Tag Archives: อนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย

นโยบายที่น่าขายหน้าของรัฐบาลไทยต่อผู้ลี้ภัยและคนงานข้ามพรมแดน

ใจ อึ๊งภากรณ์

ในขณะที่ผู้รักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกกำลังแสดงความไม่พอใจต่อนโยบายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยของรัฐบาลสหรัฐภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีการใช้ความรุนแรงต่อผู้ลี้ภัยจากลาตินอเมริกาที่ต้องการเข้าไปในสหรัฐ และนโยบายของสหภาพอียู ที่มีการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ยุโรปจมน้ำตายเป็นพันๆ คนในทะเลสืบเนื่องจากนโยบายเหยียดเชื้อชาติสีผิวของอียู เราควรจะมาพิจารณาประวัติอันน่าอับอายขายหน้าของรัฐบาลไทยในเรื่องนี้ด้วย

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาองค์การนิรโทษกรรมสากล ได้รายงานว่ารัฐบาลเผด็จการไทยมีการละเมิดสิทธิของผู้ลี้ภัยอย่างต่อเนื่อง เช่นการจับคุมผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามและเขมรเกือบสองร้อยคน ซึ่งรวมถึงเด็กและหญิงตั้งครรภ์ โดยที่หลายคนถือบัตรผู้ลี้ภัยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ มีการแยกเด็กออกจากพ่อแม่ หลายคนถูกส่งไปศาลแล้วโดนจำคุก บางคนถูกส่งไปที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองซอยสวนพลู ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นที่กักกันที่แออัดและไร้มาตรฐานมนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง

Bangkok-detention-center-300x225

ปัญหาใหญ่มาจากการที่รัฐบาลไทย ทุกรัฐบาล ไม่ยอมเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951และพิธีสารปี 1967 ดังนั้นผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในไทยถูกปฏิบัติเหมือนกับว่าเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฏหมาย เหมือนเป็นอาชญากร และมีหลายกรณีที่รัฐบาลไทยส่งกลับผู้ลี้ภัยทางการเมืองไปสู่คุกและการถูกทำร้ายในประเทศเดิม เช่นตุรกี เขมร และจีน

uyghur-detention-march2014

เมื่อสามปีที่แล้วรัฐบาลไทยส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์หนึ่งร้อยคนกลับประเทศจีน ทั้งๆ ที่เขาต้องการไปอยู่ตุรกีเพื่อหนีความรุนแรงและการกดขี่ของรัฐบาลจีน ซึ่งทำให้ชาวอุยกูร์ในตุรกีแสดงความไม่พอใจไทยด้วยการประท้วงทุบกระจกสถานกลสุลไทย

ล่าสุดคือกรณีของ ฮาคีม อัล อาไรบี และ รวต รุทมนี

សហជីព-1
รวต รุทมนี

รวต รุทมนี ถูกออกหมายจับโดยรัฐบาลเผด็จการของเขมรเพราะมีส่วนในการทำรายการสารคดีที่เปิดโปงการค้ามนุษย์ในเขมร เขาถูกจับโดยตำรวจไทยขณะที่กำลังขอลี้ภัยในสำนักงานวิซาของฮอลแลนด์ หลังจากนั้นเขาถูกส่งกลับเขมร

07bahrain-thailand-jumbo
ฮาคีม อัล อาไรบี

ฮาคีม อัล อาไรบี นักฟุตบอลชาวบาห์เรนที่มีสถานะผู้ลี้ภัยในออสเตรเลีย ถูกควบคุมตัวที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหลังจากที่เขาเดินทางจากออสเตรเลียมาเที่ยวที่ไทยพร้อมกับภรรยา ทั้งๆ ที่ไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับบาห์เรน แต่เผด็จการทหารไทยขู่ว่าจะส่งกลับบาห์เรน ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาจะถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม หรือซ้อมทรมาน เพราะบาห์เรนเป็นเผด็จการโหด กรณีนี้ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากสื่อต่างประเทศและองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายองค์กร

ROHINGYA-MT-7-622x414-e1423819114649

ผู้ลี้ภัยโรฮิงญา ที่พยายามเข้ามาทางเรือก็โดนทหารและกรมน.ผลักออกไปสู่ทะเลอย่างป่าเถื่อน

2012_Thailand_burmarefugees

ส่วนผู้ลี้ภัยจากสงครามและความรุนแรงของทหารพม่าส่งผลให้คนเป็นแสนเดินข้ามพรมแดนเข้ามาในไทย แต่คนที่อยู่ต่อได้ถูกรัฐบาลไทยกักไว้ในค่ายผู้ลี้ภัยแถบชายแดน โดยที่ไม่มีสิทธิที่จะออกจากค่าย รัฐบาลไม่มีการบริการสาธารณสุข ไม่มีการให้การศึกษากับเด็ก และมีการห้ามไม่ให้ทำงานเลี้ยงชีพ คนที่แอบไปทำงานก็โดนนายจ้างและตำรวจเอาเปรียบเพราะเป็นแรงงาน “ผิดกฏหมาย”

แต่ชาวสังคมนิยมถือว่าผู้ลี้ภัยทุกคนเป็นมนุษย์ เราปฏิเสธคำจำกัดความที่ตราหน้าเพื่อนมนุษย์ว่าผิดกฏหมาย และเราจะไม่ยอมให้พวกชนชั้นปกครองชาตินิยมแบ่งแยกคนธรรมดาตามสีผิวหรือเชื้อชาติ การพูดว่าผู้ลี้ภัยเป็น “ภาระ” กับประเทศไม่เป็นความจริง เพราะถ้าเขาสามารถทำงาน เขาจะร่วมพัฒนาสังคมของเรา การพูดว่าเขาจะมา “แย่งงานคนไทย” ก็ไม่จริงอีกเพราะเขาพร้อมจะทำงานที่คนไทยไม่อยากทำ และเมื่ออายุของประชากรเพิ่มขึ้นสังคมเราก็จะขาดแรงงาน คำพูดแบบนี้ล้วนแต่เป็นการเบี่ยงเบนประเด็นปัญหาของระบบทุนนิยม โดยชนชั้นปกครอง เพื่อให้เรามองไม่เห็นการเอารัดเอาเปรียบและการกอบโกยกำไรของชนชั้นนายทุน สังคมเราไม่ได้ขาดแคลนทรัพยากร เพียงแต่ว่ามันไปกระจุกอยู่ในมือของคนชั้นสูง 5% ของสังคม และถูกใช้ในทางที่ผิด เช่นใช้ซื้ออาวุธให้ทหารที่ฆ่าประชาชนและทำลายประชาธิปไตย หรือถูกใช้เพื่อให้คนชั้นสูงเสพสุขมหาศาลเป็นต้น นี่คือสาเหตุที่เราปฏิเสธการกดขี่เอารัดเอาเปรียบพี่น้องแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาในไทยด้วย และเป็นสาเหตุที่เราปฏิเสธลัทธิชาตินิยมและการเคารพธงชาติอีกด้วย เราเคารพเพื่อนมนุษย์และพลเมืองในสังคมเราแทน

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่ในยุคนี้กำลังกระตือรือร้นที่จะหาเสียง ไม่ยอมให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้ จริงอยู่พรรคอนาคตใหม่เคยเสนอว่าจะต้องไม่ผลักชาวโรฮิงญากลับสู่ทะเลและต้อง “ดูแล” แต่เมื่อมีพวกหัวอนุรักษ์นิยมรุมด่า ก็ไม่กล้าที่จะถกเถียงกับความคิดเหยียดเชื้อชาติแบบนี้ ได้แต่เงียบไปหรือพยายามปรับนโยบายคล้อยตามพวกล้าหลัง และที่สำคัญไม่มีการประกาศว่าจะเซ็นรับรองอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัยปี 1951 และพิธีสารปี 1967 และไม่มีการเสนอว่าต้องรื้อถอนนโยบายแย่ๆ ของรัฐบาลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ในเรื่องแรงงานข้ามชาติก็มีแต่การพูดว่าจะให้สิทธิเท่าเทียมกับแรงงานไทย แต่นั้นก็เฉพาะคนที่เข้ามาอย่าง “ถูกกฏหมาย” และแรงงานไทยเองก็ขาดสิทธิเสรีภาพในหลายเรื่อง

พรรคการเมืองอย่างอนาคตใหม่ ที่พยายามเล่นการเมืองในระบบเลือกตั้งของเผด็จการทหารไทย ไม่ให้ความสำคัญกับการปลุกระดมคนให้เปลี่ยนความคิด ไม่สนใจที่จะเปลี่ยนกระแสในสังคม เพราะสนใจแต่การตามกระแส สนใจแค่เสียงสนับสนุนซึ่งรวมไปถึงเสียงของคนที่มีความคิดล้าหลัง การไม่พูดถึงกฏหมาย 112 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของพฤติกรรมแบบนี้

พรรคกรรมาชีพ

นี่คือสาเหตุที่เราจำเป็นต้องมีพรรคสังคมนิยม ที่เน้นการเคลื่อนไหวและการปลุกระดมคนให้เปลี่ยนความคิด เช่นให้เลิกบูชาคนข้างบน เลิกคลั่งชาติ หรือเลิกความคิดอคติต่อสิทธิทางเพศเป็นต้น โดยที่เราจะต้องไม่ยอมจำนนต่อการเมืองรัฐสภาในลักษณะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน