Tag Archives: แรงงานพม่า

ถ้าจะไล่เผด็จการต้องปลุกระดมการนัดหยุดงาน

หลายคนคงหงุดหงิดกับการที่ตำรวจใช้ความรุนแรงในการปราบม็อบ วิธีโต้ตอบความรุนแรงของรัฐที่มีพลังจริงๆ และไม่ใช่แค่สะใจชั่วคราว คือการนัดหยุดงาน

การนัดหยุดงานเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจที่สามารถล้มเผด็จการทหารได้

หลายคนจะบ่นว่ากรรมาชีพไทย “จะเอาตัวรอดไม่ได้อยู่แล้ว จะหวังให้ออกมานัดหยุดงานได้อย่างไร?” หรือบางคนพูดว่า “ขบวนการแรงงานไทยอ่อนแอเกินไป” ที่จะเป็นหัวหอกในการต่อสู้

คำพุดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำแก้ตัวของนักสหภาพแรงงานหรือนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่จะไม่จัดตั้งกรรมาชีพไทยในทางการเมือง ก็เลยสดวกสบายที่จะทำอะไรเดิมๆ เช่นการสอนให้คนงานแค่รู้จักกฏหมายแรงงานและรัฐสวัสดิการ แทนที่จะปลุกระดมทางการเมือง หรือบางคนอาจแค่พึงพอใจที่จะให้ “ผู้แทน” ของสหภาพแรงงานปราศรัยกับม็อบคนหนุ่มสาว โดยไม่สนใจที่จะมีการตั้งวงเพื่อร่วมกันคิดว่าจะสร้างกระแสนัดหยุดงานอย่างไร

กรรมาชีพพม่าไม่ได้สะดวกสบายกว่าที่ไทย แต่เขานัดหยุดงานได้เพราะเขาเข้าใจความสำคัญ

การปลุกระดมและเตรียมตัวนัดหยุดงาน

การที่จะลงมือเตรียมวางแผนการนัดหยุดงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันทำได้ ต้องเน้นการพูดคุยกับคนทำงานจำนวนมาก คนหนุ่มสาวไฟแรงที่นำการประท้วงควรจะจัดทีมเพื่อไปพูดคุยกับคนทำงาน อาจในสถานที่ทำงาน หรือในทางเข้าออกจากที่ทำงาน และต้องพยายามสร้างเครือข่ายโดยเฉพาะกับแกนนำสหภาพแรงงานถ้าเขาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย

ต้องมีการถกเถียงกับคนที่ยังไม่พร้อม หรือคนที่มีข้อกังวลมากมาย ข้อกังวลเป็นเรื่องจริงที่เราต้องเคารพ คือคนจะกังวลว่าจะถูกเลิกจ้างหรือไม่ กังวลว่าถ้าเขาออกมาคนอื่นจะออกมาด้วยหรือไม่ กังวลว่าถ้าสถานที่ทำงานเขาหยุดงานที่อื่นจะหยุดด้วยหรือไม่ หรือกังวลว่ามันผิดกฏหมาย ฯลฯ

การโต้ข้อกังวลต้องอาศัยความรู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยว เรามีเพื่อนร่วมงานที่พร้องจะร่วมมือกันจับมือกันและแสดงความสมานฉันท์ในการต่อสู้ การเน้นความปัจเจกย่อมทำให้การต่อสู้ล้มเหลว

แน่นอนการนัดหยุดงานเพื่อข้อเรียกร้องทางการเมืองย่อมผิดกฏหมาย แต่การชุมนุมไล่ประยุทธ์ และเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ก็ผิดกฏหมายเผด็จการอยู่แล้ว แต่คนเป็นหมื่นเป็นแสนพร้อมจะฝ่าฝืนกฏหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

ถ้าจะมีการนัดหยุดงานเพื่อไล่ประยุทธ์กับคณะเผด็จการ เพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ต้องมีการคุยเรื่องเหตุผลทางการเมืองเป็นหลัก และขณะนี้เป็นโอกาสทองที่จะทำ เพราะกระแสกำลังขึ้นสูงและประชาชนก็เคารพชื่นชมในสิ่งที่คนหนุ่มสาวทำ

ถ้าเพื่อนๆ ของเราในพม่านัดหยุดงานทั่วไปได้ เราก็ทำได้ ประเด็นคือพวกเราจะทุ่มเทอย่างจริงจังเพื่อให้มันเกิดหรือไม่

ใจ อึ๊งภากรณ์

ข้อเสนอสำหรับการต่อสู้ http://bit.ly/2Y37gQ5

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

ไทย-พม่า ข้อแก้ตัวเหลวไหลของคนไทยบางคน

ข้อแก้ตัวว่าไทยมีกษัตริย์ที่คุมเผด็จการ จึงล้มเผด็จการยาก

เวลาเรามองเปรียบเทียบการต่อสู้กับเผด็จทหารระหว่างไทยกับพม่า เราจะพบว่าความเชื่อในนิยายว่ากษัตริย์วชิราลงกรณ์มีอำนาจล้นฟ้าและควบคุมเผด็จการประยุทธ์ กลายเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนตาบอด วิเคราะห์อะไรอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และที่แย่กว่านั้นกลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับบางคนที่จะไม่สู้กับเผด็จการไทย และไม่สนใจที่จะคิดถึงวิธีการจัดตั้งมวลชนในการต่อสู้ดังกล่าว

เราจึงได้ยินคนบางคนพูดว่าประชาชนพม่าสามารถสู้กับเผด็จการพม่าได้ง่ายกว่า “เพราะไม่มีกษัตริย์”

คำพูดนี้เหลวไหลที่สุด และดูถูกเพื่อนๆในพม่าอย่างถึงที่สุดด้วย เพราะเผด็จการพม่ามีประวัติในการปราบปรามประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยในลักษณะที่โหดร้ายยิ่งกว่าของไทย มีการยิงกระสุนใส่มวลชนมือเปล่าจนล้มตายเป็นพันๆ หลายครั้ง และมีการล้างเผ่าพันธุ์ในกรณีชาวโรฮิงญาอีกด้วย

ที่สำคัญคือฝ่ายประชาธิปไตยในพม่ามีการจัดตั้งมวลชนอย่างเป็นระบบ เพื่อต่อสู้ต่อไปหลังจากที่มีการปราบปรามโดยทหาร

เรื่องอำนาจกษัตริย์ไทย เป็นเรื่องเท็จตั้งแต่แรก และที่แย่กว่านั้นมันเป็นนิยายที่ชนชั้นปกครองไทย โดยเฉพาะทหาร พยายามใช้ในการหลอกและกล่อมเกลาให้คนไทยไม่กล้าสู้อย่างถึงที่สุด เราโชคดีที่บ่อยครั้งมวลชนไทยไม่เชื่อ

แต่ที่สำคัญคือ คนที่เสนอว่ากษัตริย์ไทยมีอำนาจเหนือทหาร ไม่ว่าจะเป็นักวิชาการหรือประชาชนธรรมดา กำลังช่วยทหารในการเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อความเท็จที่พยุงลัทธิกษัตริย์

และเป็นที่น่าเสียดายที่คนที่หมกมุ่นในเรื่องกษัตริย์และราชวงศ์ เช่นในเพจ “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส” มักจะไม่มีข้อเสนอใดๆ อย่างเป็นรูปธรรม ในการขยายการต่อสู้และเพิ่มอำนาจของการเคลื่อนไหว เพราะเขาดูเหมือนสดวกสบายที่จะแค่ซุบซิบ

สรุปแล้วแนวที่เน้นอำนาจกษัตริย์เป็นแนวที่ “เข้าทาง” เผด็จการทหารไทย

ในโลกแห่งความเป็นจริงความโหดร้ายของเผด็จการทหารไทยและพม่า ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการที่มีหรือไม่มีกษัตริย์

ข้อแตกต่างระหว่างเผด็จการไทยกับพม่าคือเผด็จการไทยใช้กษัตริย์เป็นหนึ่งในข้ออ้างเพื่อปราบฝ่ายตรงข้าม แต่เผด็จการทหารพม่าก็มีข้ออ้างเช่นกัน คือเรื่องความมั่นคงของชาติและศาสนา ซึ่งฝ่ายไทยก็ใช้ด้วย

คนไทยที่ยังไม่ตาสว่างเรื่องนี้ควรจะรีบออกจากกะลา เพื่อร่วมล้มเผด็จการประยุทธ์!!

ข้อแก้ตัวเพื่อไม่ลงมือจัดตั้งกรรมาชีพไทยให้ร่วมและเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับเผด็จการไทย

หลายคนจะบ่นว่ากรรมาชีพไทย “จะเอาตัวรอดไม่ได้อยู่แล้ว จะหวังให้ออกมานัดหยุดงานได้อย่างไร?” หรือบางคนพูดว่า “ขบวนการแรงงานไทยอ่อนแอเกินไป” ที่จะเป็นหัวหอกในการต่อสู้

คำพุดเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคำแก้ตัวของนักสหภาพแรงงานหรือนักเคลื่อนไหวอื่นๆ ที่จะไม่จัดตั้งกรรมาชีพไทยในทางการเมือง ก็เลยสดวกสบายที่จะทำอะไรเดิมๆ เช่นการสอนให้คนงานแค่รู้จักกฏหมายแรงงานและรัฐสวัสดิการ แทนที่จะปลุกระดมทางการเมือง หรือบางคนอาจแค่พึงพอใจที่จะให้ “ผู้แทน” ของสหภาพแรงงานปราศรัยกับม็อบคนหนุ่มสาว โดยไม่สนใจที่จะมีการตั้งวงเพื่อร่วมกันคิดว่าจะสร้างกระแสนัดหยุดงานอย่างไร

ครูพม่า ภาพจาก Myanmar Now

แต่การออกมาต่อสู้ของกรรมาชีพพม่า ท้าทายแนวคิดอนุรักษ์นิยมต่อพลังกรรมาชีพของนักสหภาพแรงงานและนักเคลื่อนไหวไทย

พนักงานรถไฟ

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาในพม่ามีการออกมาประท้วงอย่างเป็นระบบของ พยาบาล หมอ ครู ข้าราชการ เจ้าหน้าทีธนาคารชาติ พนักงานรถไฟ และคนงานเหมืองแร่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีการจัดตั้งกรรมาชีพกลุ่มต่างๆ และที่สำคัญคือนักเคลื่อนไหวพม่าเข้าใจเรื่องพลังที่มาจากการนัดหยุดงาน เข้าใจมาตั้งแต่การลุกฮือ 8-8-88 ด้วย

คนงานเหมืองแร่ ภาพจาก irrawaddy

เห็นแล้วน่าปลื้มที่สุด แต่ในขณะเดียวกันละอายใจเพราะที่ไทยไม่มีแนวคิดแบบนี้ และขณะนี้ดูเหมือนคณะราษฏร์ไม่มียุทธศาสตร์ที่จะสร้างกระแสนัดหยุดงาน ทั้งๆ ที่แกนนำจำนวนมากโดนกฏหมาย 112 พร้อมกันนั้นพรรคที่เรียกตัวเองว่า “ก้าวไกล” แต่ก้าวไม่พ้นกรอบเดิมๆ จะยังคงไว้การจำคุกพลเมืองภายใต้ม.112

คนไทยที่ยังไม่ตาสว่างเรื่องกรรมาชีพควรจะรีบออกจากกะลา เพื่อช่วยสร้างกระแสนัดหยุดงานและร่วมล้มเผด็จการประยุทธ์!!

ใจ อึ๊งภากรณ์

อ่านเพิ่ม

ข้อเสนอสำหรับการต่อสู้ http://bit.ly/2Y37gQ5

ความสำคัญของชนชั้นกรรมาชีพ https://bit.ly/2JBhqDU

การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล  https://bit.ly/2XIe6el อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

ถ้าจะปลดแอกตนเอง ต้องสมานฉันท์กับแรงงานพม่า

คาร์ล มาร์คซ์ เคยตั้งข้อสังเกตว่าถ้ากรรมาชีพอังกฤษไม่เลิกดูถูกคนจากเกาะไอร์แลนด์ที่เข้ามาทำงานก่อสร้างในอังกฤษ เขาจะไม่มีวันปลดแอกตนเองได้

ในลักษณะเดียวกัน ตราบใดที่คนไทยดูถูกและรังเกียจแรงงานพม่า คนไทยไม่มีวันปลดแอกตนเองได้ เพราะอะไร?

ลัทธิชาตินิยมเป็นรากฐานความคิดว่า “เราแตกต่างจากคนพม่า” “คนไทยทุกคนมีผลประโยชน์ร่วมกัน” “เราต้องรักชาติ ศาสนา กษัตริย์” “เราภูมิใจในความเป็นไทย” ฯลฯ จนมีการยอมรับกันว่าต้องควบคุมการเข้าออกของเพื่อนมนุษย์จากประเทศเพื่อนบ้าน และสมควรแล้วที่จะโทษคนงานพม่าว่านำเชื้อโรคเข้ามาในไทย

แต่ลัทธิชาตินิยมเป็นลัทธิที่ล่ามโซ่พวกเราเพื่อทำให้เราเป็นทาสของชนชั้นปกครอง ชนชั้นปกครองไทยเป็นพวกที่กดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบเรามาตลอด เป็นพวกที่สอนให้เราก้มหัวและคลานต่อคนข้างบน และเป็นพวกที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงกับเราเมื่อเราเรียกร้องเสรีภาพกับประชาธิปไตย

เราไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับชนชั้นปกครองไทยแม้แต่นิดเดียว

แต่เรามีผลประโยชน์ร่วมกับกรรมาชีพที่ข้ามพรมแดนมาหางานทำ เพราะเขาไม่แตกต่างจากเราในการที่จะต้องกระตือรือร้นที่จะเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวภายใต้ระบบทุนนิยมที่สร้างปัญหาความยากลำบากให้ทุกคน เราเป็นพี่น้องกัน

ชนชั้นปกครองไทยเป็นศัตรูของเรา แต่ยังดูถูกเราด้วยการเรียกตัวมันเองเป็น “พ่อ” “แม่” หรือ “ลุง” ทั้งๆ ที่เรามีพ่อแม่หรือลุงของเราเองอยู่แล้ว

มันง่ายจังเลยที่เผด็จการประยุทธ์จะโทษแรงงานพม่าว่าสร้างวิกฤตโควิด เพราะมันเป็นการเบี่ยงเบนประเด็นจากการที่คนงานไทยจำนวนมากตกงานและขาดรายได้จากวิกฤตโควิดที่เริ่มเมื่อต้นปี๒๕๖๓ มันเบี่ยงเบนประเด็นจากการที่รัฐบาลเผด็จการไม่ยอมลงทุนสร้างรัฐสวัสดิการให้กับเรา ในขณะที่เผด็จการใช้เงินภาษีของเราในการซื้ออาวุธหรือในการเลี้ยงปรสิตราชวงศ์ในวิถีชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย มันหน้าด้านอ้างว่าประเทศไม่มีเงินพอที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของพลเมือง

อย่าลืมว่าแรงงานกรรมาชีพ ทั้งไทยและพม่า เป็นผู้ทำงานสร้างมูลค่าในสังคม ไม่ใช่นายทุน กษัตริย์ หรือพวกขุนศึก

แรงงานข้ามชาติเข้ามาในไทยเพราะสังคมขาดกำลังงาน โดยเฉพาะในภาคที่มีงานอันตราย สกปรก และค่าจ้างต่ำ ทุกครั้งที่เราไปกินซีฟู๊ดเราควรระลึกถึงคนที่ทำงานเพื่อนำกุ้งปูปลามาถึงจานของเรา และควรระลึกต่อไปว่าสภาพความเป็นอยู่ของเขายากลำบากแค่ไหน ต้องจากบ้านเกิดมาอยู่ในชุมชนแออัดที่ไม่ปลอดภัยในเรื่องโรคติดต่ออย่างโควิด

ชุมชนแออัด และการที่รัฐไทยและนายทุนไทยไม่บริการอะไรให้กับแรงงานข้ามชาติ คือสาเหตุที่มีการแพร่ไวรัส มันไม่ได้อยู่ที่เชื้อชาติของแรงงาน

การแบ่งแยกแรงงานพม่าออกจากแรงงานไทย ช่วยทำให้เขาขูดรีดและเอาเปรียบทั้งคนไทยและคนพม่าง่ายขึ้น ถ้าเรา ผู้ที่เป็นกรรมาชีพแรงงาน สามารถสามัคคีกันข้ามเชื้อชาติ เราจะพัฒนาความเป็นอยู่ของทุกคนได้ เพราะเราจะมีพลัง

การควบคุมแรงงานข้ามชาติไม่ได้ช่วยอะไรเรา มันเพียงแต่ช่วยให้นายจ้างกดค่าแรงของเขาและของเรา มันช่วยให้ตำรวจและทหารเก็บส่วย และมันช่วยให้รัฐบาลมีแพะรับบาปเพื่อไม่ให้เราโทษรัฐบาล ดังนั้นเราควรเปิดพรมแดน เสริมสร้างรัฐสวัสดิการสำหรับทุกคนที่ทำงานในไทย และรณรงค์ให้แรงงานทุกเชื้อชาติเข้ามาเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานอย่างเสรี

รัฐบาลเผด็จการประยุทธ์กำลังพยายามล้างสมองเราในรูปแบบ “อย่าโทษเรา” “ไปโทษแรงงานพม่าโน้น” และเป็นที่น่าสลดใจที่คนไทยไม่น้อยไม่สามารถสลัดโซ่ตรวนความเป็นทาสออก และไปคล้อยตามชนชั้นปกครองในการด่าคนพม่า

สรุปแล้ว สำหรับคนที่อยากปลดแอกตนเอง อยากเห็นประชาธิปไตยและเสรีภาพ มันมีสองขั้วความคิดในสังคม

ขั้วความคิดแรกเป็นแนวคิดที่มาจากชนชั้นปกครองและชวนให้เราจงรักภักดีต่อเขาภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งในไทยรวมถึงลัทธิราชานิยมด้วย แนวคิดนี้ชวนให้เราหมอบคลานต่อเบื้องบน ไม่ว่าจะเป็น กษัตริย์ นายพลมือเปื้อนเลือด หรือ “ท่านผู้ใหญ่” คนใด และมันชวนให้เรามองว่าเรามีผลประโยชน์ร่วมกับผู้ที่กดขี่ขูดรีดเรา “เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน” นี่คือที่มาของความคิดที่เหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นแอกเพื่อควบคุมให้คนส่วนใหญ่เป็นไพร่เป็นทาส

ขั้วความคิดที่สองเป็นแนวคิดที่เกิดจากจิตสำนึกทางชนชั้นของชนชั้นกรรมาชีพและคนชั้นล่างทั่วไป มันไม่ได้เกิดโดยอัตโนมัติ มันอาศัยอยู่ในสังคมได้เพราะมีนักสังคมนิยมและนักสิทธิมนุษยชนที่ทวนกระแสความคิดกระแสหลัก และเสนอแนวคิดประเภท “สามัคคีชนชั้นล่างข้ามเชื้อชาติ” ความคิดขั้วนี้จะปฏิเสธการรักชาติ แต่จะรักเพื่อนประชาชนแทน จะเสนอให้คนไทยธรรมดาสมานฉันท์กับคนเชื้อชาติอื่น และต่อสู้อย่างถึงที่สุดกับอำนาจเผด็จการของชนชั้นปกครอง เพื่อให้เราร่วมกันปลดแอกตนเองและสังคม

ใจ อึ๊งภากรณ์

นโยบายที่น่าขายหน้าของรัฐบาลไทยต่อผู้ลี้ภัยและคนงานข้ามพรมแดน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในขณะที่ผู้รักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกกำลังแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ลี้ภัยจากลาตินอเมริกาที่ต้องการเข้าไปในสหรัฐ และนโยบายของสหภาพอียู ที่มีการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ยุโรปจมน้ำตายเป็นพันๆ คนในทะเลสืบเนื่องจากนโยบายเหยียดเชื้อชาติสีผิวของอียู เราควรจะมาพิจารณาประวัติอันน่าอับอายขายหน้าของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ด้วย

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้รายงานว่ารัฐบาลเผด็จการไทยมีการละเมิดสิทธิของผู้ลี้ภัยอย่างต่อเนื่อง เช่นการจับคุมผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามและเขมรเกือบสองร้อยคน ซึ่งรวมถึงเด็กและหญิงตั้งครรภ์ โดยที่หลายคนถือบัตรผู้ลี้ภัยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ มีการแยกเด็กออกจากพ่อแม่ หลายคนถูกส่งไปศาลแล้วโดนจำคุก บางคนถูกส่งไปที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองซอยสวนพลู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นที่กักกันที่แออัดและไร้มาตรฐานมนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง

Bangkok-detention-center-300x225

ปัญหาใหญ่มาจากการที่รัฐบาลไทย ทุกรัฐบาล ไม่ยอมเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951และพิธีสารปี 1967 ดังนั้นผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในไทยถูกปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย เหมือนเป็นอาชญากร และมีหลายกรณีที่รัฐบาลไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปสู่คุกและการถูกทำร้ายในประเทศเดิม เช่นตุรกี เขมร และจีน

uyghur-detention-march2014

เมื่อสามปีที่แล้วรัฐบาลไทยส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์หนึ่งร้อยคนกลับประเทศจีน ทั้งๆ ที่เขาต้องการไปอยู่ตุรกีเพื่อหนีความรุนแรงและการกดขี่ของรัฐบาลจีน ซึ่งทำให้ชาวอุยกูร์ในตุรกีแสดงความไม่พอใจไทยด้วยการประท้วงทุบกระจกสถานกลสุลไทย

ล่าสุดคือกรณีของ ฮาคีม อัล อาไรบี และ รวต รุทมนี

សហជីព-1
รวต รุทมนี

รวต รุทมนี ถูกออกหมายจับโดยรัฐบาลเผด็จการของเขมรเพราะมีส่วนในการทำรายการสารคดีที่เปิดโปงการค้ามนุษย์ในเขมร เขาถูกจับโดยตำรวจไทยขณะที่กำลังขอลี้ภัยในสำนักงานวิซาของฮอลแลนด์ หลังจากนั้นเขาถูกส่งกลับเขมร

07bahrain-thailand-jumbo
ฮาคีม อัล อาไรบี

ฮาคีม อัล อาไรบี นักฟุตบอลชาวบาห์เรนที่มีสถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลีย ถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหลังจากที่เขาเดินทางจากออสเตรเลียมาเที่ยวที่ไทยพร้อมกับภรรยา ทั้งๆ ที่ไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับบาห์เรน แต่เผด็จการทหารไทยขู่ว่าจะส่งกลับบาห์เรน ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม หรือซ้อมทรมาน เพราะบาห์เรนเป็นเผด็จการโหด กรณีนี้ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสื่อต่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายองค์กร

ROHINGYA-MT-7-622x414-e1423819114649

ผู้ลี้ภัยโรฮิงญา ที่พยายามเข้ามาทางเรือก็โดนทหารและกรมน.ผลักออกไปสู่ทะเลอย่างป่าเถื่อน

2012_Thailand_burmarefugees

ส่วนผู้ลี้ภัยจากสงครามและความรุนแรงของทหารพม่าส่งผลให้คนเป็นแสนเดินข้ามพรมแดนเข้ามาในไทย แต่คนที่อยู่ต่อได้ถูกรัฐบาลไทยกักไว้ในค่ายผู้ลี้ภัยแถบชายแดน โดยที่ไม่มีสิทธิที่จะออกจากค่าย รัฐบาลไม่มีการบริการสาธารณสุข ไม่มีการให้การศึกษากับเด็ก และมีการห้ามไม่ให้ทำงานเลี้ยงชีพ คนที่แอบไปทำงานก็โดนนายจ้างและตำรวจเอาเปรียบเพราะเป็นแรงงาน “ผิดกฏหมาย”

แต่ชาวสังคมนิยมถือว่าผู้ลี้ภัยทุกคนเป็นมนุษย์ เราปฏิเสธคำจำกัดความที่ตราหน้าเพื่อนมนุษย์ว่าผิดกฏหมาย และเราจะไม่ยอมให้พวกชนชั้นปกครองชาตินิยมแบ่งแยกคนธรรมดาตามสีผิวหรือเชื้อชาติ การพูดว่าผู้ลี้ภัยเป็น “ภาระ” กับประเทศไม่เป็นความจริง เพราะถ้าเขาสามารถทำงาน เขาจะร่วมพัฒนาสังคมของเรา การพูดว่าเขาจะมา “แย่งงานคนไทย” ก็ไม่จริงอีกเพราะเขาพร้อมจะทำงานที่คนไทยไม่อยากทำ และเมื่ออายุของประชากรเพิ่มขึ้นสังคมเราก็จะขาดแรงงาน คำพูดแบบนี้ล้วนแต่เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาของระบบทุนนิยม โดยชนชั้นปกครอง เพื่อให้เรามองไม่เห็นการเอารัดเอาเปรียบและการกอบโกยกำไรของชนชั้นนายทุน สังคมเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร เพียงแต่ว่ามันไปกระจุกอยู่ในมือของคนชั้นสูง 5% ของสังคม และถูกใช้ในทางที่ผิด เช่นใช้ซื้ออาวุธให้ทหารที่ฆ่าประชาชนและทำลายประชาธิปไตย หรือถูกใช้เพื่อให้คนชั้นสูงเสพสุขมหาศาลเป็นต้น นี่คือสาเหตุที่เราปฏิเสธการกดขี่เอารัดเอาเปรียบพี่น้องแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาในไทยด้วย และเป็นสาเหตุที่เราปฏิเสธลัทธิชาตินิยมและการเคารพธงชาติอีกด้วย เราเคารพเพื่อนมนุษย์และพลเมืองในสังคมเราแทน

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ในยุคนี้กำลังกระตือรือร้นที่จะหาเสียง ไม่ยอมให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้ จริงอยู่พรรคอนาคตใหม่เคยเสนอว่าจะต้องไม่ผลักชาวโรฮิงญากลับสู่ทะเลและต้อง “ดูแล” แต่เมื่อมีพวกหัวอนุรักษ์นิยมรุมด่า ก็ไม่กล้าที่จะถกเถียงกับความคิดเหยียดเชื้อชาติแบบนี้ ได้แต่เงียบไปหรือพยายามปรับนโยบายคล้อยตามพวกล้าหลัง และที่สำคัญไม่มีการประกาศว่าจะเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 และพิธีสารปี 1967 และไม่มีการเสนอว่าต้องรื้อถอนนโยบายแย่ๆ ของรัฐบาลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ในเรื่องแรงงานข้ามชาติก็มีแต่การพูดว่าจะให้สิทธิเท่าเทียมกับแรงงานไทย แต่นั้นก็เฉพาะคนที่เข้ามาอย่าง “ถูกกฏหมาย” และแรงงานไทยเองก็ขาดสิทธิเสรีภาพในหลายเรื่อง

พรรคการเมืองอย่างอนาคตใหม่ ที่พยายามเล่นการเมืองในระบบเลือกตั้งของเผด็จการทหารไทย ไม่ให้ความสำคัญกับการปลุกระดมคนให้เปลี่ยนความคิด ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนกระแสในสังคม เพราะสนใจแต่การตามกระแส สนใจแค่เสียงสนับสนุนซึ่งรวมไปถึงเสียงของคนที่มีความคิดล้าหลัง การไม่พูดถึงกฏหมาย 112 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมแบบนี้

พรรคกรรมาชีพ

นี่คือสาเหตุที่เราจำเป็นต้องมีพรรคสังคมนิยม ที่เน้นการเคลื่อนไหวและการปลุกระดมคนให้เปลี่ยนความคิด เช่นให้เลิกบูชาคนข้างบน เลิกคลั่งชาติ หรือเลิกความคิดอคติต่อสิทธิทางเพศเป็นต้น โดยที่เราจะต้องไม่ยอมจำนนต่อการเมืองรัฐสภาในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ต้นกำเนิดปัญหาการค้ามนุษย์อยู่ที่นโยบายรัฐไทย

ใจ อึ๊งภากรณ์

เราควรเข้าใจว่าคดีการค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญาที่พึ่งมีการตัดสินลงโทษคนจำนวนหนึ่ง เมื่อเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ไม่ใช่แค่การกระทำของทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และนักการเมืองมาเฟียเท่านั้น แต่เป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นเพราะมีต้นกำเนิดจากนโยบายของรัฐไทย

ภาพจากเนชั่นทีวี

ในรายละเอียดเกี่ยวกับคดีนี้ การที่พล.ท.มนัส คงแป้น ซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ผู้ทรงคุณวุฒิของหน่วยทหารพิเศษภายใต้ กอ.รมน. เป็นจำเลยสำคัญ ทำให้เราต้องตั้งคำถามว่ามีนายทหารและนายตำรวจระดับสูงอีกกี่คนที่เกี่ยวข้องหรืออย่างน้อยรับรู้เรื่องนี้ มีคนภายในรัฐบาลเผด็จการกี่คนที่เกี่ยวข้องและรับรู้แต่ไม่ทำอะไร? และอย่าลืมว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ หัวหน้าชุดสอบสวนในคดีนี้ ต้องหลบหนีไปขอหลี้ภัยในออสเตรเลีย เพราะถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลขู่ฆ่า

ตลอดเวลาที่คดีดำเนินอยู่ พยานต่างๆ ถูกข่มขู่ โดยที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ปกป้องใคร โดยเฉพาะพยานชาวโรฮิงญา และการให้การของพล.ท.มนัส เป็นการให้การลับ ที่อ้าง “ความมั่นคง” เป็นสาเหตุ ประเด็นคือเจ้าหน้าที่รัฐกับศาลต้องการปกปิดอะไร?

ในภาพรวมเรื่องต้นกำเนิดของการค้ามนุษย์ ในประการแรกเราต้องดูบทบาทของ กอ.รมน. ที่รับผิดชอบในการปฏิบัติการ “ผลักดันและส่งต่อ” ผู้หลี้ภัยชาวโรฮิงญา เพื่อส่งเพื่อนมนุษย์หลายพันชีวิตไปตายหรือเป็นเหยื่อกลางทะเล นี่คือนโยบายโหดร้ายที่สุดที่ไร้ความเมตตา หรือความเคารพต่อเพื่อมนุษย์โดยสิ้นเชิง

แนน่อนนโยบายชาตินิยมแย่ๆ ของรัฐบาลพม่า ภายใต้การนำของอองซานซูจี ที่กอดคอกับอำนาจเผด็จการทหารพม่า มีส่วนสำคัญในการขับไล่ชาวโรฮิงญาออกจากพม่า แต่นั้นไม่ควรเป็นข้อแก้ตัวสำหรับคนไทย

สิ่งที่อยู่เบื้องหลังนโยบาย “ผลักดันและส่งต่อ”  คือการที่รัฐไทยไม่เคยยอมรับสภาพผู้หลี้ภัยของคนจากประเทศอื่นเลย รัฐบาลไทยไม่ยอมเซ็นสัญญาระหว่างประเทศของสหประชาชาติปีค.ศ. 1951 ที่ว่าด้วยสถานภาพผู้หลี้ภัย และรัฐบาลไทยไม่มีกฏหมายเพื่อคุ้มครองเพื่อนมนุษย์ที่หนีเข้ามาในไทยเพราะถูกรังแกและข่มขู่ ดังนั้นผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ถ้าไม่ถูดผลักออกไปตาย ก็จะถูกกักไว้ในค่าย โดยไม่มีสิทธิในการเลี้ยงชีพ และไม่มีโอกาสที่จะอยู่ในไทยอย่างถาวรหรือโอนสัญชาติเป็นพลเมืองไทยได้เลย

สภาพเช่นนี้เป็นโอกาสทองสำหรับอาชญากรที่ต้องการหากำไรจากการค้ามนุษย์ หรือการรีดไถเงินจากคนที่โชคร้ายจนต้องหนีออกจากประเทศของตนเอง

มันเป็นเรื่องที่พลเมืองไทยทุกคนที่รักความเป็นธรรม มองว่าตนเองมีศีลธรรม หรือเป็นชาวพุทธ จะต้องอับอายขายหน้าในท่าทีของรัฐไทย

และอย่าลืมว่ามีคนไทยผู้รักประชาธิปไตยจำนวนหนึ่ง ที่อาศัยสัญญาระหว่างประเทศของสหประชาชาติปีค.ศ. 1951 เพื่อลี้ภัยจากเผด็จการ เพื่อไปอยู่อย่างปลอดภัยในต่างประเทศ และในที่สุดก็ได้สัญชาติของประเทศเหล่านั้นด้วย

แต่ในภาพรวมเรื่องมันยังโยงไปถึงภาพกว้างของลัทธิการเมืองชาตินิยมด้วย การที่ชนชั้นปกครองไทยโดยเฉพาะทหารเผด็จการ แต่รวมถึงรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วย คอยพยายามล้างสมองพลเมืองไทยให้ “รักชาติ” ตลอดเวลา มีผลในการสร้างบรรยากาศของการเหยียดเชื้อชาติอื่น มันเป็นลัทธิที่ชวนให้เรารักชาติของชนชั้นปกครอง แทนที่เราจะรักเพื่อนมนุษย์ที่เป็นทั้งคนไทยและคนเชื้อชาติอื่นๆ

อย่างไรก็ตามการ “ล้างสมอง” ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชนชั้นปกครองทำได้ เพราะพลเมืองธรรมดาไม่โง่ และที่สำคัญคือ ถ้ามีกลุ่มคนที่กล้าเถียงกับหรือคัดค้านแนวคิดกระแสหลักของชนชั้นปกครอง พลเมืองธรรมดาจจะต้องคิดต่อและเลือกข้าง ปัญหาคือในไทย กลุ่มการเมือง ขบวนการเคลื่อนไหว หรือสหภาพแรงงาน ไม่ค่อยมีการให้ความสำคัญกับการต้านลัทธิชาตินิยมเท่าที่ควร

ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้หลี้ภัยด้วย มันมีผลต่อการปฏิบัติของรัฐไทยต่อแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน คือรัฐไทยใช้นโยบายข่มขู่ ดูถูก ปราบ และออกนโยบายในการขึ้นทะเบียนแรงงานจากประเทศอื่น เพื่อให้เขาอยู่ในสภาพที่ไร้ความมั่นคงเสมอ เป้าหมายคือให้แรงงานเหล่านั้นถูกขูดรีดเอารัดเอาเปรียบง่ายขึ้น เราเห็นตัวอย่างล่าสุดดจากกฏหมายแรงงานข้ามชาติของเผด็จการทหาร

ประเด็นสำคัญที่พลเมืองไทยควรเข้าใจคือ ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่คัดค้านการเหยียดเชื้อชาติ หรือการไม่เคารพสิทธิของผู้ลี้ภัย คนไทยจะยังเป็นทาสของชนชั้นปกครองต่อไป และไม่สามารถสู้เพื่อปลดแอกตนเองได้ เพราะยังงมงายอยู่ในลัทธิชาตินิยมล้าหลัง ที่สอนให้เราจงรักภักดีต่อชนชั้นปกครอง

 

การไล่ล่าคนงานเขมรกับพม่าขัดกับผลประโยชน์คนไทยส่วนใหญ่

ใจ อึ๊งภากรณ์

ขณะนี้เผด็จการทหารฝ่ายขวาของประยุทธ์ กำลังใช้แนวชาตินิยมสุดขั้วและการสร้างกระแสเกลียดชังประชาชนจากเพื่อนบ้าน เพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและกดขี่คนไทยส่วนใหญ่ให้เป็นทาสรับใช้ทหารและชนชั้นปกครอง

นอกจากการขับไล่เพื่อนแรงงานจากเขมรและพม่าจะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยแล้ว มันยังมีผลกระทบกับความเข้มแข้งของขบวนการแรงงานและขบวนการประชาธิปไตย

ในแง่เศรษฐกิจ ธุรกิจไทยในทุกระดับขาดแคลนแรงงานค่าจ้างต่ำในงานสกปรกและยากลำบาก ซึ่งมิตรสหายจากเพื่อนบ้านได้เข้ามาทำงานในส่วนนี้ ถ้าเค้าขาดหายไปเศรษฐกิจไทยก็จะขยายตัวช้าลง ซึ่งจะมีผลกระทบกับคนไทยธรรมดาจำนวนมาก

ในแง่ของความตอแหลเราต้องถามว่าในบ้านเรือนของนายพล และ พวกคณะทหาร รวมถึงชนชั้นกลางที่เชียรทหาร มีการใช้และเอาเปรียบคนเขมรหรือคนพม่ามากน้อยเพียงไร

ในแง่ของการปลุกระดมให้คนไทยคลั่งชาติ ไม่ว่าจะด้วยภาพยนตร์นเรศวรหรือการสร้างกระแสเกลียดชังคนงานจากประเทศรอบข้าง มันเป็นความพยายามอันน่าสมเพชของประยุทธ์ และ พรรคพวก ที่หวังเบี่ยงเบนความคิดของคนส่วนใหญ่ไปจากการคิดเรื่องรัฐประหารและการขโมยประชาธิปไตย ไปสู่การหมอบคลานต่อชนชั้นปกครองและทหาร

แต่คณะทหารและนักธุรกิจที่สนับสนุนเผด็จการไม่ใช่พวกเดียวกับเรา ทั้งๆ ที่เขามีสัญชาติไทย ในอดีตถึงปัจจุบันเผด็จการอาศัยอำนาจเพื่อกอบโกยทรัพย์สินส่วนรวมเข้ากระเป๋าตัวเอง และพวกนายทุนก็อาศัยเผด็จการในการกดค่าแรงและสวัสดิการของคนทำงาน อย่าลืมว่าฝ่ายอำมาตย์ เกลียดชังทักษิณ เพราะทักษิณ นำนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่มาใช้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องเชียร์ทักษิณ แบบไม่เลือกคิดเอง

ในเมือทหารและอำมาตย์เป็นศัตรูของคนไทยส่วนใหญ่ คนธรรมดาผู้ทำงานทั่วโลกเป็นมิตรของเรา ซึ่งรวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย

มาตรการโหดร้ายทารุณ ของเผด็จการทหารต่อแรงงานพม่าและเขมร คงไม่ทำให้คนเหล่านั้นไม่กลับมาทำงานในไทย เพียงแต่เค้าจะเข้ามาในลักษณะผิดกฎหมาย และ ขาดความมั่นคงมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้จะอำนวยให้พวกนายจ้างกินเลือด ตำรวจ และทหารสามารถเอารัดเอาเปรียบเพื่อนๆ ของเราได้มากขึ้น

การสร้างกระแสความเกรงกลัวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปราบแรงงานข้ามชาติ หรือ การเรียกพลเมืองผู้รักประชาธิปไตยเข้าไปรายงานตัวต่อทหาร เป็นเรื่องเดียวกัน

ถ้าคนงานไทยหรือประชาชนทั่วไป ถูกคณะทหารหลอกให้คล้อยตามแนวชาตินิยมก็จะทำให้เราเพียงแต่เป็นทาส