ผู้ประท้วงไม่ควรฝากความหวังไว้ที่รัฐสภา

ถ้าเป้าหมายในใจของผู้ประท้วงคือแค่การกดดันให้รัฐสภาพิจารณาสามข้อเรียกร้องหลักของคณะราษฏร หรือส่งลูกและฝากความหวังไว้กับพรรคก้าวไกลหรือพรรคเพื่อไทย เรื่องจะจบลงด้วยการประนีประนอมที่แย่ที่สุด

ในเมื่อผู้รักประชาธิปไตยออกมาแสดงพลังเป็นแสนๆ และฝ่าการปราบปรามของตำรวจ มันจะเป็นการพลาดโอกาสที่น่าเศร้าใจ

อย่าให้ใครมาบอกเราว่า “เราทำได้แค่นี้” หรือ “ต้องใจเย็นปฏิรูปไปทีละก้าว” เพราะการปฏิรูปไปทีละก้าวอาจทำให้มีการถอยหลังทีละก้าวได้ง่าย

เราพอจะเดากันได้ว่าถ้ามีการพิจารณาสามข้อเรียกร้องในสภา มีแค่ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับรัฐรรมนูญที่พวกนั้นจะยอมพิจารณา และคงจะเป็นการ “แก้” รัฐธรรมนูญในบางจุดเท่านั้น ไม่ใช่การร่างใหม่โดยประชาชนรากหญ้า

ในบทความก่อนหน้านี้ผมพยายามเสนอว่าประยุทธ์คงไม่ลาออกง่ายๆ เพราะพวกโจรเผด็จการมันลงทุนไว้เยอะ เช่นเรื่องการแต่งตั้งส.ว.และโกงการเลือกตั้งฯลฯ ถ้าประยุทธ์จะลาออกมันจะเป็นการยอมแพ้โดยสิ้นเชิง และเสียหน้ามากมาย ถ้าจะทำให้เป็นจริงต้องมีการยกระดับการต่อสู้ไปสู่พลังเศรษฐกิจผ่านการนัดหยุดงานเพื่อทำให้รัฐบาลบริหารประเทศไม่ได้ หรืออีกทางหนึ่งคือการก่อจลาจลซึ่งไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเพราะจะมีการเสียเลือดเนื้อมากมาย

ชลบุรี

การนัดหยุดงานเป็นไปได้เพราะนักสหภาพแรงงานบางส่วนออกมาร่วมการประท้วงแล้วที่รังสิตกับชลบุรี การนัดหยุดงานเป็นไปได้เพราะนักเรียนนักศึกษาที่นำการประท้วงได้รับความชื่นชมในสายตาประชาชนเป็นล้านๆ แต่ถ้าจะให้เกิดขึ้น นักเรียนนักศึกษาจะต้องจับมือกับนักสหภาพแรงงานที่ก้าวหน้า และวางแผนเพื่อไปเยี่ยมพูดคุยถกเถียงกับคนทำงานตามสถานที่ทำงานหลายๆ แห่ง และไม่ใช่แค่โรงงาน ควรคุยกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย พนักงานในสำนักงาน และคนที่ทำงานในระบบคมนาคม สรุปแล้วมันต้องมีการลงทุนลงแรงในการทำให้การนัดหยุดงานเกิดขึ้นจริง พลังที่จะล้มเผด็จการไม่ได้เกิดขึ้นเองแบบง่ายๆ

ส่วนเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ สำหรับพวกเรามันเป็นเรื่องที่มีเหตุมีผลมากมาย และหลายคนมองว่าเป็นข้อเสนออ่อนๆ ที่ไม่ใช่การล้มเจ้า แต่สำหรับทหารมันเป็นเรื่องใหญ่มากและยอมยาก เพราะทหารใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือมา 50 ปีกว่าแล้ว สถาบันกษัตริย์เป็นสิ่งที่ทหารเชิดชูเพื่อใช้ในการให้ความชอบธรรมกับระบบเผด็จการ การสร้างกษัตรย์ให้ดูเหมือนมีอำนาจดุจพระเจ้า เป็นวิธีสร้างความกลัวในหมู่ประชาชน ดังนั้นถ้าเขายอมถอยในเรื่องนี้ ทหารจะหมดความชอบธรรมในการแทรกแซงการเมือง ด้วยเหตุนี้เราต้องย้อนกลับมาดูวิธีที่จะกดดันแก๊งประยุทธ์ให้ยอมแพ้ อย่างที่เขียนไว้ข้างบน

การสร้างภาพของทหารที่มีอำนาจเหนือวชิราลงกรณ์

กษัตรย์ไทยไม่มีอำนาจในตัวเอง ทั้ง ร.9 และ ร.10 เป็นคนอ่อนแอทางการเมือง ร.10 อาจทำตัวเหมือนนักเลงกระจอกในเรื่องชีวิตส่วนตัวของเขา แต่เขาสั่งการทหารไม่ได้ สาเหตุที่คนเชื่ออย่างผิดๆ ว่ากษัตริย์มีอำนาจ ก็เพราะทหารและชนชั้นนำไทย รวมถึงทักษิณด้วย ได้เชิดชูกษัตริย์มานานและสร้างขึ้นมาให้ดูเหมือนมีอำนาจล้นฟ้า ทั้งนี้เพื่อให้เรากลัวที่จะตั้งคำถามกับระบบชนชั้นที่กดทับเรา และยอมจำนนต่อแนวคิดว่า “บางคนเกิดสูง บางคนเกิดต่ำ” สาเหตุที่คนจำนวนมากยอมรับความคิดแบบนี้ไม่ใช่เพราะความโง่ แต่เป็นเพราะขาดความมั่นใจที่จะคิดทวนกระแสของชนชั้นปกครอง และการขาดความมั่นใจแบบนี้มักจะหายไปเมื่อมีการเคลื่อนไหวประท้วงของมวลชน นักมาร์คซิสต์เรียกการมองปรากฏการณ์ในโลกแบบ “กลับหัวกลับหาง” ว่าเป็นอาการของสภาพแปลกแยก Alienation และเราแก้ได้ด้วยการต่อสู้ นี่คือสิ่งที่เราเห็นกับตาในไทย ตอนนี้ร.10 ไมใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่คนที่ตาสว่างควรจะตาสว่างเพิ่มขึ้นและเข้าใจว่าศัตรูหลักของเราคือทหารกับพรรคพวกที่สร้างความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ขึ้นมาแต่แรก

ถ้าจะขอให้จบที่รุ่นนี้ ต้องมีการยกระดับการต่อสู้ ไม่ใช่ส่งลูกให้นักการเมืองในรัฐสภา

ใจ อึ๊งภากรณ์

ประยุทธ์เปื้อนเลือดมันไม่ออกง่ายๆ

ทั้งๆ ที่พวกเราเชียร์ความกล้าหาญของคนหนุ่มสาวในการต้านเผด็จการ แต่ในใจเราลึกๆ แล้ว หลายคนเข้าใจว่าประยุทธ์มือเปื้อนเลือดมันคงไม่ออกง่ายๆ ซึ่งแปลว่าเราต้องขยับการต่อสู้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง

ประยุทธ์กับแก๊งเผด็จการมันลงทุนในการครองอำนาจมากมายและยาวนาน มันมือเปื้อนเลือดจากการฆ่าเสื้อแดง มันยึดอำนาจผ่านการทำรัฐประหาร มันขู่ ขัง และฆ่าคนเห็นต่าง มันวางแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ 20  ปี มันออกแบบรัฐธรรมนูญเผด็จการ มันแต่งตั้งพวกของมันเป็นส.ว. และคุมศาล และหลังจากปกครองแบบเผด็จการโดยตรงมันก็โกงการเลือกเพื่อปกครองผ่านเผด็จการรัฐสภา ทั้งหมดนี้แปลว่ามันจะไม่ลงจากอำนาจง่ายๆ

ชนชั้นปกครองไทยแสดงตัวว่าพร้อมจะใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่รักประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้ทหารหรือตำรวจตชด.ยิงผู้ประท้วงที่ไร้อาวุธและทำทารุณกรรมในเหตุการณ์ 14 ตุลา, 6 ตุลา, พฤษภา 35, ตากใบในปาตานี, หรือการฆ่าเสื้อแดง และอย่าลืมว่ามีการวิสามัญฆาตกรรมอีกมากมาย รัฐไทยคือรัฐอาชญากร และประยุทธ์มีส่วนโดยตรงในการฆ่าเสื้อแดง และการอุ้มฆ่าผู้เห็นต่าง

ดังนั้นหลังจากที่ตำรวจสลายการประท้วงของคนหนุ่มสาวที่สยามเมื่อวันก่อน เรามีสิทธิ์ที่จะต้องโกรธแค้น แต่เราไม่ควรแปลกใจ

เราไม่ควรแปลกใจด้วยที่มีการสั่งปิดบริการรถไฟไฟฟ้าด้วย อย่าลืมว่าตอนเสื้อแดงประท้วง BTS มันหยุดวิ่งรถเพื่อให้ทหารสไนเปอร์ขึ้นรางและยิงเสื้อแดงตายที่วัดปทุม

พูดง่ายๆ ฝ่ายมันจะทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจของมัน

การขับไล่เผด็จการออกไป ต้องอาศัยการทำให้ชนชั้นปกครองอยู่ต่อแบบเดิมไม่ได้ ต้องมีการทำให้เขาบริหารประเทศไม่ได้ และต้องทำให้ฝ่ายเขาเริ่มแตกแยกกันเอง พลังที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากไหน?

ในอดีตสมัย 14 ตุลา 2516 มีการนัดหยุดงานมหาศาลในต้นเดือนตุลาคม มีการเคลื่อนไหวของเกษตรกร มีการขยายจำนวนคนที่ชื่นชมพรรคคอมมิวนิสต์ และในที่สุดนักเรียนนักศึกษาและประชาชนคนทำงานก็ออกมา 5 แสนคนกลางถนน มีการสู้กับทหารที่ใช้อาวุธและกระสุนจริงเข่นฆ่าประชาชน และในที่สุดทรราชก็ต้องออกจากประเทศไป

ในสมัยพฤษภา 35 มีการจลาจลเกิดขึ้นหลายวันหลังจากที่ทหารไล่ฆ่าประชาชน จนในที่สุดทรราชต้องลาออก

การรวมตัวกันของพวกเราที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม จนมากันเป็นแสนในเดือนกันยายน และในวันที่ 14 ตุลาคม และความก้าวหน้ากล้าหาญของนักเรียนนักศึกษา แสดงว่าพลังการต่อสู้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น แต่พอมาถึงจุดนี้การใช้เฟลชม็อบเล่น “วิ่งไล่กัน” หรือเล่น “ซ่อนหา” ในกรุงเทพฯ ซึ่งอาศัยความกล้าหาญและความอดทน มันไม่พอที่จะล้มทรราชประยุทธ์

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการประท้วง “ดาวกระจาย” ในวันนี้ (17 ต.ค.) พิสูจน์ว่ากระแสต่อสู้และความต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับสูงในหมู่ประชาชนจำนวนมาก ไม่ใช่แค่คนหนุ่มสาวเท่านั้น เราต้องใช้โอกาสนี้ในการยกระดับการต่อสู้

เราถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เพราะเราจะต้องรักษาโมเมนตัมหรือการเพิ่มพลังที่ขยับไปข้างหน้าให้มันเพิ่มขึ้นอีก ถ้าไม่เช่นนั้นขบวนการเราจะถอยหลัง ดังนั้นต้องมีการต่อสู้ในรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น การพักรบชั่วคราวเพื่อหารือกันและนัดวันประท้วงใหม่ในเดือนข้างหน้าไม่เสียหายอะไรถ้านำไปสู่การประท้วงที่เพิ่มพลัง

แน่นอนผมไม่อยากเห็นการจลาจลที่ทำให้ฝ่ายเราเสียเลือดเนื้อ ทั้งๆ ที่วันก่อนประยุทธ์มันขู่ฆ่าพวกเราไปแล้ว นี่คือสาเหตุที่ผมเสนอว่าเราต้องหาทางปิดสถานที่ทำงานเพื่อให้มีผลทางเศรษฐกิจกับรัฐบาล การหาทางให้คนทำงานนัดหยุดงานประท้วงเผด็จการเป็นวิธีสำคัญที่จะนำไปสู่สิ่งนี้ [ดูรายละเอียดขั้นตอนการสร้างกระแสนัดหยุดงานที่ผมเสนอในบทความก่อนหน้านี้ https://bit.ly/31eJMcX ] แต่อย่างน้อยที่สุดผู้ใหญ่ที่พ้นวัยนักเรียนนักศึกษาแล้วจะต้องออกมาเคลื่อนไหวในจำนวนมากขึ้น

ใจ อึ๊งภากรณ์

การนัดหยุดงานเป็นพลังที่ล้มรัฐบาลได้ และปราบยากที่สุด แต่จะเกิดได้อย่างไร

ในหลายประเทศของโลกที่ประชาชนออกมาต่อสู้เพื่อล้มเผด็จการ การที่ขบวนการแรงงานเข้ามาร่วมโดยมีการนัดหยุดงานในสถานที่ทำงานทั่วประเทศ ทำให้การต่อสู้มีพลังมากขึ้นมหาศาล ตัวอย่างเช่นใน ซูดาน เบลารุส อียิปต์ อัลจีเรีย หรือในประเทศต่างๆ ของยุโรปตะวันออกและลาตินอเมริกา

ดังนั้นถ้าเราจะเสริมพลังของขบวนการที่นำโดยคนหนุ่มสาวในไทย เราต้องหาทางให้มีการนัดหยุดงานตามสถานที่ทำงานต่างๆ ประเด็นคือจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร?

สิ่งแรกที่ต้องอธิบายคือแค่การประกาศทางสื่อออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย ไม่มีวันทำให้การนัดหยุดงานเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมได้เลย ตัวอย่างที่เห็นชัดคือก่อนหน้านี้มีการประกาศว่าวันที่ 14 ตุลาปีนี้จะมีการนัดหยุดงานทั่วไป สำนักข่าวต่างประเทศยังมีการออกข่าวด้วย แต่ในรูปธรรมมันไม่ได้เกิด

การที่จะลงมือเตรียมวางแผนการนัดหยุดงานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันทำได้ ต้องเน้นการพูดคุยกับคนทำงานจำนวนมาก คนหนุ่มสาวไฟแรงที่นำการประท้วงควรจะจัดทีมเพื่อไปพูดคุยกับคนทำงาน อาจในสถานที่ทำงาน หรือในทางเข้าออกจากที่ทำงาน และต้องพยายามสร้างเครือข่ายโดยเฉพาะกับแกนนำสหภาพแรงงานถ้าเขาอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย

ต้องมีการถกเถียงกับคนที่ยังไม่พร้อม หรือคนที่มีข้อกังวลมากมาย ข้อกังวลเป็นเรื่องจริงที่เราต้องเคารพ คือคนจะกังวลว่าจะถูกเลิกจ้างหรือไม่ กังวลว่าถ้าเขาออกมาคนอื่นจะออกมาด้วยหรือไม่ กังวลว่าถ้าสถานที่ทำงานเขาหยุดงานที่อื่นจะหยุดด้วยหรือไม่ หรือกังวลว่ามันผิดกฏหมาย ฯลฯ

การโต้ข้อกังวลต้องอาศัยความรู้สึกว่าเราไม่โดดเดี่ยว เรามีเพื่อราวมงานที่พร้องจะร่วมมือกันจับมือกันและแสดงความสมานฉันท์ในการต่อสู้ การเน้นความปัจเจกย่อมทำให้การต่อสู้ล้มเหลว

แน่นอนการนัดหยุดงานเพื่อข้อเรียกร้องทางการเมืองย่อมผิดกฏหมาย แต่การชุมนุมไล่ประยุทธ์ และเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ที่ราษฎร์ประสงค์ก็ผิดกฏหมายเผด็จการ แต่คนเป็นหมื่นพร้อมจะฝ่าฝืนกฏหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

สาเหตุที่คนออกมาประท้วงเป็นหมื่นเป็นแสนเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้ก็เพราะเขาไม่พอใจกับสภาพการเมืองที่แช่แข็งสังคมมานาน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่นักกิจกรรมต้องทำในขบวนการแรงงานคือ ต้องไปพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการเมืองภาพกว้างและความสำคัญของการออกมาประท้วง ไม่ใช่ไปแค่พูดเรื่องปากท้องวนซ้ำอยู่กับที่

ขอย้ำอีกที ถ้าจะมีการนัดหยุดงานเพื่อไล่ประยุทธ์กับคณะเผด็จการ เพื่อเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ และเพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ต้องมีการคุยเรื่องเหตุผลทางการเมืองเป็นหลัก และขณะนี้เป็นโอกาสทองที่จะทำ เพราะกระแสกำลังขึ้นสูงและประชาชนก็เคารพชื่นชมในสิ่งที่คนหนุ่มสาวทำ

ท้ายสุดเราต้องเข้าใจว่าสถานที่ทำงานมีหลายประเภทและสำคัญพอๆ กันหมด มันไม่ใช่แค่โรงงาน ซึ่งก็สำคัญ แต่มันรวมถึงสำนักงานต่างๆ ที่มีลูกจ้างปกคอขาว เช่นธนาคารหรือแม้แต่ข้าราชการผู้น้อยในกระทรวงต่างๆ มันรวมถึงคนที่ทำงานในระบบขนส่ง มันรวมถึงคนที่ทำงานในระบบสาธารณสุข และมันรวมถึงครูบาอาจรย์ในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนด้วย

และมันรวมถึงคุณพ่อคุณแม่ของคนหนุ่มสาวที่ออกมาประท้วง

ถ้าไม่ลงมือทำวันนี้ จะทำเมื่อไร? ถ้าไม่ล้มเผด็จการวันนี้ เราจะอยู่ต่อไปเป็นทาสนานเท่าไร?

ใจ อึ๊งภากรณ์