โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
การใช้กฎหมาย112 เพื่อปราบปรามคนหนุ่มสาวที่ต่อต้านระบบทุกวันนี้ สะท้อนความป่าเถื่อนของชนชั้นปกครองไทย
ระบบการปกครองในปัจจุบันเป็นระบบเผด็จการทหาร/นายทุน ที่ใช้กษัตริย์เพื่อสร้างความชอบธรรมอย่างต่อเนื่อง ชนชั้นปกครองจึงสร้างภาพเท็จว่ากษัตริย์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปฏิรูปไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันมันไม่ใช่ว่าไทยปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่อย่างใด สถาบันกษัตริย์มีไว้เพื่อค้ำจุนอำนาจทหารที่มาจากการทำลายประชาธิปไตยด้วยการทำรัฐประหาร หรือแม้แต่รัฐบาลนายทุนที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้ข้อจำกัดของประชาธิปไตยทุนนิยม
ประโยชน์ของกษัตริย์สำหรับชนชั้นปกครองในระบบทุนนิยมคือ กษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ที่แช่แข็งความเหลื่อมล้ำในสังคม มันสื่อว่ามีคน “เกิดสูง” และ “เกิดต่ำ” สื่อว่าความไม่เท่าเทียมนี้เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” และสื่อว่าเราควรก้มหัวให้คน “เกิดสูง”
ในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ที่ยังมีสถาบันปรสิตนี้ เช่นอังกฤษ เดนมาร์ก หรือญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ไม่มีการใช้กฎหมาย 112 และทหารไม่มีบทบาททางการเมือง ชนชั้นนายทุนใช้กษัตริย์เพื่อย้ำความคิดอภิสิทธิ์ชนแบบนี้ เขามองว่าประชาชนควรรับรู้ว่าการที่คนรวยกอบโกยผลประโยชน์ต่างๆ แซงคิวต่างๆ และหลีกเลี่ยงภาษี ท่ามกลางความเดือดร้อนของคนธรรมดาที่จ่ายค่าน้ำค่าไฟไม่ได้ เป็นสถานการณ์ปกติตามธรรมชาติ และเขาพยายามอธิบายว่าเราทำอะไรเพื่อเปลี่ยนสังคมไม่ได้
นอกจากนี้สถาบันกษัตริย์ทั่วโลกมีบทบาทสำคัญในการโฆษณาชวนเชื่อให้รักชาติด้วยลัทธิชาตินิยม ลัทธินี้โกหกว่าประชาชนทุกคนในประเทศมีผลประโยชน์ร่วมกัน และเราไม่ควรเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของชนชั้นกรรมาชีพ ไม่ควรเกลียดชังชนชั้นนายทุนที่กดขี่ขูดรีดเรา แนวคิดนี้โกหกด้วยว่ากษัตริย์ “เป็น กลาง” และ “อยู่เหนือความขัดแย้งต่างๆ”
ความเชื่อดังกล่าวเป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะผลประโยชน์นายทุนหรือคนรวย ตรงกันข้ามกับผลประโยชน์พลเมืองส่วนใหญ่เสมอ ตัวอย่างที่ดีคือนโยบายรัดเข็มขัดที่รัฐบาลมักอ้างว่าทำไป “เพื่อชาติ” แต่จริงๆ เป็นการรัดเข็มขัดคนส่วนใหญ่เพื่อเพิ่มกำไรและผลประโยชน์ให้กับนายทุน นอกจากนี้การทำสงคราม “เพื่อชาติ” กลายเป็นการบังคับพลีชีพของคนจนเพื่อประโยชน์ของคนรวย
นักวิชาการส่วนใหญ่ในไทย มักมองข้ามบทบาทหน้าที่สำคัญอันนี้ของสถาบันกษัตริย์ในโลกทุนนิยมปัจจุบัน เพราะเชื่อนิยายว่า “สังคมไทยไม่เหมือนที่อื่น” หรือหลงเชื่อว่าเราอยู่ในระบบที่กษัตริย์มีอำนาจจริง ไม่ค่อยมีใครพยายามทำความเข้าใจกับบทบาทสถาบันกษัตริย์ในระบบทุนนิยมสมัยใหม่เลย มีแต่การดูภาพผิวเผินเท่านั้น
ในไทยกษัตริย์รัชกาลที่ ๙ เคยร่ำรวย และเสพสุขบนหลังประชาชนก็จริง มีคนเชิดชูและหมอบคลานเข้าหาก็จริง แต่กษัตริย์คนนี้ไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง และถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยทหารและชนชั้นนำอื่นๆ เช่นนักการเมืองนายทุน ดังนั้นการเชิดชูกษัตริย์แบบบ้าคลั่งที่เกิดขึ้น กระทำไปเพื่อให้สร้างภาพว่าเป็นเทวดา และ กฎหมาย 112 มีไว้เพื่อสร้างความกลัวที่จะวิจารณ์
ในวิดีโอสัมภาษณ์นายภูมิพลเป็นภาษาอังกฤษเมื่อหลายปีก่อน นายภูมิพลพูดแบบอ้อมๆ ว่ามี “คนอื่น” คอยควบคุมบทบาทตัวเองและกำหนดสภาพการเมือง จนตนเองทำอะไรไม่ได้
รัชกาลที่ ๑๐ ยิ่งอ่อนแอกว่าพ่อของเขา และไม่สนใจเรื่องการเมืองและสังคมไทยเลย วชิราลงกรณ์ ต้องการเสพสุขอย่างเดียว และพฤติกรรมแย่ของเขาที่เขาไม่พยายามปกปิดทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจ
หลัง การปฏิวัติ ๒๔๗๕ สถาบันกษัตริย์มีบทบาทน้อยมากในสังคมไทย จนมาถึงการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังจากนั้นสฤษดิ์ ผู้นำทหารและพลเรือนที่ตามมา และพรรคพวกที่นิยมเจ้า ก็ค่อยๆ เชิดชูกษัตริย์มากขึ้นทุกวัน จนมีการสร้างภาพว่าเสมือนเทวดา บางคนถึงกับร้องไห้เมื่อเห็นภาพนายภูมิพลผูกเชือกรองเท้าตัวเอง
แต่การนำกษัตริย์กลับมาให้มีบทบาทสำคัญในไทยตั้งแต่ยุคสฤษดิ์ มีวัตถุประสงค์เดียวกับที่อื่น คือวัตถุประสงค์ในการรณรงค์แนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างที่ได้กล่าวถึงข้างบน มันไม่ใช่การ “ถวายอำนาจคืนให้กษัตริย์” ในช่วงแรกๆ กษัตริย์มีความสำคัญในการเป็นสัญลักษณ์ที่ต่อต้านแนวคิดคอมมิวนิสต์ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ต่อมากษัตริย์มีความสำคัญในการให้ความชอบธรรมกับการปกครองของนายทุน เช่นในสมัยทักษิณ หรือการปกครองแบบเผด็จการทหาร ทหารมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะอ้างว่าตนปกป้องกษัตริย์เวลายึดอำนาจ เพื่อปกปิดว่าจริงๆ แล้ว เขาทำรัฐประหารเพื่อผลประโยขน์ของตนเอง ซึ่งต่างจากรัฐบาลพลเรือน ที่สามารถอ้างความชอบธรรมจากนโยบายต่างๆ ที่เสนอกับประชาชนในการเลือกตั้งตามระบบประชาธิปไตย ทหารไม่มีความชอบธรรมจากระบบประชาธิปไตยเลยจึงต้องอ้างกษัตริย์
จะเห็นได้ว่าการเชิดชูกษัตริย์ให้เหมือนเทวดา ไม่ได้แปลว่ากษัตริย์มีอำนาจจริง มันเป็นเพียงการเชิดชูลัทธิกษัตริย์เพื่อแช่แข็งความเหลื่อมล้ำในสังคม พูดง่ายๆ สถาบันกษัตริย์ไทยไม่เคยมีอำนาจหลัง ๒๔๗๕ แต่มีบทบาทหน้าที่ในทางลัทธิความคิด เพื่อประโยชน์ของนายทุนและทหาร การสร้างภาพลวงตาว่ากษัตริย์เป็นเทวดาที่มีอำนาจล้นฟ้า (และมันเป็นภาพลวงตาเพราะเราก็รู้กันว่าเทวดาไม่มีจริง) เป็นไปเพื่อทำให้พลเมืองเกรงกลัวและไม่กล้าท้าทายระบบชนชั้นที่ดำรงอยู่
ดังนั้นเวลาพวกผู้นำทหารปัจจุบันหรือนักการเมืองพลเรือนหมอบคลานต่อวชิราลงกรณ์ มันเป็นการเล่นละครเพื่อหลอกประชาชนว่าวชิราลงกรณ์สั่งการทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจจริงกำลังหมอบคลานต่อผู้ที่ไม่มีอำนาจเลย
ข้อเขียนนี้ ถ้าผู้เขียนเขียนในไทยก็จะโดนปิดปากด้วยกฎหมายเถื่อน112 ทั้งนี้เพราะชนชั้นปกครองไทยไม่กล้าให้ประชาชนถกเถียงแลกเปลี่ยนเรื่องกษัตริย์ด้วยการใช้สติปัญญา
แล้วทำไมประชาชนจำนวนมากถึงเชื่อนิยายของชนชั้นปกครอง? ทำไมเขาครองใจคนได้?
จริงๆ แล้วมันไม่ต่างจากคำถามว่าทำไมคนถึงเชื่อกันว่า “ตลาด” มีพลังหรือชีวิตของมันเองที่เราต้องจำนนต่อ ทั้งๆ ที่ตลาดเป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือความเชื่อว่า “เงิน” มีค่าในตัวมันเองทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ตัวแทนของมูลค่าจริงๆ ของสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้นมาจากการทำงาน
มันเหมือนกับปัญหาว่าทำไมคนถึงลืมว่ามนุษย์สร้างพระพุทธรูปด้วยมือของตนเอง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาและคำสอน แต่คนกลับหันมาเชื่อว่าพระพุทธรูปมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์วิเศษ
ในหนังสือ “ว่าด้วยทุน” มาร์คซ์เสนอว่าการขโมยผลงานของกรรมาชีพ โดยนายทุน ในระบบการผลิต ทำให้กรรมาชีพขาดความเป็นมนุษย์แท้ มีผลทำให้มนุษย์มองโลกในทางกลับหัวกลับหางคือ เงินกลายเป็นของจริง ในขณะที่การขูดรีดหายไปกับตา และมูลค่าหรือประโยชน์ในการใช้สอยกลายเป็นเพียงเรื่องข้างเคียง เพราะมูลค่าแลกเปลี่ยนถูกทำให้ดูสำคัญกว่า
นักมาร์คซิสต์ จอร์ช ลูคักส์ และ คาร์ล มาร์คซ์ อธิบายว่ามนุษย์เชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริง คือเชื่อแบบกลับหัวกลับหาง ในกรณีที่มนุษย์ขาดความมั่นใจ มันไม่ใช่เรื่องความโง่หรือการมีหรือไม่มีการศึกษาแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องผลของอำนาจต่อความมั่นใจของเราต่างหาก อำนาจการกดขี่ขูดรีดของนายทุน เช่นการที่ทุกวันเราต้องยอมจำนนไปทำงานให้นายทุน หรือต้องก้มหัวให้อำนาจรัฐ มีผลในการกล่อมเกลาให้เรามองว่าตัวเราเองไร้ค่ากว่าพวก “ผู้ใหญ่” หรือนายทุน และชวนให้เรามองว่าเราไร้ความสามารถ เราเลยเชื่อพวกนั้นง่ายขึ้น ดังนั้นชนชั้นปกครองสามารถสร้างภาพลวงตา กลับหัวกลับหาง เรื่องอำนาจแท้ในสังคมไทยได้ เพื่อไม่ให้คนเห็นว่าอำนาจจริงอยู่ที่ทหารและนักธุรกิจ และภาพลวงตานี้ผลิตซ้ำด้วยกฎหมายเผด็จการ 112 ที่ปิดปากเราด้วย ซึ่งเป็นการซ้ำเติมความกลัวเพื่อทำลายความมั่นใจของเราอีก
ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “สภาวะแปลกแยก” (Alienation) คือแปลกแยกจากความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีของเราทุกคน และแปลกแยกจากความจริง
แต่ ลูคักส์ เสนอว่าต่อว่าเมื่อเรารวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เพื่อออกมาต่อสู้กับเผด็จการ ความกล้าในการคิดเองและวิเคราะห์โลกเองก็จะเกิดขึ้น และเราจะเลิกเชื่อนิยายงมงายของชนชั้นปกครอง เราเริ่มเห็นสิ่งนี้หลังจากที่มีการประท้วงต้านเผด็จการที่นำโดยคนหนุ่มสาว แต่พวกเราต้องเดินทางให้สุดทาง คือเปิดตาในเรื่องนิยายภาพลวงตาเกี่ยวกับอำนาจกษัตริย์ด้วย
การเดินให้สุดทางในแง่ความคิดเป็นเรื่องสำคัญในรูปธรรม เพราะมันจะทำให้เราชัดเจนว่าศัตรูหลักของเราตอนนี้คือทหารกับนายทุน กษัตริย์เพียงแต่เป็นศัตรูของเราในลักษณะความคิด ทหารกับนายทุนเป็นศัตรูหลักเพราะคุมอำนาจรัฐ