ห้าสิบปีที่แล้วมีการพยายามปฏิวัติสังคมนิยมในยุโรปตะวันตก คือในประเทศโปรตุเกส ในปี 1974 โปรตุเกสเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรปตะวันตก บริษัทข้ามชาติเริ่มเข้ามาลงทุนในประเทศ เพื่อฉวยโอกาสใช้แรงงานราคาถูก มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมต่อเรือ และการสื่อสาร ซึ่งทำให้ชนชั้นกรรมาชีพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มีการกระจุกอยู่ในส่วนกลางของประเทศในขณะที่ทางเหนือมีเกษตรกรยากจนจำนวนมาก
หลังสงครามโลกครั้งที่สองประเทศเจ้าอาณานิคมในยุโรปตะวันตกอยู่ในสภาพวิกฤต เพราะอ่อนแอจากการทำสงคราม และเผชิญหน้ากับขบวนการชาตินิยมทั่วโลกที่เติบโตในขณะที่มหาอำนาจกำลังสู้รบกันเอง ในตอนแรกสันดานของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส อังกฤษ และโปรตุเกส นำไปสู่การพยายามปราบปรามขบวนการกู้ชาติเหล่านี้ด้วยความรุนแรงป่าเถื่อน แต่ในไม่ช้าฝรั่งเศสกับอังกฤษเข้าใจว่าคงปกครองประเทศอาณานิคมต่อไปไม่ได้
แองโกลา โมแซมบีก และ กีนีบิเซา เป็นอาณานิคมของโปรตุเกสในแอฟริกา แต่โปรตุเกสมีอาณานิคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย คือติมอร์เลสเตหรือติมอร์ตะวันออก โปรตุเกสซึ่งไม่ได้ร่วมในสงครามโลกครั้งที่สอง พยายามคุมอาณานิคมจนวินาทีสุดท้ายด้วยการปราบปรามขบวนการชาตินิยม โดยเฉพาะสามประเทศในแอฟริกา ตั้งแต่ปี 1961ขบวนการ MPLA ในแองโกลา เริ่มต่อสู้กับทหารโปรตุเกส และในปีต่อมา FRELIMO ในโมแซมบีก ก็ประกาศศึกกับโปรตุเกส ส่วนในติมอร์เลสเตขบวนการชาตินิยม “เฟรตีลิน” พึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1974
ในช่วงนี้โปรตุเกสปกครองด้วยระบบฟาสซิสต์ที่เรียกว่า “รัฐใหม่” ภายใต้เผด็จการของซาลาซาร์ ต่อมาเมื่อ ซาลาซาร์ เสียชีวิต ไกตานู ก็ขึ้นมาเป็นผู้นำเผด็จการฟาสซิสต์คนใหม่ในปี 1968
ถ้าดูบริบททางสังคมและการเมืองในยุโรปยุค 1968 จะเข้าใจว่าเป็นยุคที่คนหนุ่มสาวและกรรมาชีพลุกขึ้นสู้อย่างดุเดือด โดยเฉพาะในฝรั่งเศสกับอิตาลี่ ซึ่งแน่นอนมีผลกับคนหนุ่มสาวและกรรมาชีพในโปรตุเกสที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากภายใต้เผด็จการอนุรักษ์นิยมสุดขั้ว เผด็จการนี้เน้นความรักชาติ ความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันครอบครัวแบบชายเป็นใหญ่ และความสำคัญในการเชื่อฟังผู้นำทางการเมืองกับพวกพระคาทอลิก
ประกายไฟจาก 1968 ได้ลุกเป็นเปลวในประเทศโปรตุเกส ในยุคนั้นการที่โปรตุเกสพยายามปกป้องอาณานิคมของตนเองด้วยกำลังทหาร เริ่มมีปัญหามากขึ้น รัฐบาลประกาศเกณฑ์ทหารไปรบในแอฟริกามากขึ้น ซึ่งในที่สุดทำให้ความไม่พอใจในหมู่ประชาชนธรรมดาระเบิดออกมา เพราะกรรมาชีพในโปรตุเกสไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลยจากการที่ประเทศมีอาณานิคมในแอฟริกา สภาพความยากจนและการถูกกดขี่ขูดรีดไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย และคนที่ได้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่คือพวกนายทุน นายพลระดับสูง กับนักการเมืองฟาสซิสต์ แถมตอนนั้นรัฐบาลกำลังบังคับคนหนุ่มสาวให้ไปตายฟรีๆ ในสงครามที่โปรตุเกสกำลังแพ้ ซึ่งสร้างความไม่พอใจมากในกองทัพ จึงมีการสร้าง “ขบวนการทหาร” (MFA) และวางแผนทำรัฐประหารในเดือนเมษายน 1974 โดยหัวหอกหลักในรัฐประหารครั้งนั้นคือกองพลวิศวกรภายใต้ ออร์เทโล คาวาลโยรัฐประหารครั้งนั้นสามารถล้มรัฐบาลขวาจัดฟาสซิสต์ของ ไกตานู แต่ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากอิทธิพลของพวกอนุรักษ์นิยมได้ จึงนำไปสู่การแต่งตั้งนายพลฝ่ายขวาชื่อนายพลสปินโนลา เป็นประธานาธิบดีคนใหม่
ไม่กี่ชั่วโมงหลังรัฐประหาร ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนก็ออกมาฉลองและสนับสนุน กำลังสำคัญมาจากขบวนการแรงงาน เช่นในโรงงานอุตสาหกรรมและโรงต่อเรือ นอกจากนี้มีการยึดบ้านว่างโดยคนไร้บ้าน ต่อมาประชาชนออกมาเดินขบวนหนึ่งคนแสนในเมืองลิสบอนในวันแรงงานสากล ซึ่งในยุคนั้นโปรตุเกสมีประชากรแค่ 8.8 ล้านคน
อย่างไรก็ตามกลุ่มทหาร MFA พยายามตลอดเวลาที่จะยับยั้งการลุกฮือของนักสหภาพแรงงาน และมีการตั้งคณะทหารขึ้นมาเพื่อหนุนรัฐบาลใหม่ของนายพล สปินโนลา นอกจากนี้มีการปฏิรูปกองทัพให้หลุดพ้นจากพวกฟาสซิสต์เก่า โดยมีการสร้างกองกำลัง COPCON ภายใต้ นายพลจัดวาออร์เทโล คาวาลโย
ถึงแม้ว่า คาวาลโย เป็นทหารหนุ่มที่ก้าวหน้า แต่เขามีจุดยืนไม่ชัดเจน แกว่งไปแกว่งมาระหว่างฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย ยิ่งกว่านั้นเขามีลักษณะชอบทำตัวเป็นพระเอกหรือวีรชนเอกชน และในอดีตเขายังเคยชื่นชมฟาสซิสต์ด้วย
ในสถานการณ์แบบนี้ เริ่มมีกลุ่มทหารระดับล่างและคนงานฝ่ายซ้ายที่อยากทำการปฏิวัติสังคมนิยม ซึ่งนำไปสู่การพยายามช่วงชิงการนำทางการเมืองระหว่างพวกฝ่ายขวาที่เป็นพรรคพวกของนายพล สปินโนลา ซึ่งต้องการปกป้องทุนนิยมภายใต้ประชาธิปไตยรัฐสภา กับฝ่ายซ้ายที่ประกอบไปด้วยนายทหารระดับล่าง กรรมาชีพ และนักปฏิวัติสังคมนิยม
ในเดือนพฤษภาคมคาดว่าสถานที่ทำงาน 158 แห่งมีการนัดหยุดงาน และใน 35 แห่งมีการยึดโรงงาน ยิ่งกว่านั้นมีการสร้าง “คณะกรรมการและสภาคนงาน” 4000 สภาในสถานที่ทำงานเกือบทุกแห่งในเมืองลิสบอน มีการผสมผสานข้อเรียกร้องการเมืองและเศรษฐกิจ คือมีข้อเรียกร้อง “ทำความสะอาดกวาดล้าง” ที่ขับไล่พวกสมุนฟาสซิสต์ออกจากที่ทำงาน และมีการเรียกร้องให้ขึ้นค่าแรงพร้อมๆ กัน
พรรคคอมมิวนิสต์ (สายสตาลิน) ของโปรตุเกสมีสมาชิกประมาณ 5000 คน และหลังรัฐประหารพรรคก็พยายามสร้างสหภาพแรงงานอิสระใหม่ภายใต้การควบคุมของพรรคที่เรียกว่า “เครือข่ายสหภาพ” โดยหันหลังให้กับการจัดตั้งของคนงานใน “คณะกรรมการและสภาคนงาน” ในระยะหลังมีการโจมตี “คณะกรรมการและสภาคนงาน” โดยพรรคคอมมิวนิสต์เพราะพรรคควบคุมองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามนักเคลื่อนไหวหลายคนใน “คณะกรรมการและสภาคนงาน” เป็นสมาชิกพรรค พวกนี้ลาออกหรือโดนไล่ออกจากพรรค ซึ่งนำไปสู่การสร้างองค์กรฝ่ายซ้ายอื่นๆ ภายใต้ความคิดหลวมๆ ของลัทธิเหมา เช่นองค์กร MRPP, PRP/BR และ MES คนหนุ่มสาวในโปรตุเกสในยุคนั้น หลงเชื่อว่าลัทธิเหมาก้าวหน้ากว่าพรรคคอมมิวนิสต์เดิม
เกิดการปะทะกันระหว่างแรงงานกับรัฐบาลครั้งแรกในเดือนมิถุนายน เมื่อคนงานไปรษณีย์หนึ่งพันคนนัดหยุดงาน รัฐบาลสั่งให้ทหารไปปราบ แต่ทหารธรรมดาบางคนไม่ยอมไปร่วมในการปราบปรามคนงาน ต่อมาในเดือนกันยายนมีการนัดหยุดงานใหญ่ในโรงต่อเรือและมีการเดินขบวนของคนงาน รัฐบาลสั่งให้ทหารติดอาวุธออกไปปราบ แต่ท่ามกลางการตะโกนของคนงานว่า “ทหารคือลูกหลานของคนงาน” และ “อาวุธของทหารต้องไม่ใช้กับคนงาน” มีการกบฏของทหารโดยที่ผู้บังคับบัญชาทำอะไรไม่ได้ ในเดือนเดียวกันพวกนายทุนและฝ่ายขวารวมถึงนายพล สปินโนลา พยายามทำรัฐประหารกระแส “เสียงเงียบ” เพื่อยับยั้งฝ่ายซ้าย แต่ถูกสกัดโดยขบวนการทหารกับขบวนการประชาชน
ในเดือนกุมภาพันธ์ปีต่อไป “คณะกรรมการและสภาคนงานจากโรงงาน” 38 แห่งจัดให้มีการเดินขบวนต่อต้านการปิดโรงงาน และต่อต้านสหรัฐกับนาโต้เนื่องในโอกาสที่กองทัพเรือสหรัฐเข้ามาฝึกซ้อมสงคราม พรรคคอมมิวนิสต์และพรรคการเมืองอื่นๆ ทุกพรรคไม่เห็นด้วยกับการเดินขบวนครั้งนี้ และรัฐบาลสั่งให้กองกำลัง COPCON ไปยับยั้ง ในวันประท้วงมีคนเข้าร่วม 80,000 คน และCOPCON ทำท่าจะปิดถนนที่นำไปสู่สถานทูตสหรัฐ แต่พอขบวนคนงานถึงด่านทหาร พวกทหารคอมมานโดก็ให้ผ่านและหันหลังกับคนงานพร้อมกับหันปืนเข้าสู่สถานทูตสหรัฐ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสมานฉันท์ระหว่างทหารกับ “คณะกรรมการและสภาคนงาน”
ตั้งแต่ต้นปี 1975 มีการลุกฮือของคนระดับล่างมากขึ้น มีการยึดโรงงาน เกษตรกรยึดที่ดินทางใต้ นักเรียนนัดหยุดงานในโรงเรียน และทหารระดับล่างออกสู่ชนบทเพื่อให้การศึกษากับประชาชน ดังนั้นในเดือนมีนาคมฝ่ายขวาและนายทุนพยายามก่อรัฐประหารอีกครั้ง แต่ถูก COPCON และคนงานจัดการจนล้มเหลว ตามถนนหนทางคนงานปิดถนนโดยใช้รถบรรทุกและรถขนดิน และทหารธรรมดาก็จับมือคุยกับคนงานอย่างเปิดเผย นายพล สปินโนลา และพวกนายทุนจึงต้องหนีออกนอกประเทศไปสเปน
เหตุการณ์นี้เป็นจุดสุดยอดของการปฏิวัติโปรตุเกส หนังสือ “รัฐกับการปฏิวัติ” ของเลนินกลายเป็นหนังสือขายอันดับหนึ่ง และมีการแข่งแนวทางการเมืองในหมู่ฝ่ายซ้ายอย่างดุเดือด เพราะทั้งพรรคคอมมิวนิสต์ และพรรคซ้ายอื่นๆ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยอดขายหนังสือโป้ก็พุงสูง เพราะเคยเป็นหนังสือต้องห้ามภายใต้เผด็จการอนุรักษ์นิยม ส่วน ออร์เทโล คาวาลโย หัวหน้า COPCON ก็เริ่มใกล้ชิดกับฝ่ายซ้ายกลุ่ม PRP/BR มากขึ้น ที่สำคัญคือเกือบทุกฝ่ายยังไม่มีความชัดเจนว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมโปรตุเกสไปสู่อะไรอย่างไร ข้อยกเว้นคือพรรคสังคมนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยในเยอรมันและเงินจากซีไอเอและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา พรรคสังคมนิยมโปรตุเกสต้องการสร้างรัฐสภาประชาธิปไตยในระบบทุนนิยมกลไกตลาด และต้องการยับยั้งการปฏิวัติ
ในเดือนเมษายน1975 มีการเลือกตั้งทั่วประเทศ เพื่อเลือก “สภาที่ปรึกษา” ให้กับคณะทหาร MFA ปรากฏว่าพรรคสังคมนิยมได้ 38% และพรรคคอมมิวนิสต์ ได้แค่ 13% ส่วนกลุ่มฝ่ายซ้ายอื่นๆ มีเสียงสนับสนุนน้อย ประเด็นสำคัญตรงนี้ที่เราต้องเข้าใจคือ เวทีการเลือกตั้งในประชาธิปไตยทุนนิยม มักให้ประโยชน์กับพรรคการเมือง“กระแสหลัก” เพราะประชาชนไปลงคะแนนเสียงแบบปัจเจกในบริบทของการรักษาระบบที่มีอยู่ ต่างจากเวทีการต่อสู้ เช่นการประท้วง นัดหยุดงาน หรือยึดสถานที่ทำงาน ซึ่งในกรณีแบบนั้นพรรคหรือกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายที่ต้านกระแสหลักจะได้ประโยชน์ เพราะมวลชนรู้สึกว่าตนเองมีพลังจากการต่อสู่รวมหมู่ คนจำนวนมากจึงมองว่าสังคมใหม่สร้างได้ นอกจากนี้ในเวทีสู้แบบนี้มีการถกเถียงการเมืองต่อหน้ามวลชนอย่างเปิดเผย โดยที่ใครๆ ก็แสดงความเห็นได้
หลังจากการเลือกตั้ง กระแสการปฏิวัติลดลงอย่างมาก สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศก็แย่ลง เพราะกลุ่มทุนข้ามชาติถอนทุนออกจากประเทศ และเมื่อโปรตุเกสยกอิสรภาพให้กับอาณานิคม ทหารผ่านศึกและข้าราชการในอาณานิคมจำนวนมากก็กลับบ้านท่ามกลางวิกฤตการตกงาน เกษตรกรรายย่อยทางเหนือที่ไม่ได้อะไรจากการล้มเผด็จการเพราะเป็นเจ้าของที่ดินอยู่แล้ว ก็เริ่มเบื่อหน่ายกับความวุ่นวาย และคนชั้นกลางเริ่มเบื่อหน่ายกับความวุ่นวายเช่นกันนอกจากนั้นประเทศรอบข้างในยุโรปกดดันให้โปรตุเกสสร้าง “เสถียรภาพ” ในสภาพเช่นนี้ถ้าไม่มีการเดินหน้าไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม ก็จะมีการถอยหลังสู่ทุนนิยมกระแสหลัก
ความล้มเหลวของการปฏิวัติสังคมนิยมในโปรตุเกสไม่ใช่เพราะการปฏิวัติสังคมนิยมหมดยุคแต่อย่างใด แต่มาจากสี่สาเหตุหลักคือ
- ฝ่ายที่ต้องการปฏิวัติพึ่งพาทหารระดับล่างและไว้ใจคนอย่างนายพลจัตวา ออร์เทโล คาวาลโยมากเกินไปแทนที่จะเน้นพลังกรรมาชีพ ตัวอย่างที่ดีของความคิดผิดๆ แบบนี้จากที่อื่นคือการที่องค์กร “ละบังอังมาซา” ในฟิลิปปินส์ เคยเพ้อฝันว่านายทหารระดับล่างจะทำรัฐประหารและจุดประกายการปฏิวัติ หรือกรณีเวนเนสเวลา ที่บูชา ชาเวส และกองทัพมากเกินไป
- พรรคคอมมิวนิสต์สายสตาลิน ซึ่งมีอิทธิพลสูงในหมู่กรรมาชีพ ไม่ต้องการปฏิวัติสังคมนิยมจริงๆ ตามนโยบายปฏิรูปซึ่งกลายเป็นแนวการเมืองหลักของพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลกในยุคนั้น เช่นที่อิตาลี่พรรคคอมมิวนิสต์ไปจับมือกับพรรคนายทุน แสดงว่าทั่วโลกเมื่อชนชั้นปกครองไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เอง จำต้องพึ่งพรรคแรงงาน พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย พรรคคอมมิวนิสต์ หรือผู้นำสหภาพแรงงาน เพื่อทำลายกระแสปฏิวัติ
- กลุ่มฝ่ายซ้ายที่ปฏิเสธแนวปฏิรูปของพรรคคอมมิวนิสต์แตกแยกและไม่สนใจที่จะจัดตั้งพรรคปฏิวัติอย่างแท้จริงและยังหลงอยู่กับการทำงานลับ แนวเหมา หรือการพึ่งพาทหาร
- ฝ่ายปฏิวัติประเมินปัญหาของการเน้นรัฐสภาทุนนิยมต่ำเกินไป และไม่พยายามสร้างประชาธิปไตยแบบสภาคนงานแทน คล้ายกับการที่นักเคลื่อนไหวคนหนุ่มสาวในไทยจำนวนมากหลงตั้งความหวังกับรัฐสภาและพรรคก้าวไกล
เรื่องตลกร้ายที่ปิดท้ายเรื่องนี้คือ เคยมีนักวิชาการเสื้อเหลืองในไทยชื่อ สุรพงษ์ ชัยนาม ที่โกหกว่ารัฐประหาร ๑๙ กันยา ๒๕๔๙ ที่ล้มรัฐบาลทักษิณ เหมือนกับการทำรัฐประหารล้มรัฐบาลฟาสซิสต์ในการปฏิวัติโปรตุเกส!!!
ใจ อึ๊งภากรณ์