาดว่าจะมีที่นั่งถึง 256 เสียง แต่ตัวเลขที่นั่งนี้เปลี่ยนได้ และมีหลายคนตั้งคำถามว่าไว้ใจ มิ่งขวัญ ได้แค่ไหน

การที่กกต.เสนอว่าจะรายงานผลอย่างเป็นทางการในเดือนพฤภาคม เป็นเรื่องตลกร้าย แต่ที่ชัดเจนคือเป็นโอกาสทองที่จะโกงการเลือกตั้งผ่านการแจกใบเหลือง ใบส้มหรือใบแดง

วิกฤตประชาธิปไตยไทยคงแก้ไม่ได้ถ้าเราเคารพกติกาที่ไร้ความชอบธรรมของเผด็จการ ไม่ว่าฝ่ายเผด็จการหรือฝ่ายประชาธิปไตยสามารถตั้งรัฐบาลได้ ทักษิณพูดถูกว่าไม่ว่าฝ่ายไหนเข้ามาก็ล้วนแต่ขาดเสถียรภาพ แต่สิ่งที่ทักษิณไม่พูดและไม่เคยพูดก็คือเรื่องความสำคัญของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน

ถ้าเราศึกษาประวัติศาสตร์ไทย เราจะค้นพบว่ารัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มาจากกระแสมวลชนที่ล้มเผด็จการทหารในปี ๒๕๓๕ และหลังจากนั้นเราก็มีรัฐบาลที่เสนอการปฏิรูปสังคมในทางที่ดีบ้าง เช่นการเริ่มต้นระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่หลังจากนั้นมวลชนฝ่ายเหลืองก็ขึ้นมาคัดค้านประชาธิปไตยและเรียกให้ทหารเข้ามาแทรกแซงการเมืองในปี ๒๕๔๙ แต่กระแสมวลชนเสื้อแดงบังคับให้ต้องมีการเลือกตั้งอีกที่เพื่อไทยชนะในปี ๒๕๕๔ ต่อมารัฐประหารของประยุทธ์เกิดขึ้นได้เพราะยิ่งลักษณ์กับทักษิณแช่แข็งขบวนการเสื้อแดงจนหมดสภาพ และไปหาทางประนีประนอมในรัฐสภา ซึ่งไม่สำเร็จ

จะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของมวลชนเป็นเรื่องชี้ขาดในการเมืองเสมอ ถ้าเราไม่หันมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชนอย่างจริงจัง เผด็จการจะสามารถสืบทอดอำนาจไปได้อีกนาน และความสิ้นหวังของประชาชนจะกลายเป็นยาพิษที่ทำให้คนยอมรับสภาพเช่นนี้

ร่วมกันลงคะแนนให้พรรคต้านทหาร – สรุปนโยบายหลักของพรรคเหล่านี้

ใจ อึ๊งภากรณ์

พลเมืองไทยที่รักประชาธิปไตยไม่ควรตั้งความหวังสูงเกินไปสำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงในอีกไม่กี่วัน เราทราบดีว่าเผด็จการประยุทธ์พยายามที่จะโกงการเลือกตั้งด้วยหลายวิธี เช่นการแต่งตั้งสว.ของฝ่ายทหาร 250 คน ซึ่งแปลว่าฝ่ายพรรคเผด็จการจะสามารถอ้างว่าได้เสียงข้างมากในสภาทั้งๆ ที่ประชาชนส่วนใหญ่อาจไม่ได้เลือก

นอกจากนี้ยุทธศาสตร์แห่งชาติ20 ปี ที่ออกแบบเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการไปอีกนาน และจำกัดความอิสระของรัฐบาลประชาธิปไตยในการบริหารประเทศ บวกกับศาลและวุฒิสภาที่เป็นทาสรับใช้ของทหาร จะทำให้เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการเคารพ การยุบพรรคไทยรักษาชาติคือตัวอย่างที่ดี

การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไม่ใช่การเลือกตั้งประชาธิปไตย

แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่าเราต้องร่วมกันลงคะแนนเสียงให้พรรคต้านทหาร เรื่องนี้สำคัญมากเพราะอะไร?

เราต้องมองการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าเป็นโอกาสที่ประชาชนจะลงมติไม่ไว้วางใจเผด็จการและพวกทหารที่ชอบก่อรัฐประหาร มันจะเป็นการลงมติในเชิงสัญญลักษณ์ที่มีค่ามหาศาลในการให้ความชอบธรรมกับการต่อสู้ต่อไปเพื่อประชาธิปไตยแท้

ลองนึกภาพดูก็ได้ ถ้าพรรคที่ต้านทหารไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเกินครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วประเทศ พวกทหารจะยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการอยู่ต่ออีกนาน กรณีนายพลเอลซีซีในประเทศอียิปต์เป็นคำเตือนที่สำคัญ

ดังนั้นพวกเราทุกคนต้องเข้าใจกันว่าอะไรสำคัญอะไรไม่สำคัญ เราต้องข้ามพ้นอคติส่วนตัวและสร้างความสามัคคีในการลงคะแนนให้พรรคใดพรรคหนึ่งจากกลุ่มพรรคต้านทหาร ซึ่งประกอบไปด้วยพรรคเพื่อไทย พรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อชาติ พรรคสามัญชน และพรรคประชาชาติ

และที่สำคัญคืออย่าไปหวังอะไรจากพรรคต่างๆ เพราะเรากำลังลงมติไม่ไว้วางใจในเผด็จการในเชิงสัญญลักษณ์เท่านั้น

ทุกพรรคที่เอ่ยถึงข้างบนมีปัญหา ไม่มีพรรคไหนพร้อมจะลงมือสร้างรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าและครบวงจรทันทีด้วยการเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวยและกลุ่มทุน มีแต่การเสนอว่าจะสร้างในอนาคตอันไกลหรือแค่เพิ่มสวัสดิการบางส่วนเท่านั้น ซึ่งไม่เหมือนกับการลงมือสร้างรัฐสวัสดิการทันที นอกจากนี้ไม่มีพรรคไหนในรายชื่อข้างบนที่เสนอให้ยกเลิกหรือแม้แต่ปฏิรูปกฏหมายเผด็จการ 112 และไม่มีพรรคสังคมนิยมของกรรมาชีพและคนจนอีกด้วย

พรรคเพื่อไทยมีข้อดีตรงที่เสนอตัดงบประมาณทหาร แต่ทำไปเพื่อช่วยนายทุนน้อย มีการเสนออีกว่าจะซื้อรถเมล์ไฟฟ้าเพื่อแก้ปัญหามลพิษแทนการซื้อรถถัง ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่พรรคนี้มีนักการเมืองประเภท “มาเฟีย” หรือ “โจร” หลายคน เช่น พัลลภ ปิ่นมณี เสนาะ เทียนทอง และเฉลิม อยู่บำรุง และมี อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีที่เคยเพิ่มความเข้มข้นในใช้ 112 เพื่อการปราบประชาชานที่ใช้อินเตอร์เน็ด

พรรคอนาคตใหม่มีจุดเด่นตรงที่ประกาศว่าจะลบผลพวงของเผด็จการและตัดงบประมาณทหารเพื่อเพิ่มสวัสดิการให้ประชาชน แต่คำประกาศดังกล่าวขาดประเด็นสำคัญคือการสร้างพลังมวลชนนอกรัฐสภาที่จะมาหนุนช่วย นอกจากนี้มีการพูดถึงปัญหาปาตานี และการเปิดรับผู้ลี้ภัย ซึ่งเป็นนโยบายก้าวหน้า แต่พรรคนี้เป็นพรรคนายทุนไม่ใช่พรรคแรงงานหรือพรรคฝ่ายซ้าย ดังนั้นการเพิ่มประโยชน์ให้กับแรงงานจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองผลประโยชน์นายทุนก่อน และทั้งๆ ที่มีปีกแรงงาน แต่นั้นเป็นแค่ไม้ประดับ เพราะไม่มีข้อเสนอให้เพิ่มอำนาจต่อรองให้สหภาพแรงงานและร่างกฏหมายแรงงานใหม่ ซึ่งตรงนี้ต่างกับนโยบายพรรคสามัญชน นอกจากนี้พรรคอนาคตใหม่มีข้อเสนอสำหรับบำนาญคนชราที่ตั้งไว้แค่ 1800 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าพรรคอื่นหลายพรรค

พรรคสามัญชนมีข้อเสนอให้รวมสามระบบประกันสุขภาพเข้าด้วยกัน ซึ่งต่างกับพรรคอื่นและเป็นก้าวสำคัญในการสร้างรัฐสวัสดดิการ แต่ไม่มีข้อเสนอที่ชัดเจนเรื่องการเก็บภาษีในอัตราสูงจากคนรวย บำนาญถ้วนหน้าสำหรับคนชราพรรคตั้งไว้ในระดับ 3000 บาทต่อเดือน ซึ่งทุกคนจะมีสิทธิ์ได้รับ และถือว่าเป็นข้อเสนอก้าวหน้า โดยทั่วไปพรรคนี้มีอิทธิพลของเอ็นจีโอสูง ไม่ใช่พรรคของแรงงานหรือพรรคสังคมนิยม และนโยบายหลักๆ เน้นแต่สิ่งแวดล้อมกับปัญหาชนบท และยังมีอิทธิพลของแนวเศรษฐกิจชุมชนสูง ซึ่งสะท้อนวิธีการทำงานประเด็นปัญหาเดียวของเอ็นจีโอ อย่างไรก็ตามข้อเสนอของพรรคให้หนุนพลังสหภาพแรงงานและเขียนกฏหมายแรงงานใหม่เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้า และนโยบายยกเลิกการใช้พาราคอตเพื่อคืนอาหารปลอดภัยให้ประชาชนเป็นนโยบายก้าวหน้าเช่นกัน

เราอาจพูดได้ว่าพรรคสามัญชนเป็นพรรคซ้ายอ่อนๆ ซึ่งดีกว่าพรรคอื่นๆ มีจุดยืนเคียงข้างคนจนที่ชัดเจน แต่เป็นพรรคเล็ก แกนนำตั้งความหวังว่าอย่างมากอาจได้สส.บัญชีรายชื่อหนึ่งคนเท่านั้น

ในเรื่องปัญหากฏหมายแรงงานฉบับปัจจุบันดูบทความนี้ https://prachatai.com/journal/2019/02/81152

พรรคเพื่อชาติไม่ค่อยมีนโยบายชัดเจน มีการพูดถึงการลดความเหลื่อมล้ำแต่รายละเอียดน้อยเกินไป มีการพูดถึง “อนาคตดิจิตอล” เหมือนเป็นคำขวัญสวย แต่ขาดรูปธรรมพอสมควร มีการเสนอบำนาญสำหรับคนชราในระดับ 2000 บาทต่อเดือน และมีนโยบายสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีนักเรียนแพทย์ตำบลละ 1 คน เพื่อให้กลับมาช่วยบ้านเกิด ซึ่งเป็นเรื่องดี

พรรคประชาชาติมีจุดเด่นตรงที่เน้นการสร้างสังคมแห่งพหุวัฒนธรรม และบำนาญสำหรับคนชราในระดับ 3000 บาทต่อเดือน แต่ทั้งๆ ที่มีฐานเสียงในภาคใต้ ไม่ค่อยมีนโยบายที่ชัดเจนและก้าวหน้าเรื่องการใช้การเมืองแทนการทหารในการคืนเสรีภาพให้ชาวปาตานี

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับรายละเอียดของนโยบายเท่าไร ประเด็นหลักคือการต้านทหาร เพราะเรารู้กันว่ากติกาการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย

โกงเลือกตั้ง

ดังนั้นเราต้องร่วมกันลงคะแนนเสียงให้พรรคการเมืองที่ต้านทหารโดยข้ามพ้นอคติส่วนตัวบางอย่าง เราไม่ควรไปเลือกพรรคอื่นที่อวยทหารโดยเด็ดขาด เพราะพรรคอื่นเช่นพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรครวมพลังประชาชาติไทยเป็นตัวแทนของคนที่ทำลายประชาธิปไตย

หลังจากที่มีการนับคะแนน ถ้าคะแนนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่เทให้พรรคต้านทหาร เราต้องเรียกร้องให้ประยุทธ์และแก๊งทหารถอนตัวออกจากการเมืองไทยสักที

 

แค่การเลือกตั้งไม่พอที่จะสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในวันเลือกตั้งเราควรไปกาช่องสนับสนุนพรรคที่ต้านทหาร แต่แค่นั้นไม่พอ

พรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนว่าต้านเผด็จการ และจะลบผลพวงของเผด็จการประยุทธ์ จะต้องทำมากกว่านี้ เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม การเลือกตั้งดังกล่าวจะเป็น “ละครประชาธิปไตย” ภายใต้กรอบเผด็จการทหารที่ต้องการสืบทอดอำนาจไปข้างหน้าอีก 20 ปี

ทั้งรัฐธรรมนูญทหาร แผนการเมืองในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของทหาร การแต่งตั้งสว. การแต่งตั้งตุลาการ การเขียนกฏหมายเลือกตั้ง และการแต่งตั้ง กกต.ฯลฯ จะมีผลในการทำให้การเลือกตั้งไม่เสรี และไม่เป็นไปตามกติกาประชาธิปไตย เพราะจะมีการกำหนดว่าพรรคการเมืองสามารถเสนอนโยบายอะไรบ้าง และจะมีการมัดมือรัฐบาลในอนาคตที่มาจากการเลือกตั้ง

ดังนั้นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทหาร และการลบผลพวงของเผด็จการประบุทธ์ จะเป็นเรื่องที่ “ผิดกฏหมาย” ตามคำนิยามของเผด็จการ แต่ทั้งๆ ที่ผิดกฏหมายเผด็จการ มันเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะมีความชอบธรรมสูงตามมาตรฐานประชาธิปไตย และการได้มาซึ่งประชาธิปไตยและเสรีภาพในทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย ล้วนแต่ผ่านกระบวนการของการฝืนกฏหมายทั้งสิ้น

อย่าลืมว่าเผด็จการของ “ประยุทธ์มือเปื้อนเลือด” ชอบอ้างว่าทำตามกฏหมายเสมอ ก็แน่นอนล่ะ!กฏหมายของมัน มันกับพรรคพวกล้วนแต่ร่างเองออกเองทั้งนั้น

ประเด็นสำคัญคือ ถ้าพรรคการเมืองที่คัดค้านเผด็จการชนะละครการเลือกตั้งในอนาคต จะเอาพลังที่ไหนมาฝืนกฏหมายเผด็จการ? คำตอบคือต้องผสมความชอบธรรมจากการชนะการเลือกตั้ง กับพลังของขบวนการมวลชนนอกรัฐสภา เพื่อไปคานเครื่องมือของเผด็จการ

สรุปแล้วพรรคการเมืองเหล่านี้ ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายมวลชนที่จะนำไปสู่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตย ต้องมีการลงพื้นที่เพื่อสร้างเครือข่ายและชวนให้มวลชนออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่เรายังไม่เห็นว่าพรรคไหนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย มีแต่การให้ความสำคัญกับการหาเสียงสำหรับละครการเลือกตั้งในอนาคตอย่างเดียว

แน่นอนฝ่ายทหารจะจับตาดูพรรคการเมืองอย่างใกล้ชิด แต่บางทีมันต้องมีการแบ่งงานกันทำในหมู่สมาชิกและแกนนำของพรรค

ในยุคนี้การสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยต้องทำแบบไม่เล่นพรรคเล่นพวก ซึ่งแปลว่าต้องมีการสร้างแนวร่วมระหว่างหลายกลุ่ม ไม่ใช่คุมโดยพรรคใดหรือกลุ่มใดอย่างผูกขาด ต้องมีการเปิดกว้างยอมรับหลากหลายมุมมองภายใต้จุดยืนร่วมสำคัญๆ เกี่ยวกับการลบผลพวงของเผด็จการ

บทเรียนอันหนึ่งที่สำคัญสำหรับยุคนี้มาจากขบวนการเสื้อแดง ที่เคยเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย มันมีสองบทเรียนที่สำคัญคือ หนึ่ง ถ้าไม่มีพรรคคอยประสานงานและกระตุ้นให้เกิดมันก็ไม่เกิดแต่แรก สอง การที่พรรคของทักษิณนำขบวนการเสื้อแดงมีผลทำให้เสื้อแดงถูกแช่แข็งและทำลายโดยนักการเมืองของทักษิณได้ เมื่อพรรคมองว่าไม่ควรเคลื่อนไหวต่อทั้งๆ ที่สังคมตกอยู่ภายใต้เผด็จการ

จริงๆ ประสบการณ์ทั่วโลกสอนให้เรารู้ว่า พรรคที่จะให้ความสนใจกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างจริงจัง จากล่างสู่บน มักเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายที่มีฐานในขบวนการสหภาพแรงงานและคนชั้นล่างโดยทั่วไป และจะเป็นพรรคที่ไม่ได้หมกมุ่นกับรัฐสภาจนลืมเรื่องอื่นๆ อีกด้วย แต่พรรคการเมืองแบบนี้ยังไม่ถูกสร้างขึ้นมาในไทยอย่างจริงจัง [อ่านเพิ่ม https://bit.ly/2Mqo90n ]