Tag Archives: เหยียดสีผิว

วันต่อต้านการเหยียดสีผิวเชื้อชาติสากล

วันที่ 20 มีนาคมปีนี้เป็นวันต่อต้านการเหยียดสีผิวเชื้อชาติขององค์กรสหประชาชาติ และในหลายๆประเทศทั่วโลกมีการจัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์ต่อต้านการเหยียดสีผิวเชื้อชาติ แต่ในไทย พลเมืองส่วนใหญ่ยังขาดจิตสำนึกในเรื่องนี้ เพราะพรรคการเมืองสังคมนิยมที่ชูประเด็นเรื่องแบบนี้ยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา

เราไม่ควรนิ่งนอนใจคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาของคนในประเทศอื่นๆ เท่านั้น เพราะเมื่อเกิดปัญหาทางสังคม ก็มีคนไม่น้อยที่ออกมาโทษคนมุสลิมหรือแรงงานข้ามชาติ พลเมืองจำนวนมากในไทยไม่แคร์เรื่องชาวโรฮิงญา เวลาทหารฆ่าคนจากชนเผ่าก็มีการมองว่าพวกนี้ “ไม่ใช่คนไทย” และเป็นพวกค้ายาเสพติด “ทุกคน” และเวลาเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปาตานี พลเมืองจำนวนมากก็จะพูดถึง “โจรใต้” แทนที่จะมองว่าทหารไทยระดับนายพลคือโจรตัวจริง แต่อย่าลืมว่ามีพลเมืองชาวมุสลิมจำนวนมาก ที่ต่อต้านและเกลียดชังเผด็จการทหารที่ครองอำนาจอยู่ในสังคมเราทุกวันนี้

คาร์ล มาร์คซ์ เคยตั้งข้อสังเกตว่าถ้ากรรมาชีพในประเทศหนึ่งไม่เลิกดูถูกคนจากประเทศอื่น เขาจะไม่มีวันปลดแอกตนเองได้ และเราอาจพูดได้ว่า ตราบใดที่คนไทยจำนวนมากยังเหยียดเชื้อชาติอื่นๆ คนไทยก็ย่อมเป็นทาสของเผด็จการและชนชั้นปกครองต่อไป และไม่มีวันปลดแอกตนเองกับสร้างเสรีภาพในสังคมได้

คนไทยจำนวนมากยังไม่เลิกใช้คำเหยียดหยามกับคนเชื้อชาติอื่น มีการใช้คำว่า “แรงงานเถื่อน” “แรงงานต่างด้าว” “แขก” “ญวน” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” เกือบจะเป็นสันดาน

เมื่อสามปีก่อนองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้รายงานว่ารัฐบาลเผด็จการไทยมีการละเมิดสิทธิของผู้ลี้ภัยอย่างต่อเนื่อง เช่นการจับคุมผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามและเขมร โดยที่หลายคนถือบัตรผู้ลี้ภัยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ ทุกวันนี้สถานการณ์ยังไม่เปลี่ยนแปลง

ปัญหาใหญ่มาจากการที่รัฐบาลไทย ทุกรัฐบาล ไม่ยอมเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951และพิธีสารปี 1967 ดังนั้นผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในไทยถูกปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย เหมือนเป็นอาชญากร และมีหลายกรณีที่รัฐบาลไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปสู่คุกและการถูกทำร้ายในประเทศเดิม เช่นตุรกี เขมร และจีน

ส่วนผู้ลี้ภัยจากสงครามและความรุนแรงของทหารพม่าส่งผลให้คนเป็นแสนเดินข้ามพรมแดนเข้ามาในไทย แต่คนที่อยู่ต่อได้ถูกรัฐบาลไทยกักไว้ในค่ายผู้ลี้ภัยแถบชายแดน โดยที่ไม่มีสิทธิที่จะออกจากค่าย รัฐบาลไม่มีการบริการสาธารณสุข ไม่มีการให้การศึกษากับเด็ก และมีการห้ามไม่ให้ทำงานเลี้ยงชีพ คนที่แอบไปทำงานก็โดนนายจ้างและตำรวจเอาเปรียบเพราะเป็นแรงงาน “ผิดกฏหมาย”

แต่ชาวสังคมนิยมถือว่าผู้ลี้ภัยทุกคนเป็นมนุษย์ เราปฏิเสธคำจำกัดความที่ตราหน้าเพื่อนมนุษย์ว่าผิดกฏหมาย และเราจะไม่ยอมให้พวกชนชั้นปกครองชาตินิยมแบ่งแยกคนธรรมดาตามสีผิวหรือเชื้อชาติ การพูดว่าผู้ลี้ภัยเป็น “ภาระ” กับประเทศไม่เป็นความจริง เพราะถ้าเขาสามารถทำงาน เขาจะร่วมพัฒนาสังคมของเรา การพูดว่าเขาจะมา “แย่งงานคนไทย” ก็ไม่จริงอีกเพราะเขาพร้อมจะทำงานที่คนไทยไม่อยากทำ และเมื่ออายุของประชากรเพิ่มขึ้นสังคมเราก็จะขาดแรงงาน คำพูดแบบนี้ล้วนแต่เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาของระบบทุนนิยม โดยชนชั้นปกครอง เพื่อให้เรามองไม่เห็นการเอารัดเอาเปรียบและการกอบโกยกำไรของชนชั้นนายทุน สังคมเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร เพียงแต่ว่ามันไปกระจุกอยู่ในมือของคนชั้นสูง 5% ของสังคม และถูกใช้ในทางที่ผิด เช่นใช้ซื้ออาวุธให้ทหารที่ฆ่าประชาชนและทำลายประชาธิปไตย หรือถูกใช้เพื่อให้คนชั้นสูงเสพสุขมหาศาลเป็นต้น

ประเด็นปัญหาสำหรับคนที่อยากปลดแอกตนเอง อยากเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพคือ มันมีสองขั้วความคิดในทุกสังคมทั่วโลก

ขั้วความคิดแรกเป็นแนวคิดที่มาจากชนชั้นปกครองและชวนให้เราจงรักภักดีต่อเขาภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งในไทยรวมถึงลัทธิราชานิยมด้วย แนวคิดนี้ชวนให้เราหมอบคลานต่อเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์ นายพลมือเปื้อนเลือด หรือ “ท่านผู้ใหญ่” และมันชวนให้เรามองว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกับผู้ที่กดขี่ขูดรีดเรา “เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน” นี่คือที่มาของความคิดที่เหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นแอกเพื่อควบคุมให้คนส่วนใหญ่เป็นไพร่

ขั้วความคิดที่สองเป็นแนวคิดที่เกิดจากจิตสำนึกทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพและคนชั้นล่างทั่วไป มันไม่ได้เกิดโดยอัตโนมัติ มันอาศัยอยู่ในสังคมได้เพราะมีการต่อสู้ และนักสังคมนิยมและนักสิทธิมนุษยชนมักจะทวนกระแสความคิดกระแสหลัก และเสนอแนวคิดประเภท “สามัคคีชนชั้นล่างข้ามเชื้อชาติ” ความคิดขั้วนี้จะปฏิเสธการรักชาติ แต่จะรักเพื่อนประชาชนแทน จะเสนอให้คนไทยธรรมดาสมานฉันท์กับคนเชื้อชาติอื่น และต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครอง เพื่อให้เราร่วมกันปลดแอกตนเองและสังคม

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเห็นว่าตราบใดที่เรายังรักชาติของชนชั้นปกครอง และตราบใดที่เรามองว่าเราอยู่ข้างเดียวกับคนที่เหยียบหัวเรา เราไม่มีวันต่อสู้เพื่อเสรีภาพได้

ใจ อึ๊งภากรณ์

ดอนัลด์ ทรัมป์ ปลุกม็อบเพื่ออะไร?

หลายคนอาจมองว่า ดอนัลด์ ทรัมป์ พยายามยึดอำนาจผ่านการปลุกม็อบที่บุกเข้าไปในรัฐสภาสหรัฐ แต่นั้นไม่ใช่วัตถุประสงค์

ทรัมป์ มีเป้าหมายมาตลอดที่จะผลักดันการเมืองในสหรัฐไปทางขวา ซึ่งเขามองว่าเป็นประโยชน์กับฐานเสียงของตนเอง แต่พอแพ้การเลือกตั้งและต้องลงจากตำแหน่ง เป้าหมายของเขากลายไปเป็นการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวของพวกขวาจัด ที่เกลียดคนก้าวหน้าทุกฝ่ายและเหยียดสีผิวอย่างรุนแรง ทรัมป์ต้องการที่จะมีบทบาทเป็นปากเสียงของขบวนการนี้ในอนาคต

เราเห็น ทรัมป์ พูดจาด่าผู้ลี้ภัยและคนที่อพยพหนีความยากจนมาสู่ประเทศตะวันตก ในลักษณะที่ไม่ต่างเลยจากพวกฟาสซิสต์ และในขณะที่ทรัมป์พูดจาสนับสนุนกลุ่มขวาจัดในสหรัฐ เราต้องเข้าใจว่า ทรัมป์ เองไม่ใช่ ฟาสซิสต์ เพียงแต่ต้องการที่จะส่งเสริมการเมืองฝ่ายขวาผ่านการร่วมมือกับฟาสซิสต์

แน่นอน ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐที่เลวร้ายที่สุดคนหนึ่ง เพราะต่อต้านสิทธิสตรี และอวดว่าตนเองละเมิดผู้หญิงหลายคน ในเรื่องสิทธิมนุษยชน ทรัมป์ เป็นคนที่เหยียดคนที่ไม่ใช่คนผิวขาวชาวอเมริกัน เขาพูดจาดูถูกคนจากประเทศอื่น เช่นชาวเม็กซิโก ว่าเป็นพวก “ขี้ขโมย” ที่นำอาชญากรรมเข้าประเทศ เขาดูถูกคนพื้นเมืองอเมริกัน และคัดค้านคนที่อพยพเข้ามาจากประเทศอื่นทั้งๆ ที่พ่อแม่ของ ทรัมป์ เองไม่ได้เกิดที่สหรัฐ นอกจากนี้ ทรัมป์ พร้อมจะอุดหนุนทุนใหญ่ของสหรัฐ เช่นทุนพลังงานหรือการเกษตร โดยการปิดหูปิดตาถึงปัญหาโลกร้อนและการที่สิ่งแวดล้อมถูกทำลายจากมลพิษ

แต่ ไบเดน ไม่มีนโยบายอะไรที่ก้าวหน้าเลย เพราะไบเดนเป็นนักการเมืองกระแสหลักอนุรักษ์นิยมของฝ่ายทุน สองพรรคใหญ่ในสหรัฐสนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มทุน ไม่มีพรรคใดที่สนับสนุนผลประโยชน์ของกรรมาชีพหรือคนจนเลย

จริงอยู่ภายในพรรคเดโมแครตมีกลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย และกลุ่มนี้มีผู้แทนที่ได้รับการเลือกตั้งในสภาหยิบมือหนึ่ง แต่กลุ่มนี้จะไม่มีอิทธิพลแต่อย่างใดกับรัฐบาลของไบเดน และกลายเป็น “ไม้ประดับ” ที่สร้างภาพความก้าวหน้าปลอมของพรรคเท่านั้น

ไบเดนชนะเพราะสาเหตุเดียวเท่านั้นคือเขาไม่ใช่ทรัมป์ ไม่มีใครตื่นเต้นอะไรกับนโยบายของเขา และเขาเกือบแพ้เพราะคนจนและกรรมาชีพส่วนหนึ่งไม่อยากออกมาลงคะแนนให้ใคร และอีกส่วนโดนทรัมป์ชักชวนให้หาแพะรับบาปสำหรับปัญหาความยากจน

ม็อบฝ่ายขวาบุกรัฐสภา

ถ้าเปรียบเทียบการรับมือของตำรวจสหรัฐต่อม็อบฝ่ายขวา กับการรับมือกับการประท้วงของคนผิวดำเรื่องการโดนตำรวจยิงตาย จะเห็นว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสังคมสหรัฐเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการเหยียดสีผิว โดยเฉพาะในส่วนที่เชื่อมโยงกับอำนาจรัฐ

ตำรวจรับมือกับการประท้วงของคนผิวดำ

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายซ้ายและผู้รักความเป็นธรรมในหลายประเทศจะต้องออกมารับมือ วิธีรับมือคือการต่อต้านพวกฟาสซืสต์ และพวกเหยียดสีผิวเชื้อชาติ และที่สำคัญคือต้องต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อระงับนโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดที่นำไปสู่การรัดเข็มขัดที่มาพร้อมกับวิกฤตโควิด ต้องมีการสนับสนุนและปลุกระดมการนัดหยุดงานและเรียกร้องค่าจ้างสวัสดิการเพิ่ม เพราะถ้าไม่มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายแบบนี้ ฝ่ายขวาจะครองถนนและสังคม

ใจ อึ๊งภากรณ์

สส.พรรคทหารใช้วาจาเหยียดเชื้อชาติกลางสภา

กรุง ศรีวิไล สส,พรรคพลังประชารัฐ พูดจาเหยียดเชื้อชาติ รังสิมันต์ โรม,สส.พรรคอนาคตใหม่ กลางสภา แต่ไม่มีใครประท้วงหรือลงโทษไล่ออกจากสภา

กรุง ศรีวิไลพูดว่า”ผมเป็นลูกทุ่งลูกชาวนาโดยกำเนิด ไม่ใช่ลูกครึ่ง ครึ่งลูกที่ไหน ความสำคัญที่สุดในชีวิตของความเป็นคนไทยนั้นสำคัญที่สุด”

นี่คืออีกตัวอย่างว่าทำไมสังคมไทยเป็นสังคมเหยียดเชื้อชาติ

ถ้าพลเมืองไทยไม่ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติในสังคมเรา คนไทยก็จะเป็นทาสต่อไป เพราะลัทธิเหยียดเชื้อชาติเป็นส่วนหนึ่งของการคลั่งชาติ ซึ่งดึงคนไปกราบเท้าชนชั้นปกครอง แทนที่จะมองว่าเรามีผลประโยชน์ทางชนชั้นที่ต่างจากพวกข้างบนโดยสิ้นเชิง

ถึงเวลาที่เราต้องสร้างกระแสปฏิเสธการเหยียดเชื้อชาติและศาสนา

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อวาน วันที่ 18 มีนาคม เป็นวันต้านการเหยียดเชื้อชาติสากล ในยุโรปและสหรัฐเริ่มมีการสร้างขบวนการต้านการเหยียดเชื้อชาติอย่างจริงจัง การเหยียดเชื้อชาติที่พูดถึงนี้รวมถึงการเหยียดศาสนาอิสลาม ซึ่งกลายเป็นวิธีแสดงอคติกับคนที่เชื้อชาติและสีผิวแตกต่างออกไป ขบวนการต้านการเหยียดเชื้อชาติที่กำลังสร้างขึ้นมาในหลายประเทศ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนักการเมืองฝ่ายขวาสุดขั้วกำลังฉวยโอกาสกับความไม่พอใจของพลเมืองจำนวนมากต่อ ระบบทุนนิยม นโยบายการรัดเข็มขัดที่มาจากวิกฤตทุนนิยม และการที่นักการเมืองกระแสหลักจากหลายพรรคไม่สนใจปัญหาของคนธรรมดา

ตัวอย่างของนักการเมืองฝ่ายขวาดังกล่าวในสหรัฐคือ ประธานาธิบดีทรัมพ์ และในยุโรปพรรคฟาสซิสต์กำลังมาแรงในฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย และที่อื่น แม้แต่นักการเมืองกระแสหลักที่ไม่ใช่ขวาสุดขั้ว ก็ถูกลากไปหรือฉวยโอกาสใช้วาจาเหยียดเชื้อชาติตามพวกฟาสซิสต์

สาเหตุสำคัญที่พวกนักการเมืองฝ่ายขวาเหล่านี้ฉวยโอกาสใช้วาจาเหยียดเชื้อชาติด้วยความสำเร็จ ก็เพราะมันเป็นวิธีการหาแพะรับบาปเพื่อโทษ “คนอื่น” ในเรื่องความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจและสังคม และเป็นวิธีเบียงเบนประเด็นจากผู้ร้ายตัวจริงและสาเหตุจริงของความเดือดร้อนดังกล่าว ผู้ร้ายตัวจริงคือพวกนายทุนและนักการเมืองของฝ่ายทุน ที่คอยผลักภาระจากวิกฤตเศรษฐกิจไปสู่ชนชั้นกรรมาชีพผู้ทำงาน  เพื่อเพิ่มกำไรให้กลุ่มทุน กดค่าแรง และหวังทำลายขบวนการแรงงานกับสวัสดิการที่มีอยู่ในสังคม นอกจากนี้การนำยาพิษแห่งการโทษ “คนต่าง” ผ่านลัทธิการเหยียดเชื้อชาติ เป็นวิธีหนึ่งที่สร้างความแตกแยกในหมู่พลเมืองผู้ทำงาน เพื่อหวังจะทำลายขบวนการแรงงานและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ก้าวหน้า

นี่คือสาเหตุที่การประท้วงประธานาธิบดีทรัมพ์ที่สหรัฐ และการเดินขบวนต้านการเหยียดเชื้อชาติในหลายเมืองใหญ่ของยุโรปมีความสำคัญยิ่ง เพราะเป็นวิธีคานกระแสยาพิษของพวกฝ่ายขวา และปูทางไปสู่การสร้างขบวนการต้านนโยบายรัดเข็มขัดและการทำลายรัฐสวัสดิการของฝ่ายขวาด้วย

ประท้วงที่กลาซโกสก็อตแลนด์

ประท้วงที่กรีซ

ประท้วงที่ลอนดอน

สำหรับพวกเราในประเทศไทย เราไม่ควรนิ่งนอนใจคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาของคนในประเทศอื่น เพราะเมื่อเกิดการปราบปรามธรรมกาย ก็มีคนไม่น้อยที่ออกมาโทษคนมุสลิม เวลามีอาชญากรรมเกิดขึ้น รัฐและประชาชนไม่น้อยก็ออกมาโทษคนงานจากประเทศเพื่อบ้าน พลเมืองจำนวนมากในไทยไม่แคร์เรื่องชาวโรฮิงญา เวลาทหารฆ่าคนจากชนเผ่าก็มีการมองว่าพวกนี้ “ไม่ใช่คนไทย” และเป็นพวกค้ายาเสพติดทุกคน และเวลาเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงที่ปาตานี พลเมืองจำนวนมากก็จะพูดถึง “โจรใต้” แทนที่จะมองว่าทหารไทยระดับนายพลคือโจรตัวจริง

ชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ ถูกทหารฆ่าวิสามัญ

อย่าลืมว่ามีพลเมืองชาวมุสลิมจำนวนมาก ที่ต่อต้านและเกลียดชังเผด็จการทหารที่ครองอำนาจอยู่ในสังคมเราทุกวันนี้ การที่มีกระแสเกลียดชังชาวมุสลิมจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้กระแสต้านเผด็จการอ่อนแอ

คาร์ล มาร์คซ์ เคยตั้งข้อสังเกตว่าถ้ากรรมาชีพในประเทศหนึ่งไม่เลิกดูถูกคนจากประเทศอื่น เขาจะไม่มีวันปลดแอกตนเองได้ และเราอาจพูดได้ว่า ตราบใดที่คนไทยจำนวนมากยังเหยียดเชื้อชาติอื่นๆ คนไทยก็ย่อมเป็นทาสของเผด็จการและชนชั้นปกครองต่อไป และไม่มีวันปลดแอกตนเองกับสร้างเสรีภาพในสังคมได้

คนไทยจำนวนมากยังไม่เลิกใช้คำเหยียดหยามกับคนเชื้อชาติอื่น มีการใช้คำว่า “แขก” “ญวน” “ต่างด้าว” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” เป็นสันดาน และมีการดูถูกแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไร้จิตสำนึกโดยสิ้นเชิง

ประเด็นปัญหาสำหรับคนที่อยากปลดแอกตนเอง อยากเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพคือ มันมีสองขั้วความคิดในทุกสังคมทั่วโลก

ขั้วความคิดแรกเป็นแนวคิดที่มาจากชนชั้นปกครองและชวนให้เราจงรักภักดีต่อเขาภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งในไทยรวมถึงลัทธิราชานิยมด้วย แนวคิดนี้ชวนให้เราหมอบคลานต่อเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์ นายพลมือเปื้อนเลือด หรือ “ท่านผู้ใหญ่” และมันชวนให้เรามองว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกับผู้ที่กดขี่ขูดรีดเรา “เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน” นี่คือที่มาของความคิดที่เหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นแอกเพื่อควบคุมให้คนส่วนใหญ่เป็นไพร่

ขั้วความคิดที่สองเป็นแนวคิดที่เกิดจากจิตสำนึกทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพและคนชั้นล่างทั่วไป มันไม่ได้เกิดโดยอัตโนมัติ มันอาศัยอยู่ในสังคมได้เพราะมีการต่อสู้ และนักสังคมนิยมและนักสิทธิมนุษยชนมักจะทวนกระแสความคิดกระแสหลัก และเสนอแนวคิดประเภท “สามัคคีชนชั้นล่างข้ามเชื้อชาติ” ความคิดขั้วนี้จะปฏิเสธการรักชาติ แต่จะรักเพื่อนประชาชนแทน จะเสนอให้คนไทยธรรมดาสมานฉันท์กับคนเชื้อชาติอื่น และต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครอง เพื่อให้เราร่วมกันปลดแอกตนเองและสังคม

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเห็นว่าตราบใดที่เรายังรักชาติของชนชั้นปกครอง และตราบใดที่เรามองว่าเราอยู่ข้างเดียวกับคนที่เหยียบหัวเรา เราไม่มีวันต่อสู้เพื่อเสรีภาพได้

โมฮัมมัด อาลี นักมวยผู้มีจิตสำนึกทางการเมือง

ใจ อึ๊งภากรณ์

คนเวียดนามไม่เคยเรียกผมเป็น นิกเกอร์

 นี่คือคำพูดอันมีชื่อเสียงของนักมวยแชมป์โลกชื่อโมฮัมมัด อาลี และคำว่า “นิกเกอร์” เป็นคำหยาบคายเหยียดสีผิวที่คนผิวขาวหลายคนใช้เรียกคนผิวดำ ในไทยคนไทยจำนวนหนึ่งก็ใช้คำว่า “ไอ้มืด”  ในลักษณะเหยียดสีผิวเช่นกัน

ในปี 1967 โมฮัมมัด อาลี เอ่ยคำพูดดังกล่าวออกมาเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐบาลถามเขาว่า ทำไมเขาฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ยอมถูกเกณฑ์ทหารไปรบในเวียดนาม ในคลิปวิดีโอข้างใต้ อาลี อธิบายว่าเขาจะไม่เดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปทำสงครามฆ่าพี่น้องคนผิวคล้ำๆ หรือคนจนที่อดอยากต้องลุยโคลน  “คนเหล่านี้ไม่เคยเรียกผมว่านิกเกอร์ ไม่เคยลงประชาทัณฑ์ฆ่าพวกผม ไม่เคยเผาบ้านพวกผม ไม่เคยข่มขืนแม่ของพวกเรา ผมจะไปยิงพวกนี้เพื่ออะไร? เพื่อมหาอำนาจอเมริกาหรือ? ผมไม่ไปหรอก ลากผมเข้าคุกเลย!” และในคลิปเดียวกัน เมื่อเถียงกับนักศึกษาผิวขาวฝ่ายขวาเรื่องการไม่ยอมไปรบที่เวียดนาม เขาอธิบายว่าคนจีน คนญี่ปุ่น คนเวียดนามไม่ใช่ศัตรูของเขา “ศัตรูของผมคือคนผิวขาว พวกคุณไม่เคยสนับสนุนสิทธิเสรีภาพสำหรับคนผิวดำอย่างผม แล้วคุณจะให้ผมไปรบเพื่อพวกคุณหรือ?”

ดูวิดีโอ https://youtu.be/vd9aIamXjQI

ในยุคนั้นคนผิวดำหลายคนไม่เห็นด้วยกับการไปรบเพื่อรับใช้รัฐบาลสหรัฐทีกดขี่ตัวเองมาตลอด และเริ่มมีการตื่นตัวและสร้างองค์กรเคลื่อนไหวของคนผิวดำ เช่นพรรคเสือดำ นอกจากนี้ทหารสหรัฐผิวดำที่ไปรบที่เวียดนาม เมื่อกลับมาท่ามกลางการกบฏของกองทัพ ก็กลายเป็นพลังสำคัญในการต่อสู้ของคนผิวดำเพื่อสิทธิเสรีภาพอีกด้วย ปี ค.ศ. 1968 เป็นปีที่มีกระแสการต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำและคนอื่นๆ ทั่วโลก

อ่านเพิ่ม: http://bit.ly/1UBwfkT

อาลี เปลี่ยนชื่อจากชื่อภาษาอังกฤษ และหันไปนับถือศาสนาอิสลาม เพราะเขามองว่าพวกที่นับถือศาสนาคริสต์เป็นพวกที่กดขี่คนผิวดำมานาน นักต่อสู้เพื่อคนผิวดำ “มัลคอม เอกส์” ก็ทำเช่นกัน และในยุคนั้นพรรคเสือดำก็จับอาวุธเพื่อปกป้องคนผิวดำจากความรุนแรงของตำรวจอีกด้วย

โมฮัมมัด อาลี ปราศรัยในการประชุมองค์กร "มุสลิมดำ"
โมฮัมมัด อาลี ปราศรัยในการประชุมองค์กร “มุสลิมดำ”

อ่านเพิ่ม: http://bit.ly/1U4JADz

 

มัลคอม เอกส์
มัลคอม เอกส์

มัลคอม เอกส์ กับ โมฮัมมัด อาลี
มัลคอม เอกส์ กับ โมฮัมมัด อาลี

คนผิวดำในสหรัฐเดิมถูกกวาดต้อนมาจากอัฟริกา แล้วถูกขายเป็นทาสเพื่อทำงานในไร่ฝ้ายและไร่อ้อย มันทำให้เราเข้าใจได้ว่าระบบทุนนิยมของสหรัฐสร้างขึ้นมาบนรากฐานการกดขี่ขูดรีดทาสผิวดำ ต่อมาหลังจากที่มีการเลิกทาส คนผิวดำยังถูกกดขี่มาตลอด และไม่มีสิทธิเสรีภาพเหมือนคนผิวขาวทั้งๆที่สหรัฐอ้างตัวเป็นศูนย์กลางของ “โลกเสรี” ในยุคสงครามเย็น การอ้างตัวเป็นโลกเสรีของสหรัฐเป็นข้ออ้างในการกดขี่ประเทศอื่นอีกด้วย โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐทำสงครามอันป่าเถื่อนในเวียดนามเพื่อยับยั้งการปลดปล่อยตัวเองของประชาชนเวียดนาม

ขณะที่ประชาชนตะวันตกในยุโรปและสหรัฐกำลังลุกขึ้นสู้ “แนวร่วมปลดแอกแห่งชาติเวียดนาม” หรือ “เวียดกง” บุกเข้าไปในสถานทูตสหรัฐกลางเมืองไซ่ง่อนและยิงปืนออกมาสู้กับทหารอเมริกันในการลุกฮือ “ตรุษเวียดนาม” การรุกสู้ของเวียดกงครั้งนี้ เป็นสัญญาณสำคัญที่ส่งไปทั่วโลก เพื่อพิสูจน์ว่าสหรัฐไม่สามารถเอาชนะกองทัพอาสาสมัครของประเทศยากจนเล็กๆในเอเชียได้ สัญญาณนี้เป็นเครื่องเตือนใจและให้กำลังใจกับผู้ถูกกดขี่ทั่วโลกว่าการรวมตัวต่อสู้ของ “ผู้น้อย” ทั้งหลายเอาชนะยักษ์ใหญ่ได้ และคนหนุ่มสาวไทยก็เรียนบทเรียนนี้เช่นกัน เหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ เกิดขึ้น แค่ 5 ปีหลังจากนั้น และเป็นแรงบันดาลใจต่อไปให้กับนักศึกษาอินโดนีเซียในการเผชิญหน้ากับเผด็จการซูฮาร์โต และนักศึกษาในประเทศกรีซอีกด้วย

โมฮัมมัด อาลี เป็นที่เคารพรักใคร่ของประชาชนผู้ถูกกดขี่ทุกสีผิวทั่วโลก เพราะเขาเป็นคนผิวดำที่ไม่ยอมก้มหัวจำนนต่อระบบทุนนิยมและอำนาจรัฐที่เหยียดสีผิว เขาให้กำลังใจกับผู้ถูกกดขี่ทั้งหลาย และเป็นส่วนหนึ่งของกระแสรุกสู้ในยุคนั้นด้วย

ถ้าท่านเคารพ โมฮัมมัด อาลี และมองว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดี ท่านต้องชักชวนให้เพื่อนๆ คนไทยเลิกใช้คำหยาบคายเหยียดเชื้อชาติ เช่น “ไอ้มืด” “แขก” “ญวน” “เจ๊ก” หรือ “ฝรั่ง” และท่านต้องชักชวนเพื่อนฝูงมิตรสหายให้เลิกดูถูกคนงานข้ามชาติ คนมุสลิม หรือผู้ลี้ภัยอีกด้วย

 

ตราบใดที่คนไทยไม่ปฏิเสธการเหยียดเชื้อชาติ ก็คงยังเป็นทาสต่อไป

ใจ อึ๊งภากรณ์

คาร์ล มาร์คซ์ เคยตั้งข้อสังเกตว่าถ้ากรรมาชีพอังกฤษไม่เลิกดูถูกคนจากไอร์แลนด์ที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในอังกฤษ เขาจะไม่มีวันปลดแอกตนเองได้

หลังจากที่มีการเปิดโปงและเผยแพร่ข่าวทารุณกรรมที่คนไทยก่อกับชาวโรฮิงญา ในบทความและวิดีโอของ นสพ. “การ์เดี้ยน” เราอาจพูดได้ว่า ตราบใดที่คนไทยจำนวนมากยังเหยียดเชื้อชาติอื่นๆ คนไทยก็ย่อมเป็นทาสต่อไป และไม่มีวันปลดแอกตนเองกับสร้างเสรีภาพในสังคมได้

ในกรณีชาวโรฮิงญาที่หนีความรุนแรงที่รัฐบาลทหารพม่าปลุกปั่นให้ชาวพุทธคลั่งชาติก่อต่อเขา เราจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจระดับสูงของไทยได้แสวงหาผลประโยชน์จากการค้ามนุษย์ผู้โชคร้ายเหล่านั้น มีการกักตัวในค่ายกลางป่า มีการกักตัวบนเรือกลางทะเล มีการทุบตีคนที่ไม่ทำตามคำสั่ง มีการข่มขืนเด็กและผู้หญิงอย่างเป็นระบบ และเจ้าของเรือประมงก็ได้ประโยชน์ทั้งจากการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมอาหารทะเล และการขนส่งค้าขายมนุษย์อีกด้วย

แน่นอนมีคนไทยจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว มีชาวบ้านธรรมดาที่ออกไปช่วยชาวโรฮิงญา และเราจะไม่วิจารณ์ผู้ที่มีน้ำใจแบบนี้

แต่ที่น่าสลดใจคือ ถ้าพิจารณาสังคมไทยโดยรวมแล้ว คนส่วนใหญ่ไม่แคร์ ไม่มีการสร้างขบวนการประท้วงต่อต้านพฤติกรรมเลวทรามของพวกค้ามนุษย์ และไม่มีการรณรงค์ให้รับผู้ลี้ภัยเข้ามาอาศัยในประเทศไทยเพื่อเป็นเพื่อนร่วมสังคมกับเรา

ในเรื่องการคัดค้านการค้ามนุษย์และทารุณกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าถามคนไทยส่วนใหญ่ว่าเขาคิดอย่างไร เขาคงคัดค้าน ถึงแม้ว่าคงไม่พร้อมจะทำอะไร แต่เมื่อถามว่าควรรับผู้ลี้ภัยเข้าประเทศหรือไม่ เขาจะมองว่าไม่ควรรับ นอกจากนี้คนไทยจำนวนมากยังไม่เลิกใช้คำเหยียดหยามกับคนเชื้อชาติอื่น มีการใช้คำว่า “แขก” “ญวน” “ต่างด้าว” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” เหมือนเป็นสันดาน และมีการดูถูกแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านโดยไร้จิตสำนึก

ประเด็นปัญหาสำหรับคนที่อยากปลดแอกตนเอง อยากเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพคือ มันมีสองขั้วความคิดในทุกสังคมทั่วโลก

ขั้วความคิดแรกเป็นแนวคิดที่มาจากชนชั้นปกครองและชวนให้เราจงรักภักดีต่อเขาภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งในไทยรวมถึงลัทธิราชานิยมด้วย แนวคิดนี้ชวนให้เราหมอบคลานต่อเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์ นายพลมือเปื้อนเลือด หรือ “ท่านผู้ใหญ่” คนใด และมันชวนให้เรามองว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกับผู้ที่กดขี่ขูดรีดเรา “เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน” นี่คือที่มาของความคิดที่เหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นแอกเพื่อควบคุมให้คนส่วนใหญ่เป็นไพร่

ขั้วความคิดที่สองเป็นแนวคิดที่เกิดจากจิตสำนึกทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพและคนชั้นล่างทั่วไป มันไม่ได้เกิดโดยอัตโนมัติ มันอาศัยอยู่ในสังคมได้เพราะมีนักสังคมนิยมและนักสิทธิมนุษยชนที่ทวนกระแสความคิดกระแสหลัก และเสนอแนวคิดประเภท “สามัคคีชนชั้นล่างข้ามเชื้อชาติ” ความคิดขั้วนี้จะปฏิเสธการรักชาติ แต่จะรักเพื่อนประชาชนแทน จะเสนอให้คนไทยธรรมดาสมานฉันท์กับคนเชื้อชาติอื่น และต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครอง เพื่อให้เราร่วมกันปลดแอกตนเองและสังคม

ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะเห็นว่าตราบใดที่เรายังรักชาติของชนชั้นปกครอง และตราบใดที่เรามองว่าเราอยู่ข้างเดียวกับคนที่เหยียบหัวเรา เราไม่มีวันต่อสู้เพื่อเสรีภาพได้

ในยุโรปกระแสชาตินิยมเหยียดเชื้อชาติอื่น ถูกปลุกขึ้นมาโดยฝ่ายนายทุนในวิกฤตเศรษฐกิจปัจจุบันและในอดีต คนที่ยอมรับแนวนี้ไม่สามารถต่อสู้กับชนชั้นปกครองที่กำลังบังคับให้คนธรรมดารัดเข็มขัดเพื่อประโยชน์กลุ่มทุนได้ มีแต่ฝ่ายที่เน้นผลประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ และสมานฉันท์ข้ามพรมแดน ที่จะสามารถต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐสวัสดิการและมาตรฐานชีวิตของคนส่วนใหญ่ได้

ในไทยตราบใดที่เราไม่ต่อสู้อย่างถึงที่สุดเพื่อกำจัดพวกค้าและทรมาณชาวโรฮิงญา ตราบใดที่เราไม่สลัดความคิดที่มองว่าเรารับผู้ลี้ภัยเข้ามาอยู่กับเราไม่ได้ ตราบใดที่เราไม่เลิกใช้คำเหยียดหยามเชื้อชาติอื่น และตราบใดที่เรายังยืนเคารพธงชาติของชนชั้นปกครอง เราจะไม่มีวันต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยสมบูรณ์และความเท่าเทียมได้เลย

ความโง่เขลาในกะลาแลนด์

ใจ อึ๊งภากรณ์

ภาพคนไทยคนนี้ ที่ใส่เสื้อติดสัญญลักษณ์ของพวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์-นาซี ซึ่งเกลียดชังคนสีผิวอื่น สามารถสรุปความน่าสมเพชของสังคมไทยได้ดี เพราะพวก “พลังผิวขาว” ที่เป็นนาซี จะมองคนไทยว่าเป็น “ไอ้ชิ๊งค์” หรือ “ไอ้เจ็กตาตี๋” ที่ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว ในหลายประเทศที่กำลังมีปัญหาทางเศรษฐกิจ พวกฝ่ายขวาก็จะหาแพะรับบาป และไปโทษคนหน้าตา “ตี๋ๆ” แบบไทย เพื่อเบี่ยงเบนความโกรธแค้นของประชาชนต่อสภาพเศรษฐกิจ ทั่วยุโรป รวมถึงอังกฤษ ก็มีพรรคแบบนี้เกิดขึ้นมา

แต่คนไทยจำนวนมากที่เติบโตภายใต้กะลามะพร้าวแห่งลัทธิคลั่งชาติ จะไม่รู้เรื่องเลย มีแต่จะกราบไหว้ผู้ใหญ่ ยืนเคารพธงชาติ และร้องเพลงชาติ ในขณะที่ชนชั้นปกครองไทยทำรัฐประหาร ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ จับคนเข้าคุก และดูถูกประชาชนธรรมดาว่า “ไม่มีวุฒิภาวะ” ที่จะมีสิทธิ์มีเสียงหรือเลือกรัฐบาล

ยิ่งกว่านั้น ในทางเศรษฐกิจ ในขณะที่พวกชนชั้นปกครองไทยเสพสุข “ทำนาบนหลังพลเมืองส่วนใหญ่” และมีวิถีชีวิตพอๆ กับเศรษฐีจากประเทศร่ำรวย มันก็จะออกมาพูดว่า “การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสร้างปัญหา” “การนำภาษีประชาชนมาพยุงชาวไร่ชาวสวนเป็นสิ่งที่ผิด” หรือ “การมีระบบสาธารณสุขฟรีเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร” แต่มันก็ยังพยายามหลอกให้เราภูมิใจในประเทศชาติที่มันคุมและเป็นเจ้าของเบ็ดเสร็จ

ในกะลาแลนด์ ประชาชนถูกสอนให้รักชาติ ภูมิใจในความเป็นไทย ทั้งๆ ที่ไทยยังเป็นทาส มันเป็นกระบวนการ “ทำตัวเองเป็นทาส” ภายใต้การกล่อมเกลาในเรื่องชาตินิยมจากชนชั้นปกครอง คนไทยในภาพที่ใส่เสื้อ “พลังผิวขาว” ถือว่าทำตัวเองเป็นทาสอย่างสมบูรณ์

ดังนั้นคนจำนวนมากจะชื่นชมเวลาทีมฟุตบอล์ไทยชนะการแข่งขัน ทั้งๆ ที่หลายคนไม่สนใจฝีมือหรือเทคนิคในการเตะบอล์เลย

ดังนั้น ในมุมกลับกับลัทธิคลั่งชาติ มีคนรักประชาธิปไตยหลายคนที่ไปแอบชื่นชมราชินีอังกฤษเพราะที่อังกฤษไม่มี 112 ทั้งๆ ที่ราชวงศ์อังกฤษร่ำรวยมหาศาล จ่ายค่าจ้างกับคนรับใช้ต่ำ และเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองที่กดขี่ประชาชนอังกฤษ

เราลืมประเด็นชนชั้น เรามองแต่ประโนชาติ เพราะฝ่ายซ้ายไทยอ่อนแอหลังการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และแม้แต่ในยุค พคท. พรรคก็ยังชูแนวชาตินิยมอีกด้วย

ผลคือคนไทยจำนวนมากไม่รู้จักสมานฉันท์สามัคคีกับคนชนชั้นเดียวกันในประเทศอื่น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการที่คนไทยจำนวนมากใช้คำไม่สุภาพเวลาเอ่ยถึงคนเชื้อชาติหรือสีผิวที่ต่างออกไป ลักษณะภาษาที่คนไทยจำนวนมากใช้ จะไม่ต่างจากภาษาที่พวกฝ่ายขวาฟาสซิสต์-นาซี ที่ภูมิใจใน “พลังผิวขาว” ใช้ ตัวอย่างที่ดีคือการใช้คำว่า “แขก” “ฝรั่ง” “ไอ้มืด” “ไอ้ลาว” ฯลฯ ที่คนจำนวนมากใช้โดยไม่คิดอะไรเลย เพราะในกะลาแลนด์ชนชั้นปกครองพยายามส่งเสริมให้เราไม่คิด

อีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ คนไทยจำนวนหนึ่งไม่สนใจเรื่องที่มีสาระอะไรเลยที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ดังนั้นเราจะเห็นคนใส่เสื้อฮิตเลอร์และพูดชมฮิตเลอร์โดยไม่รู้เรื่องเลย ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์เป็นคนที่มองว่าเชื้อชาติตะวันออกแบบไทยๆ ต่ำต้อยกว่าคนผิวขาว และฮิตเลอร์เป็นจอมเผด็จการยิ่งกว่าไอ้ยุทธิ์มือเปื้อนเลือดที่แต่งตั้งตนเองเป็นหัวหน้าในไทยเสียอีก

แต่ทั้งหมดที่ผมพูดถึงนี้ไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของคนไทย มันมาจาการอยู่ใต้กะลามากกว่า ในสหรัฐอเมริกา คนจำนวนมากก็ไม่รู้เรื่องสิ่งที่เกิดในประเทศอื่นเช่นกัน และตำรวจสหรัฐขึ้นชื่อว่าเกลียดชังคนผิวดำและพร้อมจะฆ่าคนผิวดำโดยรู้ว่าตนเองจะไม่ถูกลงโทษ

กะลาที่ครอบหัวคนในสังคมเรา หรือในสังคมอื่น มันไม่ใช่กะลาถาวร มันยกออกได้ และในอดีตกะลาไทยก็ถูกเปิดออกมามากว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ที่สำคัญคือ แนวคิดที่จะปลดแอกคนจากการ “ทำตัวเองเป็นทาส” เป็นแนวคิดฝ่ายซ้ายสังคมนิยมที่เน้นเรื่องชนชั้นมากกว่าชาติ นี่คือสาเหตุที่เราต้องรื้อฟื้นแนวสังคมนิยมและสร้างพรรคฝ่ายซ้ายในไทย

สังคมไทยเป็นสังคมเหยียดเชื้อชาติ

ใจ อึ๊งภากรณ์

เมื่อตำรวจจับคน “เตะทราย” ใส่นักท่องเที่ยวบนชายหาด เพราะสตรีคนนั้นไม่ยอมเช่าเก้าอี้ริมหาด สังคมไทยก็ประโคมว่าเป็นคนเขมร และหลายคนคงมองว่า “คนไทยไม่ป่าเถื่อนแบบนี้” แต่ไม่มีใครถามอย่างจริงจัง ว่าเจ้านายคนงานเขมรคนนี้เป็นคนไทยหรือไม่ และเราต้องถามอีกว่ามีการกดดันให้คนงานมีพฤติกรรมแบบนี้หรือไม่

เมื่อทหารไทยภายใต้คำสั่งฆาตกร ประยุทธ์ อนุพงษ์ อภิสิทธิ์ สุเทพ ยิงคนเสื้อแดงมือเปล่าตายที่ราชประสงค์ คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งสร้างนิยายว่าคงต้องเป็น “ทหารเขมร” เพราะ “คนไทยไม่ฆ่าคนไทย” แต่แล้วข้อมูลจริงก็ออกมาว่าอำมาตย์คนไทยฆ่าประชาชนคนไทยที่ราชประสงค์ และปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็น ๑๔ ตุลา, ๖ ตุลา, พฤษภา ๓๕ หรือยุควิกฤตปัจจุบัน

ทุกวันนี้มีคนไม่น้อยที่ใช้คำว่า “ลาว” แทนคำว่า “เสร่อ” “โง่” หรือ “ล้าหลัง”

ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากใช้คำว่า “แขก” เพื่อเหมารวมคนมาเลย์มุสลิมในปาตานี หรือคนอินเดีย ปากีสถาน อหร่าน อาหรับ ตุรกี หรือเพื่อนินทาคนเชื้อสายอินเดียหรืออิหร่านที่เป็นพลเมืองไทย มุมมองดูถูก “คนอื่น” แบบนี้มีส่วนในการทำให้ชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี กลายเป็นพลเมืองชั้นสองที่ถูกกดขี่ มันเป็นประเด็นสำคัญในสงครามกลางเมืองที่ดำรงอยู่ในภาคใต้

ทุกวันนี้คนไทยจำนวนมากใช้คำว่า “ไอ้มืด” ซึ่งแปลตรงกับคำเหยียดหยามภาษาอังกฤษ “Nigger” เพื่อกล่าวถึงคนผิวดำเชื้อสายจากทวีปอัฟริกา และมีการมองว่าคนอัฟริกาเป็นคนต้อยต่ำ สาวไทยจำนวนมากก็ใช้ครีมย้อมผิวตนเองให้ “ขาวขึ้น” เพื่อไม่ให้เหมือนคนต้อยต่ำ มีการยกอคติเหยียดสีผิวจากพวกฝ่ายขวาสุดขั้วในตะวันตก ที่มองว่า “ขาวคือสวย ดำคือน่าเกลียด”

ทุกวันนี้มีคนไทยจำนวนมาก รวมถึงนักวิชาการ  ที่ใช้คำว่า “ฝรั่ง” เพื่อเหมารวมและสร้างความต่างกับคนตะวันตก มันเป็นคำดูถูกจากโบราณ ไม่ต่างจากคำว่า “ผีขาว” ที่พวกชาตินิยมสุดขั้วในจีนใช้กัน

แต่คนไทยจำนวนมาก ไม่เคยสนใจจะศึกษาสังคมและประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นเลย พึงพอใจที่จะจมอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยฉบับอำมาตย์เท่านั้น มันเป็นสภาพเหยียดเชื้อชาติภายใต้ความโง่เขลา

คำเหล่านี้ที่เหมารวมเชื้อชาติต่างๆ ด้วยความดูถูก เพื่อเน้นความเลิศของ “ความเป็นไทย” ตรงกับแนวคิดของคนอย่างประยุทธ์ ที่ชอบพูดถึงประชาธิปไตยไทยๆ มันเป็นการเหมาว่าทุกคนในชาติหนึ่งจะเหมือนกันหมด มันเป็นการมองข้ามความหลากหลายและความขัดแย้งทางชนชั้นในทุกสังคม มันเหมือนคนโง่เหยียดสีผิวในตะวันตก ที่มองว่าคนไทยมีชื่อน่าขำ มีหน้าตาแบบ “ตาตี๋” และนักวิชาการหรือนักข่าวตะวันตกบางคน มองว่าคนไทยทุกคนเหมือนเด็ก ทำอะไรตลกๆ  กราบไหว้หมอบคลานต่อคนข้างบนด้วยความยินดี ยินดีขายร่างให้นักท่องเที่ยว และไร้จิตสำนึกทางการเมืองโดยสิ้นเชิง

เราก็น่าจะทราบดีว่า “ความเป็นไทย” มีความหลากหลาย และคนไทยมีหลายเชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษาปนกัน

ประชาชนในสังคมไทยถูกปั่นหัวโดยชนชั้นปกครองคลั่งชาติ ต้องร้องเพลงชาติ ยืนเคารพธงชาติ ซึ่งล้วนแต่เป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อผู้ที่กดขี่เราทั้งสิ้น ในประเทศที่ฝ่ายซ้ายและขบวนการแรงงานเจริญ เช่นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือประเทศในยุโรป การต่อสู้ของฝ่ายซ้ายและขบวนการแรงงงานมีส่วนสำคัญในการสร้างประชาธิปไตยและการลดกระแสเหยียดเชื้อชาติสีผิวที่แบ่งแยกเราเพื่อประโยชน์คนข้างบน

ผมนึกถึงคำเขียนของตรอทสกีเกี่ยวกับขบวนการฟาสซิสต์ในยุค 1930 ตรอทสกี้เขียนว่า “ชนชั้นกลางที่ก้มหัวต่อนายทุนใหญ่หวังจะกู้ศักดิ์ศรีทางสังคมด้วยการปรามชนชั้นกรรมาชีพและคนจน… พวกนี้มอมเมาตนเองในนิยายเกี่ยวกับความเลิศของเชื้อชาติตนเอง” ขณะนี้พลเมืองไทยไม่น้อย ก้มหัวให้อำมาตย์ ขยันใช้คำว่า “ท่าน” หรือศัพท์พิเศษอื่นๆ ในขณะที่เหยียดหยามคนที่ตัวเองมองว่าเป็น “คนต่าง” เพราะมอมเมากับนิยายความเลิศของ “ความเป็นไทย”

นี่คือแอกสำคัญทางความคิดที่เราต้องปลดออก ถ้าเราจะปลดแอกสังคมไทยจากเผด็จการ มาร์คซ์ เคยเขียนว่าตราบใดที่กรรมาชีพอังกฤษยังดูถูกคนไอริช กรรมาชีพอังกฤษไม่มีวันปลดแอกตนเอง ในไทยก็เช่นกัน ตราบใดที่คนไทยยังเหยียดเชื้อชาติอื่น คนไทยจะเป็นทาสต่อไป และเราจะไม่มีประชาธิปไตยและสังคมที่เป็นธรรม

อุดมการณ์ประชาธิปไตยมันมากกว่าแค่เรียกร้องรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ใจ อึ๊งภากรณ์

เป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งที่พลเมืองไทยจำนวนมากมองว่าตนเองเป็น “ผู้รักประชาธิปไตย” และนี่คือความหวังสำหรับอนาคตประเทศไทย

แต่อุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ใหญ่โตกว่าแค่การเรียกร้องให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง หรือการเรียกร้องให้พลเมืองทุกคนมีหนึ่งเสียงเท่ากัน

ถ้าเรามีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เราต้องปฏิเสธการเมืองแบบ “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่อาศัยเงินช่วยเหลือจากผู้เป็นใหญ่ เพราะท่อน้ำเลี้ยงกลายเป็นเครื่องมือในการควบคุมแนวทางและความคิด ทุกวันนี้คนที่เคยพึ่งพาเงินจากทักษิณหรือนักการเมืองเพื่อไทย จะถูกกดดันให้หยุดการเคลื่อนไหวและร่วมมือกับทหาร จะมีการพูดให้ “รอ” แล้วในปีสองปีสถานการณ์จะ “ดีขึ้น” แต่การที่คนคิดวิเคราะห์อะไรเองไม่เป็น เพราะไปพึ่งพาการนำของผู้ใหญ่ และไม่พึ่งตนเองในการเคลื่อนไหว จะสร้างประชาธิปไตยไม่ได้

ถ้าเรามีอุดมการณ์ประชาธิปไตย เราต้องไม่เหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว เพราะทุกคนต้องเท่าเทียมกันและได้รับการเคารพในฐานะเพื่อนมนุษย์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนรักประชาธิปไตยจำนวนมาก ไม่เคารพคนที่เข้ามาทำงานในไทยจากพม่า ลาว หรือเขมร และไม่เคารพชาวมาเลย์มุสลิมในภาคใต้ และคอยด่าการต่อสู้ของเขาเพื่อปลดแอกปาตานี

มันเป็นที่น่าเสียใจ ที่เพื่อนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยในยุโรป เหยียดคนผิวดำและมุสลิม และใช้คำหยาบคายที่พวกฟาสซิสต์ผิวขาวในยุโรปใช้ แถมเขาไม่เข้าใจว่าพวกคนผิวขาวในยุโรปที่เหยียดสีผิว ก็จะมองคนไทยที่ย้ายมาอยู่ในยุโรปว่าเป็นคนต่างชาติตาตี๋ที่น่ารังเกีจ ซึ่งควรถูกขับไล่ออกไปพร้อมๆ กับคนมุสลิม บางครั้งมีนักวิชาการที่อ้างตัวว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยที่เรียกคนผิวดำด้วยคำหยาบคายเช่นกัน อาจเป็นความเคยชิน แต่เป็นความเคยชินที่ไร้จิตสำนึก เราต้องร่วมกันเปลี่ยน

การดูถูกคนรักเพศเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ควรทำเช่นกัน เปรมอาจเป็นคนล้าหลังที่ต่อต้านประชาธิปไตย แต่เราไม่ควรใช้คำหยาบคายเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศมาใช้กับเขา

ถ้าเราจะสร้างขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย ที่จะเผชิญหน้ากับเผด็จการประยุทธ์ และล้มเผด็จการและผลพวงของ คสช. องค์กรของเราต้องมีประชาธิปไตยภายใน และแนวร่วมที่เราสร้างต้องยอมรับคนที่มีมุมมองหลากหลายถ้ามีจุดร่วมกันในการต่อต้านเผด็จการ แน่นอนเราเถียงกันและแข่งแนวเพื่อช่วงชิงการนำทางความคิดได้ และสิ่งนี้ต้องทำ แต่ไม่ควรมีความพยายามที่จะครอบงำคนอื่น เพราะการชี้นำกับการครอบงำไม่เหมือนกัน

เราต้องร่วมกันพัฒนาอุดมการณ์ประชาธิปไตยในหมู่นักกิจกรรมของฝ่ายเรา เพื่อเอาชนะอุดมการณ์เผด็จการที่ครอบคลุมสังคมไทยทุกวันนี้