การมองว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่างเป็นการช่วยให้ทหารลอยนวล

ใจ อึ๊งภากรณ์

มันมีตัวอย่างจากไหนในโลก ในยุคปัจจุบันหรืออดีต ที่ผู้ปกครองเผด็จการอาศัยอยู่นอกประเทศและสั่งการจากแดนไกล? อันนี้เป็นคำถามที่ท่านจะต้องตอบ ถ้าท่านจะอ้างว่าวชิราลงกรณ์อยู่เบื้องหลังระบบเผด็จการและการทำลายประชาธิปไตย หรือแม้แต่การอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง

ตัวอย่างจากทั่วโลกและในไทยชี้ให้เห็นว่าผู้นำเผด็จการมักเกรงกลัวว่าจะถูกโค่นล้มเมื่อไปต่างประเทศ และเป็นเป็นความกลัวที่ตรงกับประวัติศาสตร์ด้วย แต่พวกคลั่งซุบซิบเกี่ยวกับกษัตริย์ไม่เคยสนใจที่จะเปิดตาศึกษาประวัติศาสตร์โลกหรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ไทย คงจะเป็นเพราะส่วนใหญ่หมกมุ่นกับการด่ากษัตริย์เพื่อ “ความมัน” โดยไม่มีข้อเสนออะไรเป็นรูปธรรมในการล้มระบบเผด็จการไทย

นอกจากนี้ในช่วงที่นายภูมิพลหมดสภาพและใกล้ตาย ซึ่งเป็นระยะเวลามากกว่าหนึ่งปี ใครคุมอำนาจในสังคมไทย? ร่างหมดสภาพของภูมิพลหรือทหารเผด็จการ? และอย่าลืมว่าพวกที่เสนอว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นฟ้า เคยทำนายว่าเมื่อภูมิพลตาย จะมีสงครามแย่งบัลลังก์ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเลย

กรุณาอย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ผมต้องทิ้งงานสอนที่จุฬาฯ และทิ้งบ้านเกิดที่กรุงเทพฯ และมาลี้ภัยที่อังกฤษ เพราะผมวิจารณ์นายภูมิพลในหนังสือ A Coup For The Rich โดยเฉพาะเรื่องที่เขาไม่เคยปกป้องประชาธิปไตย และหน้าด้านเสนอลัทธิเศรษฐกิจพอเพียงในขณะที่ตนเองรวยที่สุดในประเทศ และผมไม่เคยหยุดวิจารณ์วชีราลงกรณ์ ราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ หรือพวกราชวงศ์ปรสิตทั้งหลายทั่วโลก ผมนิยมระบบสาธารณรัฐและสังคมนิยม

นอกจากนี้ตอนทีผมยังทำงานที่จุฬาฯ และยังไม่โดนคดี ผมเป็นหนึ่งในกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เริ่มรณรงค์ให้ยกเลิกกฏหมาย 112 อีกด้วย

10565125_10153078949002729_301020582058691456_n

การมองว่าวชิราลงกรณ์เป็นตัวร้ายที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อสั่งการต่างๆ เกี่ยวกับการเมืองและสังคมไทย เป็นการเข้าใจผิดอย่างมหันต์ และที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีก มันกลายเป็นแนวคิดที่ช่วยให้ทหารลอยนวล เพราะตาบอดถึงอำนาจจริงที่ทำลายประชาธิปไตยและฆ่านักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในไทย นั้นคือผู้นำทหาร

บ่อยครั้งการมองว่าวชิราลงกรณ์เป็นตัวร้ายที่ใช้อำนาจล้นฟ้าเพื่อสั่งการต่างๆ เป็นข้ออ้างสำเร็จรูปในการไม่ทำอะไร หรือในการวิจารณ์คนที่เคลื่อนไหวหรือต้องการสร้างขบวนการมวลชนเพื่อล้มระบบเผด็จการ ผมได้ยินมาจนเบื่อคำอ้างว่า “ถ้าออกมาชุมนุมแล้วล้มเผด็จการทหาร กษัตริย์ก็ยังอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร” หรือคนที่เล่าว่านักต่อสู้เพือประชาธิปไตยในอดีต ไม่ว่าจะ ๑๔ ตุลา หรือ พฤษภา ๓๕ “โดนหลอกและโดนพาไปตายฟรี” ซึ่งเป็นคำพูดของนักวิชาการต้านเจ้าที่มีชื่อเสียง

แทนที่จะมองว่าวชิราลงกรณ์คุมเผด็จการประยุทธ์ ความจริงมันตรงข้าม คือเผด็จการประยุทธ์เลี้ยงวชิราลงกรณ์และระบบกษัริย์ไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการมอมเมาประชาชนหรือสร้างความกลัว เหมือนคนรวยเลี้ยงหมาดุไว้ป้องกันขโมย มีใครบ้างจะอ้างว่าหมาดุเป็นตัวคุมอำนาจจริงในบ้านคนรวย?

กษัตริย์วชิราลงกรณ์แสดงความโลภและพยายามกวาดกองทุนต่างๆ เกี่ยวกับกษัตริย์ มาเป็นของตัวเองในลักษณะส่วนตัว และพยายามบังคับให้กองทหารหลายหน่วยมาดูแลตัวเขา แต่นั้นไม่ใช่อาการของคนที่มีอำนาจแท้เหนือสังคม มันเป็นแค่ความกระตือรือร้นของวชิราลงกรณ์ที่จะเสพสุขกับทรัพย์สินมหาศาลและนางสนม และเผด็จการทหารก็มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเลี้ยงเครื่องมือของมัน ก็เลยปล่อยให้ทำ

วชิราลงกรณ์ไม่เคยสนใจนโยบายการเมืองกับเศรษฐกิจ หรือสนใจที่จะกำหนดทิศทางของสังคมแม้แต่นิดเดียว แถมไม่มีปัญญาจะคิดเรื่องแบบนี้ด้วย ผู้นำที่มีอำนาจจริงย่อมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เสมอ และย่อมพยายามเอาใจประชาชนด้วยการสร้างภาพที่ดีกับตนเองอีกด้วย เพราะรู้ว่าในการปกครองประชาชนต้องมีการเอาใจพลเมืองพร้อมกับการใช้กำลัง ตรงข้ามกับวชิราลงกรณ์เขาไม่แคร์อะไรนอกจากตัวเอง ไม่ต่างจากหมาดุที่เฝ้าบ้านคนรวยที่ไม่มีปัญญาที่จะแคร์อะไรนอกจากจะได้กินอาหารมื้อต่อไป

การมีอำนาจในสังคม มีไว้เพื่อกำหนดนโยบายต่างๆ ในสังคม ดังนั้นคนที่ไม่กำหนดนโยบายอะไรต่อสังคมย่อมไม่มีอำนาจ

สำหรับคนที่มองว่าเผด็จการทหารไม่แย่เท่ากับระบบกษัตริย์ กรุณาไปศึกษาการทำลายสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย หรือการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง ในยุคของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งผู้นำคนนี้เกลียดระบบกษัตริย์

ส่วนใหญ่แล้วคนที่คลั่งซุบซิบเกี่ยวกับกษัตริย์ไทย เป็นคนที่นิยมแนวคิด “ไทยเป็นสังคมพิเศษเฉพาะ” เพื่อจะได้ไม่ต้องศึกษาระบบกษัตริย์เปรียบเทียบด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ เช่นพวกนี้มักจะมองว่ากษัริย์ไทยไม่ต้องสั่งอะไรโดยตรงอย่างชัดเจนแต่คนรับใช้มักเดาใจ“พระองค์”ได้เอง [ดู https://bit.ly/3h2DROi และ https://bit.ly/2GcCnzj ] หรือพวกที่ชื่นชมสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษ สวีเดน หรือญี่ปุ่น โดยไม่ศึกษาว่าสถาบันดังกล่าวยังคงไว้ทำไมและรับใช้ผลประโยชน์ชนชั้นไหนในสังคม

สิ่งที่ขาดหายไปจากการวิเคราะห์ของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่หมกมุ่นกับการด่ากษัตริย์เพื่อ “ความมัน” คือการศึกษาระบบกษัตริย์เปรียบเทียบในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ เพราะคนที่ศึกษาเรื่องนี้จะพบว่าสาเหตุหลักที่มีการคงไว้ระบบกษัตริย์ในบางประเทศของยุโรป ในมาเลเซีย หรือในญี่ปุ่น ก็เพื่อที่จะส่งเสริมแนวคิดอนุรักษนิยมของชนชั้นนายทุนที่หมั่นสอนประชาชนชั้นล่างว่า “การเกิดสูงและเกิดต่ำเป็นเรื่องธรรมชาติ” ดังนั้นนายทุนใหญ่ คนรวย และเหล่ารัฐบุรุษต่างๆ สมควรที่จะมีอำนาจในการปกครอง และสมควรที่จะร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่คนธรรมดาต้องเชื่อฟังและทำตาม เพราะคนธรรมดาไม่มีความสามารถในการปกครองตนเอง

นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์ในโลกสมัยใหม่ ย่อมเป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในการเป็น “ที่พึ่งสุดท้ายในยามวิกฤต” คือทำตัวเป็นสัญลักษณ์ของชาติเพื่อออกมาโชว์ตัวในยามวิกฤตที่นักการเมืองหรือผู้นำชนชั้นปกครองทำอะไรไม่ได้ ในแง่นี้ไทยก็ไม่ต่าง ลองดูพฤติกรรมของภูมิพลในเหตุกรณ์ ๑๔ ตุลา หรือพฤษภา ๓๕ ก็ได้ คือต้องถูกผลักออกมาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เหล่านั้นลามไปสู่การล้มอำนาจของชนชั้นปกครองโดยประชาชน ในลักษณะเดียวกันท่ามกลางวิกฤตโควิด ราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ ก็ถูกเข็นออกมาปราศัยทางโทรทัศน์ เพื่อพยายามเสนอว่าพลเมืองอังกฤษต้องสามัคคีกัน แทนที่จะวิจารณ์นโยบายแย่ๆ ของรัฐบาลที่ทำให้คนตายหลายหมื่น

ในประเทศที่เป็นสาธารณรัฐเขาอาศัยสัญลักษณ์อื่นในการส่งเสริมแนวคิดนี้ เช่นแนวชาตินิยม หรือนิยายเรื่องการปฏิวัติในอดีต แต่ที่สำคัญคือสถาบันกษัตริย์ในทุกประเทศในยุคปัจจุบัน รวมถึงประเทศไทย เป็นแค่สัญลักษณ์ล้าหลังที่ชนชั้นปกครองพยายามใช้ในการคุมพลเมือง การสร้างภาพว่าราชินีอังกฤษ “แต่งตั้ง” นายกรัฐมนตรี หรือศาลตุลาการ ฯลฯ หรือการที่ราชินีอังกฤษจะเปิดสภาหรือพูดถึงรัฐบาลว่าเป็นรัฐบาล “ของเขา” เป็นเพียงพิธี ไม่ต่างจากไทย ไทยมีข้อแตกต่างคือมีประวัติความเป็นเผด็จการมาหลายปี ในขณะที่กระแสความคิดของคนไทยส่วนใหญ่นิยมประชาธิปไตย ท่ามกลางความขัดแย้งนี้พวกเผด็จการไทยจึงต้องหา “สิ่งศักดิสิทธิ์” มาช่วยกดทับพลเมืองเพื่อพยุงเผด็จการ และสาเหตุที่ยังทำได้ก็เพราะระดับการต่อสู้จากระดับรากหญ้าในไทย โดยเฉพาะจากขบวนการกรรมาชีพ ยังอ่อนแอ

กษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ร่ำรวย และเสพสุขบนหลังประชาชนก็จริง มีคนเชิดชูและหมอบคลานเข้าหาก็จริง แต่กษัตริย์คนนี้ไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง และถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยทหารและชนชั้นนำอื่นๆ เช่นนักการเมืองนายทุนอย่างทักษิณ การเชิดชูกษัตริย์แบบบ้าคลั่งที่เกิดขึ้น กระทำไปเพื่อให้ความชอบธรรมกับการกระทำของทหารและชนชั้นนำคนอื่นเท่านั้น

รัชกาลที่ ๑๐ ยิ่งอ่อนแอกว่าพ่อของเขา และไม่สนใจเรื่องการเมืองและสังคมไทยเลย วชิราลงกรณ์ ต้องการเสพสุขที่เยอรมันอย่างเดียว

ประเด็นสำคัญคือ สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ วชิราลงกรณ์ ดูเหมือนไม่มีความสำคัญแม้แต่นิดเดียวต่อเรื่องชีวิตธรรมดาหรือปัญหาปากท้อง เวลาคนออกมาเคลื่อนไหวเพราะเดือดร้อนหรือโกรธแค้น ซึ่งยังเกิดขึ้นเป็นประจำ เป้าหมายของเขาอยู่ที่รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์

46398d1788a446259c92282a67db5141

และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ  ถ้าเราจะสร้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมในสังคม พลเมืองไทยต้องรวมตัวกันเคลื่อนไหวในขบวนการมวลชนอันยิ่งใหญ่ ต้องลงถนน และต้องเคลื่อนกับขบวนการกรรมาชีพ ต้องสร้างพรรคที่พร้อมจะนำการเคลื่อนไหว ต้องเรียนบทเรียนเกี่ยวกับจุดอ่อนจาก ๑๔ ตุลา พฤษภา ๓๕ และเสื้อแดง เพื่อพัฒนาพลังการเคลื่อนไหว ไม่ใช่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซุบซิบเรื่องวชิราลงกรณ์ การที่ภาระอันยิ่งใหญ่นี้ยังไม่สำเร็จก็เพราะยังไม่มีการลงมือจัดตั้งขบวนการอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพราะอะไรที่วชิราลงกรณ์ทำหรือไม่ทำ

 

อ่านเพิ่ม

บทความวิชาการของ ใจ อึ๊งภากรณ์ https://independent.academia.edu/GilesUngpakorn

การเปลี่ยนแปลงจากศักดินาสู่ทุนนิยมในไทย https://bit.ly/2ry7BvZ

มาร์คซิสต์วิเคราะห์ปัญหาสังคมไทย https://bit.ly/3112djA

บทบาทแท้ของนายภูมิพล และสถาบันกษัตริย์ไทย นิยายและความจริง https://bit.ly/2BLf2Gy

ข่าวมรณกรรมนายภูมิพล https://bit.ly/2XHjyhG

อำนาจกษัตริย์ https://bit.ly/2GcCnzj

ความเลวของวชิราลงกรณ์ https://bit.ly/2Lptg4d

เราจะสู้อย่างไร? https://bit.ly/2RQWYP4

ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในปัจจุบัน – จุดยืนมาร์คซิสต์   https://bit.ly/2UpOGjT

 

การอุ้ม วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ – ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบ

ใจ อึ๊งภากรณ์

ไม่ว่าจะมีการสั่งฆ่าโดยตรง หรือมีการเปิดไฟเขียวให้คนอื่นฆ่า ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องเป็นผู้ที่ถืออำนาจในยุคนั้นๆ ความรับผิดชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องเดียวกับความผิดที่มาจากการสั่งการโดยตรงทั้งๆ ที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนใดคนหนึ่งอาจสั่งการไปด้วย ปัญหาที่มักพบคือพิสูจน์คำสั่งโดยตรงยาก แต่ประเด็นคือคนที่มีอำนาจเพราะมีตำแหน่งต้องรับผิดชอบ เพราะผู้บริหารองค์กรหรือประเทศมีอำนาจ และต้องรับผิดชอบต่ออำนาจที่สังคมมอบให้หรือที่เขายึดมาจากสังคมผ่านการทำรัฐประหาร

ในแง่นี้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของสหาย สุรชัย, ภูชนะ กับ กาสะลอง

และประยุทธ์ จันทร์โอชา กับแก๊ง คสช. ต้องรับผิดชอบต่อการหายตัวไปของ ชูชีพ ชีวะสุทธิ์ (ลุงสนามหลวง), สยาม ธีรวุฒิ และกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งเราคงต้องสรุปว่าทหารของ คสช. อุ้มฆ่าสามคนนี้

และล่าสุดแก๊งเผด็จการรัฐสภาของประยุทธ์ต้องรับผิดชอบกับการอุ้มตัววันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์

563000006013201

 

10 ปีหลังการสังหารเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตย โดยอนุพงษ์ เผ่าจินดา, ประยุทธ์ จันทร์โอชา, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ ฆาตกรแก๊งนี้ยังลอยนวล

16 ปีหลังเหตุสังหารประชาชนมาเลย์มุสลิมที่ตากใบ ทหารตำรวจและทักษิณ ชินวัตร ยังลอยนวล

27 ปีหลังการสังหารผู้รักประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕ ฆาตกรทหารยังลอยนวล

44 ปีหลังเหตุการณ์นองเลือด ๖ ตุลา ฆาตกรทหารและตำรวจยังลอยนวล และฆาตกรหลายคนคงตายไปแล้ว

ตั้งแต่กบฏผู้มีบุญในอีสาน ที่เกิดขึ้นเพื่อต้านการกดขี่ที่มาพร้อมกับการสร้างรัฐไทยสมัยใหม่ในยุครัชกาลที่๕ ชนชั้นปกครองไทยมือเปื้อนเลือดจาก “อาชญากรรมรัฐ” ซ้ำแล้วซ้ำอีก และไม่มีเคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนใดที่ถูกลงโทษ วัฒนธรรมการลอยนวลของอาชญากรระดับสูงในสังคมไทยจึงถูกผลิตซ้ำอย่างต่อเนื่อง

ในกรณีการอุ้มฆ่านักสิทธิมนุษยชน เช่นทนายสมชาย หรือนักเคลื่อนไหวไทยในประเทศลาวและเขมร เราต้องเข้าใจว่ารัฐบาลเผด็จการทรราชในไทยและทั่วโลก มักจะออกมาโกหกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมแบบนี้เป็นธรรมดา และวิธีการที่พวกนี้ใช้มักจะไม่เหลือหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรให้เราสืบค้นได้ แต่นั้นไม่ได้แปลว่ารัฐบาลเหล่านั้นไม่ได้มีส่วนในการก่ออาชญากรรม

เผด็จการทหารไทยมีประวัติในการเกี่ยวข้องกับการอุ้มฆ่าคนที่เห็นต่างหรือวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ “โกตี๋” กับ “ดีเจซุนโฮ” ที่อยู่ในประเทศลาว เป็นตัวอย่างที่ดีของการถูกอุ้มฆ่า กองทัพไทยใช้กองกำลังลับ เพื่อฆาตกรรมวิสามัญคนมาเลย์มุสลิมที่ต่อต้านรัฐบาลไทยในปาตานี และใช้อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้กองทัพไทยมีประวัติในการข้ามพรมแดนเข้าไปในประเทศลาวเพื่อไปใช้อาวุธแบบลับๆ ร่วมกับสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม มันชวนให้เราคิดว่าการข้ามพรมแดนไปฝั่งลาว-เขมรของทหารไทยเป็นเรื่องธรรมดา

ที่เห็นชัดคือประเทศไทยเป็นประเทศที่ไร้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนโดยสิ้นเชิง และเราไม่สามารถพึ่งพรรคการเมืองกระแสหลักได้ในขณะนี้ ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญกับการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของมวลชน เพื่อขยายพื้นที่สิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยในสังคมของเรา